ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 256.2 อุ้มลูกตามรถ คำแรกของเด็กน้อย (1)
ในระหว่างที่พูดคุย คนทั้งกลุ่มขึ้นไปถึงกำแพงเมืองชมการเฉลิมฉลองเทศกาลชีซีตามลำดับ
อวิ๋นหว่านชิ่นอุ้มบัวลอยน้อยมองไปยังเบื้องล่าง ท่ามกลางม่านราตรี ผืนทะเลผ้าแพรแวววับจับตาและป่าผ้าปักทอดยาวบนถนนหลวงของเยี่ยจิง ใต้แสงสะท้อนของจันทร์และโคมแดง แสงสว่างสีเงินทองอร่ามพราวระยับดั่งต้นไม้เพลิงออกดอกสีเงิน
ด้านข้างผ้าแพรประดับบนฉาก นักท่องเที่ยวดั่งสิ่งทอ บางคนหยุดฝีเท้าดูชม บางคนเดินเล่นไปมา แม้จะอยู่บนกำแพงเมือง แต่ก็ได้ยินเสียงผู้คนครึกครื้น
นานมากแล้วที่ไม่ได้ออกจากวัง ทิวทัศน์สวยงามคึกคักไปทั่วทั้งถนนตกอยู่ในสายตา บัวลอยน้อยก็โดนความคึกคักนี้ทำให้ตื่นเต้นเช่นกัน เขามองไปยังที่ที่สว่างไสวชี้มือชี้ไม้ไปทั่ว
อวิ๋นหว่านชิ่นเบิกบานยิ่ง หัวเราะเบาๆ ว่า “บัวลอยน้อย เจ้าอยากลงไปดูใช่หรือไม่”
เฉินจ้าวที่อยู่ด้านหลังก็พรวดพราดขยับไหว สาวเท้าเข้ามาหา กระซิบว่า “เหม่ยเหรินหากอยากจะลงไปเที่ยวชมด้านล่าง กระหม่อมจะคุ้มกันเองพ่ะย่ะค่ะ”
วันที่เจ็ดเดือนเจ็ดท้องฟ้าปลอดโปร่งสุกสกาว โม่และเกี่ยวข้าวเสร็จ
สายลมฤดูร้อนโชยพัด ใจกลางเมืองหลวงมีผู้คนคลาคล่ำ เสียงหัวเราะพูดคุยเฮฮา ภายใต้ฟากฟ้าครามทะเลน้ำนมที่ตกสู่ยามราตรี แต่ละบ้านมามองชมจันทร์ในฤดูสารท ด้ายแดงหลายหมื่นสายพาดผ่าน ส่องให้ทั่วทั้งเมืองสวยสดงดงาม
อวิ๋นหว่านชิ่นอุ้มบัวลอยน้อยไว้ ถูกผู้คนบนถนนหลวงดันให้เดินไปเบื้องหน้า แรกเริ่มยังเคร่งเครียดกังวลอยู่บ้าง กลัวว่าคนเยอะแล้วจะโดนใครพบเข้า ต่อมาจึงได้รู้ว่าเป็นการกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ยิ่งผู้คนคลาคล่ำเท่าใด ก็จะยิ่งไม่มีคนสนใจเรามากเท่านั้น นางเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศของเทศกาลอย่างช้าๆ ไม่มีเวลามาสนใจอย่างอื่น แม้ว่าการลงจากกำแพงเมืองมาโดยพลการจะผิดธรรมเนียม แต่ก็มิได้เดินไปไกล เพียงเดินเล่นอยู่ตรงหัวมุมถนนใกล้ๆ เขตพระราชฐานเท่านั้น เฉินจ้าวเป็นคนที่ไว้ใจได้ มีเขาอยู่ก็จะไม่เกิดเรื่องใดขึ้นแน่นอน
ระหว่างทาง เฉินจ้าวที่อยู่ข้างกายจ้องเงาร่างนางเขม็ง จะได้ไม่โดนคนดันหรือไม่ก็เหยียบล้ม เห็นนางแย้มยิ้มดั่งพฤกษา ใบหน้าที่เบิกบานอย่างหาได้ยากยิ่งก็ผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ชูซย่ากับฉีไหวเอินที่อยู่ด้านหลังก็เดินตามอยู่ท่ามกลางผู้คนเช่นกัน
เดินมาได้ระยะหนึ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ชะลอฝีเท้าลง นางหันหน้าไปอีกครั้ง เห็นเฉินจ้าวคุ้มกันตนอยู่ข้างกายตลอด ไม่ให้ฝูงชนมาเบียดชนตนได้ ก็อบอุ่นใจขึ้นมา “แม่นางบ้านใดแต่งให้พี่ใหญ่เฉินได้ ช่างเป็นบุญวาสนาทานจากชาติก่อนแน่แล้ว”
เฉินจ้าวไม่คิดว่าจู่ๆ นางจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ จึงตกตะลึง
โอกาสพบเจอกันของนางกับเขาไม่มากนัก เมื่อก่อนก็ไม่ค่อยอยากจะพูดถึงนัก อย่างไรเสียก็พูดออกมาแล้ว เสียงหัวเราะไพเราะกังวาน ในดวงตาปรากฏความฉลาดเจ้าเล่ห์ของเด็กสาว “พี่ใหญ่เฉินมีสตรีในใจหรือไม่ ข้าทูลขอไทฮองไทเฮาแนะนำให้ได้นะ”
การสนับสนุนและดูแลของนางที่มีต่อเขานั้น เหตุใดเขาจะไม่รู้ อนาคตในแวดวงขุนนางก็แล้วไปเถิด ยามนี้กระทั่งเรื่องส่วนตัวยังไม่ปล่อยไป เฉินจ้าวหัวเราะเบาๆ “ไม่รบกวนฮูหยินต้องเป็นห่วงหรอกขอรับ ไม่รีบ”
“ไม่รีบได้อย่างไร เจ้ายี่สิบกว่าเข้าไปแล้ว” เมืองและชนบทที่ค่อนข้างเล็กในเยี่ยจิง ประเพณีเริ่มเปิดกว้าง ชายหญิงสิบแปดสิบเก้าแต่งงานก็เป็นเรื่องธรรมดา อายุอานามนี้ของเฉินจ้าวก็ควรจะคิดได้แล้ว แต่อย่าว่าแต่แต่งงานเลย ขนาดเรื่องหมั้นหมายก็ยังมิได้ตัดสินใจ
มักจะได้ยินเฉินจื่อหลิงพูดอยู่บ่อยๆ ว่าตอนเด็กๆ เฉินจ้าวมีเรื่องหมั้นหมายไว้ เป็นลูกสาวของสหายเก่าแก่ในราชสำนักของสกุลเฉิน แต่ลูกสาวบ้านนั้นร่างกายอ่อนแอ ไม่ได้เติบโต แม่ทัพอาวุโสเฉินเพื่อดูแลสภาพจิตใจของครอบครัวนั้นจึงไม่ได้หาคู่หมั้นให้หลานผู้นี้อีก ต่อมาเฉินจ้าวอายุมากขึ้นหน่อย แม่ทัพอาวุโสก็เตรียมเรื่องเลือกคู่ให้ใหม่อีกครั้ง แต่เฉินจ้าวกลับบอกว่าตัวเองยังไม่ได้ทำงาน อยากจะตั้งใจให้ประสบความสำเร็จก่อน ไม่รีบร้อน จึงยืดเยื้อออกไป
แม่ทัพอาวุโสเฉินแรกเริ่มคิดว่าเขามีคนในใจ เดิมทีก็ไม่ใช่คนหัวโบราณคร่ำครึอยู่แล้วจึงมิได้แย้งอันใด รอเพียงหลานเอ่ยขึ้นมาเอง ต่อมาเห็นหลานตั้งอกตั้งใจทุ่มให้การฝึกฝนออกรบในกองทัพตระกูลเฉินอย่างเดียว ดื่มด่ำกับการขี่ม้ายิงธนูและศิลปะการต่อสู้ จึงได้รู้ว่า บางทีเขาอาจเป็นคนคลั่งการทหารคนหนึ่ง ไม่ชอบเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หลายปีมานี้เฉินจ้าวเริ่มก้าวเข้าสู่แวดวงขุนนาง ก่อร่างสร้างตัว แม่ทัพอาวุโสเฉินก็ยิ่งไปยุ่มย่ามด้วยยากกว่าเดิม
เฉินจ้าวเงียบงันไปครู่หนึ่ง แย้งไปว่า “ยี่สิบกว่าก็ไม่นับว่าอายุมากกระมัง ในราชสำนักมีขุนนางไม่น้อยอ่านตำรับตำราเพื่อสอบรับราชการตั้งแต่เล็ก พลาดช่วงอายุไป พอสร้างตัวได้ค่อยแต่งงานก็มีไม่น้อย”
“แม้คนเขาจะสร้างตัวได้แล้วค่อยแต่งงาน แต่ก็ยังมีบ้านเล็กบ้านน้อยหรือไม่ก็อนุ ข้างกายเจ้าแม้กระทั่งสาวงามมาอ่านหนังสือด้วยยังไม่มีเลย…มีคนในใจแล้วใช่หรือไม่”
“ไม่มี” เฉินจ้าวส่ายหน้า
อย่าดูแค่ว่าหัวโต เกรงว่าสมองจะยังไม่มีความคิดริเริ่ม อวิ๋นหว่านชิ่นเดินไปพลางส่ายหน้าไปพลาง “หากมิใช่เพราะพี่ใหญ่ตอบอย่างสบายอกสบายใจเช่นนี้ล่ะก็ ข้ายังนึกว่าที่เจ้าไม่ยอมแต่งงานเสียทีเพราะแอบชอบข้าเสียแล้ว เช่นนั้นเจ้าว่ามาว่าต้องการสาวแบบใดกันแน่ ต่อให้ข้าอยากจะแนะนำให้เจ้า อย่างน้อยๆ ก็ต้องรู้ก่อนว่าเจ้าชอบแบบใด อวบอิ่มหรือผอมบาง นิสัยร่าเริงหรือเรียบร้อย”
ดวงตาเฉินจ้าวอมยิ้ม มองนางแวบหนึ่ง “หน้าหนาอย่างหาได้ยากยิ่ง” รู้ดีว่าคืนนี้นางอารมณ์ดีแน่ๆ ไม่เสียแรงที่เมื่อครู่ตนบุ่มบ่ามนำพวกนางสองแม่ลูกลงมาเดินเล่นข้างล่าง เห็นนางไล่ต้อนถาม เฉินจ้าวก็จนใจ เอ่ยเออออตามนางว่า “ข้าไม่มีความคิดเห็นใดต่อหญิงสาว ในสายตาข้าล้วนเหมือนกันหมด มีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ ข้ารู้จักเพียงเจ้ากับจื่อหลิง จื่อหลิงเป็นน้องสาวข้า ไม่อาจให้ภายหน้าภรรยาเหมือนนางกระมัง หากต้องบอกว่าอยากได้แบบใดให้ได้ล่ะก็…หากเหมือนเจ้า ก็ไม่เลว”
“เหมือนข้ารึ” นางเอ่ยอย่างขี้เล่น “ความยากค่อนข้างมากทีเดียว” มือประคองคอของบัวลอยน้อย กระแอมออกมาแล้วเอ่ยอย่างลำพองใจว่า “ใช่หรือไม่บัวลอยน้อย”
บัวลอยน้อยเที่ยวจนเหนื่อยแล้ว ยามนี้ตัวอ่อนยวบหมอบอยู่บนไหล่มารดา มองเฉินจ้าวอย่างน่าสงสาร
“ใช่สิ เพราะหาคนที่เหมือนเจ้าได้ยาก ดังนั้นตอนนี้ก็ไม่รีบร้อน” เฉินจ้าวน้ำเสียงก็ดูคล้ายล้อเล่น เปลี่ยนเรื่องไปโดยยากจะสังเกตได้
ไม่ไกลจากถนนหลวงอันวุ่นวายนั้น ตรอกสายหนึ่งคนบางเบาอยู่บ้าง และค่อนข้างเงียบสงบ มีรถม้าม่านสีเขียวคันหนึ่งจอดอยู่ในตรอกนั้น ม่านหน้าต่างเลิกขึ้นครึ่งหนึ่ง ดวงตาคู่หนึ่งมองผ่านช่องว่างลดเลี้ยวระหว่างผู้คนมากมายไปหยุดอยู่บนเงาร่างของชายหญิงทั้งสองเบื้องหน้า
สตรีดวงหน้างดงามอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมอก โดนคุ้มกันอย่างแน่นหนาท่ามกลางฝูงชน มีคนรับใช้ห้อมล้อมติดตาม
“คนเยอะเกินไป โดนใครพบเข้าจะไม่ดี ไปเถิด นายท่าน” เสียงชราที่ผ่านโลกมามากมายดังขึ้นตำแหน่งคนขับรถ ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความตื่นตัวและหนักแน่น เอ่ยเตือนคนในรถ
คนที่ถูกถามไม่มีปฏิกิริยาใด แววตาดั่งตะขอยังคงจดจ้องไปเบื้องหน้า สายตาอันโชติช่วงรวมอยู่ที่จุดเดียว
เดินไปตามถนนหลวงได้สักระยะหนึ่ง เสียงคนก็จอแจวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ ฉากกั้นกระดาษติดด้วยผ้าแพรปักกลางถนนส่องแสงให้ดวงตาของแม่ลูกพร่ามัว
อวิ๋นหว่านชิ่นมองจนตาบวม เดินต่อไปมิได้แล้ว ดวงตากวาดมองไป เทศกาลชีซีในค่ำคืนนี้ ขยายเวลาห้ามเข้าออกยามวิกาลออกไป หอสุราโรงน้ำชาสองข้างทางเรียงรายแน่นขนัด ยังคงเปิดให้บริการอยู่ หนึ่งในนั้นมีร้านขายอาหารท้องถิ่นโดยเฉพาะ โด่งดังในเมืองหลวงมาก
กินอาหารในวังเลิศรสจนคุ้นชินแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกอยากลิ้มลอง นางชี้ไป ยิ้มพลางพูดคุยกับลูกชายว่า “แม่เหนื่อยแล้ว ไปนั่งร้านนี้แล้วค่อยไปดีหรือไม่”
บัวลอยน้อยซุกอยู่ในอ้อมอกอุ่นนุ่มของมารดา เงยหน้าน้อยๆ ขึ้นมาอย่างผู้บัญชาการ มองป้ายอย่างละเอียดถี่ถ้วนและเฉียบขาด คล้ายว่าพอใจอยู่บ้าง ขมวดคิ้วน้อยๆ กระชับคอมารดาแน่น ไม่คัดค้าน
อวิ๋นหว่านชิ่นอุ้มลูกชายเดินเข้าไป เฉินจ้าวเห็นร้านอาหารเล็กและคับแคบนี้เป็นร้านธรรมดาลูกค้าประปราย พวกเขาเข้าไปทั้งกลุ่มจะดึงดูดสายตาคนได้ จึงรออยู่ที่หน้าร้านกับฉีไหวเอิน ให้ชูซย่าเข้าไปด้วยเพียงคนเดียว กำชับว่าหากเกิดเรื่องใดขึ้นให้เรียกหาตน
“ฮูหยิน เชิญทางนี้” คืนนี้คนออกมาเดินเที่ยวฉลองเทศกาลกันมาก ร้านรวงจึงค้าขายได้ดี เด็กในร้านพอเห็นสตรีงามอุ้มเด็กเข้ามาก็รีบเรียกให้นั่งอยู่โต๊ะตัวหนึ่งติดหน้าต่าง แล้วใช้ผ้าเช็ดเหงื่อมาเช็ดโต๊ะให้รอบหนึ่ง กลัวว่าแม่นางน้อยจะรังเกียจความสกปรก