ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 257.3 สนับสนุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ (3)
สมัญญานามเหม่ยเหรินแม้จะต่ำต้อย แต่ก็เป็นป้ายบังธนูที่ปกป้องความสงบสุขไว้ได้ แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ยังเรียกความริษยาเคียดแค้นจากเจี่ยงอวี๋ได้ หากยกฐานันดรให้สูงขึ้นไปอีก จะไม่ยิ่งกลายเป็นเป้าหมายของสตรีในวังหลังไปมากกว่านี้หรือ
ที่สำคัญก็คือ พอฐานันดรสูงขึ้น ก็จะต้องใกล้ชิดกับฝ่าบาทอย่างเลี่ยงมิได้
อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะปฏิเสธอีกครั้ง แต่เห็นเจี่ยไทเฮาเหมือนจะไม่พอพระทัยขึ้นมาแล้ว สีพระพักตร์เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “นี่มิได้ทำเพื่อเจ้า แต่เพื่อองค์ชายรอง ต่อให้เจ้าไม่สนใจตำแหน่งอันเจริญรุ่งเรืองนี้ ก็ต้องไตร่ตรองเพื่อบัวลอยน้อย องค์ชายพระองค์หนึ่ง มารดาเป็นเพียงเหม่ยเหรินที่กระทั่งตำแหน่งกุ้ยเหรินยังเป็นมิได้ จะเป็นองค์ชายได้อย่างไร จะไปพบหน้าใครได้ จะมีอนาคตได้อย่างไร”
หม่าซื่อเห็นบรรยากาศไม่ดี จึงรีบไกล่เกลี่ย ให้อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไป
อวิ๋นหว่านชิ่นเพราะเอาแต่กังวลเรื่องนี้ ไม่กล้าไปตำหนักฉือหนิงอยู่หลายวัน กลัวว่าเจี่ยไทเฮาจะตรัสถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก จะปฏิเสธก็ไม่ได้ จะไม่ปฏิเสธก็ไม่ได้อีก หม่าซื่อมาส่งข่าวว่าไทฮองไทเฮาอยากพบพระนัดดา อวิ๋นหว่านชิ่นจึงหมดหนทางจะบ่ายเบี่ยง จำต้องอุ้มบัวลอยน้อยไปกับแม่นม
วันนี้เมฆดำบดบังตะวัน ลมบางเบาพัดไหว มีเค้าลางว่าฝนจะตก แม้จะเป็นฤดูของเสือใบไม้ร่วง[1]อยู่ สภาพอากาศเช่นนี้เย็นสบายที่สุด แต่เพราะไม่มีแสงตะวัน จึงทำให้คนอารมณ์อึดอัด โดยเฉพาะอวิ๋นหว่านชิ่นในยามนี้
นางคิดมาตลอดทั้งทางว่าจะบอกปัดเรื่องนี้กับเจี่ยเฮาอย่างไรดี จนมาถึงตำหนักฉือหนิง หลังจากนั่งลงแล้ว ก็คล้ายว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เจี่ยไทเฮามองออกว่าจิตใจนางไม่นิ่ง ทอดถอนใจออกมาโดยไม่รู้ตัว จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ตก เด็กคนนี้ สีหน้าไม่แยแสและนุ่มนวล แต่เนื้อในกลับดื้อรั้นมาก บอกว่าไม่อยากเข้าร่วมการแย่งชิงความโปรดปรานในวังหลัง เพียงอยากแต่จะใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ที่หอเหยาไถ อันที่จริงไหนเลยจะไม่เข้าใจในความคิดของนาง นางยังคงหอบความหวังว่าฉินอ๋องจะกลับมาน่ะสิ
ป้อนข้าวหยอกหลานเล่นอยู่พักหนึ่ง บัวลอยน้อยก็งอแงจะเล่นขี่ม้าใหญ่ หลายคราก่อนมาตำหนักหนิงฉือเคยขึ้นไหล่จูซุ่นนั่งเล่น ต่อมาก็ติดใจ ทุกครั้งที่มาจะต้องเล่นให้ได้ เจี่ยไทเฮารีบรับสั่งออกไป จูซุ่นยิ้มตาหยีแบกองค์ชายขึ้นบ่า พาไปยังลานตำหนัก
“เจ้าดูสิ เพียงความสุขเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ก็ทำเอาเด็กคนนี้มีความสุขถึงเพียงนี้ได้แล้ว” เจี่ยไทเฮาเหลือบมองพระนัดดาที่นั่งอยู่บนศีรษะของจูซุ่นแวบหนึ่ง แผ่นหลังที่บีบหูจูซุ่นไว้ออกไปอย่างมีความสุข นางไล่นางกำนัลข้างกายออกไปให้หมด “เด็กผู้ชายในหมู่ปวงชนชาวบ้านธรรมดาขี่ม้าใหญ่ ล้วนเป็นพ่อเขาที่อยู่เล่นเป็นเพื่อน ฉินอ๋องไม่อยู่แล้ว บัวลอยน้อยกลับยังสามารถมีฝ่าบาทเป็นที่พึ่งได้ หากฐานันดรเจ้าสูงขึ้นมาอีกหน่อย ก็อาจจะได้กระชับความสัมพันธ์กับฝ่าบาทมากกว่าเดิม ความรู้สึกของบัวลอยน้อยกับฝ่าบาทก็ย่อมจะสามารถลึกซึ้งขึ้นอีกหน่อยได้”
ไทฮองไทเฮาทราบตั้งนานแล้วว่าบัวลอยน้อยเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฉินอ๋อง แต่ไม่เคยพูดกับนางให้ชัดเจน อวิ๋นหว่านชิ่นยามนี้พอได้ฟังก็เข้าใจถึงเจตนาของไทฮองไทเฮาอย่างแจ่มแจ้ง…บิดาแท้ๆ ของบัวลอยน้อยไม่อยู่แล้ว ทว่าดีร้ายอย่างไรก็ยังสามารถมีบิดาบุญธรรมที่เป็นที่พึ่งพิงให้ได้ ให้ตนได้รู้จักสิ่งที่น่าสนใจ เพื่อลูกชาย ให้พึ่งพิงฝ่าบาทเสีย
เงียบงันไปเนิ่นนาน นางยกชายกระโปรงขึ้นแล้วลุกขึ้น หัวเข้าทั้งสองข้างงอลง เจี่ยไทเฮายังไม่ทันจะตกใจ ก็เห็นนางคุกเข่าลงกับพื้นเสียแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ดีว่าวันนี้หากไม่พูดให้ชัดเจน ไทฮองไทเฮาก็จะยังคงเกลี้ยกล่อมต่อไป พอฝ่าบาทกลับเมืองหลวง ก็จะไม่ทันการณ์ขึ้นมาจริงๆ แล้ว นางจึงไม่ลังเลอีกต่อไป “ไทฮองไทเฮาจัดการเช่นนี้ล้วนทำเพื่อบัวลอยน้อย หม่อมฉันเดิมทีไม่ควรเหยียบย่ำความหวังดีของไทฮองไทเฮา แต่บัวลอยน้อยเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้ใด ไทฮองไทเฮาก็ทรงทราบดี ต่อให้ฝ่าบาทยินยอมดูแลและสนับสนุนเด็กคนนี้เพราะมูลเหตุจากหม่อมฉัน หม่อมฉันกลับรู้สึกละอายใจที่ต้องรับไว้ พอฐานันดรหม่อมฉันสูงขึ้น ก็ต้องไปมาหาสู่และต้อนรับขับสู้กับคนอื่นอย่างขาดมิได้ เรียกให้คนอิจฉาริษยา แต่นี้ไป วังหลังจะต้องมีฮองเฮา ยังต้องมีสตรีอีกมากมายที่จะเข้ามาในวังหลวง มีแต่จะดึงดูดสายตาอีกมากมายให้มาสนใจ เช่นนั้นแล้ว ก็จะทำให้บัวลอยน้อยกลายเป็นจุดสนใจ เปิดโปงในสายตาของคนอื่น เกิดมีคนใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย สืบทราบถึงที่มาที่ไปของบัวลอยน้อยเข้า ก็จะทำให้ฝ่าบาทอับอาย บัวลอยน้อยก็จะมีโทษ ยิ่งห่างไกลจากพระประสงค์เดิมของไทฮองไทเฮามากขึ้นไปอีก เป็นเช่นนี้แล้ว ไม่สู้ให้หม่อมฉันพาเด็กคนนี้หลบลมหลบฝน ใช้ชีวิตอยู่ในหอเหยาไถอย่างสงบสุขดีกว่า ฐานันดรนี้ ไม่มีใครมาสนใจพวกเราเพคะ”
“เจ้า…” เจี่ยไทเฮาเห็นนางยึดมั่นในความคิดเห็นของตัวเองเช่นนี้ ก็วิตกกังวลขึ้นมา จนใจที่นางพูดมาก็มีเหตุผล จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะแย้งไปอย่างไรดี สะบัดแขนเสื้อ ตรัสอย่างมีโทสะว่า “เจ้านี่นะ เหตุใดจึงได้ดื้อรั้นเช่นนี้…”
อวิ๋นหว่านชิ่นก้มหน้าก้มตา ไม่มีความคิดจะลุกขึ้น ในเมื่อวันนี้พูดอย่างชัดเจนแล้ว ต่อให้เจี่ยไทเฮาโมโหตนที่ไม่เชื่อฟังก็ต้องทำให้นางล้มเลิกความคิดนี้ไปให้ได้
เห็นผู้อาวุโสที่สุดในวังหลังสีหน้าใกล้อึมครึมเต็มที นอกตำหนักก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น นึกไม่ถึงว่าจูซุ่นจะไม่ได้รายงานล่วงหน้าก่อนสักคำ แบกบัวลอยน้อยวิ่งเข้ามาเลย
เจี่ยไทเฮาคิดว่าด้านนอกอากาศไม่ดี ฝนใกล้จะตกแล้วจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ระบายโทสะใส่จูซุ่นว่า “เกิดอันใดขึ้นกับเจ้ากัน ก่อนจะเข้ามาก็ไม่รู้จักบอกสักคำ”
จูซุ่นคล้ายไม่ได้ยินคำว่ากล่าวของไทฮองไทเฮา ส่งบัวลอยน้อยคืนในอ้อมอกของแม่นม มือสั่นอยู่ครู่หนึ่ง คุกเข่าลงพลัน อักอึกว่า “ทะ…ไทฮองไทเฮา ยะ…แย่แล้วเพคะ…”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้เริ่มสังเกต จูซุ่นสูงวัยที่สุขุมหนักแน่นอยู่ด้านหลังเจี่ยไทเฮามาโดยตลอดยามนี้สีหน้าตื่นตระหนก ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องตนชั่วคราว นางจ้องจูซุ่นนิ่ง
เจี่ยไทเฮาก็สังเหตุเห็นความผิดปกตินี้เช่นเดียวดัน จึงตรัสอย่างประหลาดใจว่า “เกิดอันใดขึ้นรึ”
จูซุ่นกลืนน้ำลาย พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำให้เสียงของตัวเองมั่นคง แต่ก็ยังควบคุมความสั่นอันน้อยนิดไว้ไม่อยู่ “ฝ่าบาทถะ…ถูกชาวเหมิงหนูจับเป็นเชลยเพคะ!”
ประโยคนี้เอ่ยออกไป ภายในห้องก็เงียบงันไปพักหนึ่ง หม่าซื่อและนางกำนัลที่เข้ามาทีหลังตระหนก รู้สึกเพียงว่าคล้ายใกล้จะพังทลายโดยพลัน เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เห็นเจี่ยเฮาวิงเวียนร่างกายโงนเงน ร่วงลงไปกับพื้น
โชคดีที่อวิ๋นหว่านชิ่นอยู่ข้างหน้า ตาไวมือเร็ว ลุกขึ้นไปพยุงเจี่ยไทเฮาไว้ หม่าซื่อและคนอื่นๆ ก็รีบเข้ามาเช่นกัน ประคองเจี่ยไทเฮามายังเก้าอี้ รีบให้คนมายกชาบีบนวด แล้วไปตามหมอหลวงมา
อวิ๋นหว่านชิ่นก็ตกใจอย่างหาใดจะเปรียบได้ ยังไม่ทันจะหลุดจากภวังค์ เห็นชัดๆ ว่าชัยชนะอยู่ตรงหน้า ทั่วทั้งราชสำนักต่างรอฝ่าบาทกลับวังมาฉลองชัย ไหนเลยจะรู้ว่าจะมีการพลิกผันเช่นนี้
“มะ…ไม่ต้องแล้ว…” เจี่ยไทเฮาลมหายใจกลับมาอีกครั้ง ลืมตาขึ้น ดวงเนตรดั่งหงส์เย็นชาขึ้นโดยพลัน เดือดดาลยกใหญ่ สุรเสียงเปลี่ยนไป “เหตุใดจึงโดนจับเป็นเชลยได้ อี๋ซื่ออ๋องนั่นอยู่เฝ้ารักษาการณ์ที่เจียงเป่ยมาตั้งหลายปี ชำนาญเรื่องศัตรู ศึกครานี้ก็เป็นเขาที่ร่วมด้วยตลอด…เขาไร้ประโยชน์เพียงนั้นเชียวรึ คุ้มกันประสาอะไร! ยามนี้ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง! ทางเหมิงหนูบอกอันใดมาหรือไม่!”
“ไทฮองไทเฮา” จูซุ่นร้องไห้พลางเอ่ย “รายงานด่วนทางการทหารส่งมาจากแดนเหนือเมื่อเช้า บ่าวก็เพิ่งได้ทราบว่าจิ่งหยางอ๋องส่งเสนาธิการทหารข้างกายให้มาบอก! บอกว่าศึกก่อนหน้านี้เดิมทีดำเนินการได้อย่างราบรื่น ต้าเซวียนเราขับไล่เหมิงหนูไปได้หลายเมืองแล้ว ตะ…แต่เมื่อวานยามศึกสุดท้าย ฝ่าบาททรงนำทัพออกแนวหน้าให้อี๋ซื่ออ๋องอยู่ด้านหลังเพื่อปลุกขวัญกำลังใจให้ทหาร คิดไม่ถึงว่าถนนบนเขาแห่งหนึ่งจะมีกับดักภูเขาหินของเหมิงหนูอยู่ พออี๋ซื่ออ๋องพาทัพเร่งรุดมายังแนวหน้า ชาวเหมิงหนูก็จับตัวฝ่าบาทไปเป็นเชลยแล้ว…ได้ยินมาว่าเร่งรัดพาไปยังแคว้นเหมิงหนูตลอดคืน อี๋ซื่ออ๋องรีบเสนอจะถอยทัพ ให้ชาวเหมิงหนูส่งฮ่องเต้เราคืนมา แต่ทางเหมิงหนู…จนถึงยามนี้ก็ยังไม่ตอบกลับมาเลยเพคะ…”
ประมาทข้าศึก ที่แท้ ใกล้ศึกสุดท้าย นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะประมาทข้าศึกไป!
————————–
[1] เสือใบไม้ร่วง สภาพอากาศที่ช่วงเช้าและกลางคืนเย็น กลางวันร้อนเป็นสภาพอากาศที่พบบ่อยในช่วงฤดูใบไม้ร่วง