ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 203-2 ปลูกฝังชายารัก (2)
ฟังดูแล้วกลับเหมือนการแข่งขันอันเลวร้ายระหว่างสายอาชีพเดียวกัน อวิ๋นหว่านชิ่นทำการค้าขายมาได้สักพัก มิใช่ว่านางจะไม่เคยเจอวิธีการโจมตีของสายอาชีพเดียวกันมาก่อน ทว่าหากคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนดูแล้ว กลับไม่เป็นเช่นนั้น
หอชุนหม่านเพิ่งจะเปิดกิจการแท้ๆ จะเรียกความอิจฉาริษยาจากผู้ใดได้ ต่อให้ศัตรูเอาคนมาพังร้าน ปกติก็ไม่ได้ใช้คนรับใช้ให้มาทำนี่นา ส่วนใหญ่แล้วจะใช้คนรับจ้างทำร้ายคนอื่นจากชุมชนต่างถิ่นมาแทน พอถึงเวลาก็ให้เงินค่าจ้างไปแล้วก็แยกย้าย ผู้ถูกกระทำฟ้องร้องก็จับมือใครดมมิได้ สุดท้ายก็ต้องปล่อยไป จะเป็นคนมีวรยุทธ์ที่เสื้อผ้าอาภรณ์ราคาแพงพวกนี้ได้อย่างไร ซ้ำยังให้พวกเขามาก่อเรื่องตะโกนคำพวกนั้นในที่สาธารณะอีก
ชูซย่ารู้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นมีสัมพันธ์อันดีกับใต้เท้าเฟิ่งผู้นั้น ครั้งนี้คงจะออกหน้าให้เขาเป็นแน่ ยามนี้นางได้ฟังก็เดือดดาลอยู่ไม่น้อย จึงเอ่ยแทรกขึ้นว่า “ใต้เท้าผู้ดูแลนั่นไม่เอาไหนเสียเลย เป็นผู้พิพากษาของเมืองหลวงแท้ๆ ประชาชนแจ้งความ เหตุใดจึงทำลวกๆ เช่นนี้ ผู้ดูแลวั่นวางใจเถิด ในเมืองหลวงนี้ กฎหมายเข้มงวด ไม่มีเรื่องใดที่ตรวจสอบไม่ได้! ให้นายหญิงข้าไปแจ้งความกับท่านอีกรอบยังได้…”
พูดยังไม่ทันจบดี กลับเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ครานี้กลับไม่กระตือรือร้นรับคำ เอ่ยแทรกนางขึ้นว่า “ผู้ดูแลวั่น เถ้าแก่เจ้ายามนี้ไม่เป็นไรแล้วกระมัง บ้านเขาอยู่ที่ใดหรือ”
“ไม่มีอันใดร้ายแรงขอรับ บ้านเถ้าแก่อยู่ที่หมู่บ้านอวี้สุ่ยถนนหลิ่วถีขอรับ”
ที่นั่นเรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมที่พักอาศัยอันหรูหราของเมืองหลวง อยู่ใกล้กับแม่น้ำสายใหญ่ของหนานเฉิง สภาพแวดล้อมสวยงาม ตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว เป็นแหล่งเรียกทรัพย์ที่ใกล้แม่น้ำ ดังนั้นบ้านเรือนที่นั่นจึงเป็นที่นิยมในหมู่พ่อค้าแม่ค้าที่ร่ำรวยของเมืองหลวงอย่างยิ่ง ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ที่ดินในถนนหลิ่วถีได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ มีทรัพย์สินเท่าใดก็ใช่ว่าจะได้ครอบครอง อีกทั้งยังต้องซื้อขายกันเท่านั้น มิได้ปล่อยให้เช่า ดูแล้ว เฟิ่งจิ่วหลังคงมิได้มาพักอยู่ชั่วคราว เขาจะอยู่ยาวเลยหรือ
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว ฝากบอกเถ้าแก่เจ้าให้พักรักษาตัวดีๆ อย่าเพิ่งโกรธหรือร้อนใจไป”
ผู้ดูแลวั่นเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ขอบพระคุณแม่นางยิ่ง” เขาพูดคุยอีกสองสามคำก็ออกจากเซียงหยิงซิ่วไป
อวิ๋นหว่านชิ่นมองตามไปเห็นสีท้องฟ้ามืดลงแล้ว วันนี้ไปนั่นมานี่อยู่ทั้งวัน นางเอ่ยลาหงเยียนคำหนึ่ง แล้วเดินนำชูซย่าออกจากร้านไปขึ้นรถที่มุมถนนจิ้นเป่าเพื่อเดินทางกลับ
เมื่อมาถึงจวนอ๋อง ดวงอาทิตย์ก็ใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งจะก้าวเข้าจวนมา บ่าวเฝ้าประตูก็รายงานว่าวันนี้ท่านอ๋องเลิกว่าราชการไวจึงกลับถึงจวนแล้ว เยี่ยนอ๋องก็มาด้วยเช่นกัน สองพี่น้องกำลังปรึกษาหารือข้อราชการกันอยู่ที่เรือนฮั่นม่อของเรือนตะวันตกเฉียงเหนือ
เรือนหลักคือห้องหนังสือ ติดกันเป็นห้องนอน สะดวกแก่การทำงานยิ่ง ทว่าเรือนฮั่นม่อที่อยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือนั้นใกล้กับแอ่งน้ำ สวยงามและเงียบสงบ ไร้ผู้คนมารบกวน ส่วนใหญ่เวลาเขาปรึกษาหารือข้อราชการสำคัญจึงมักจะมาที่นี่
นางรู้ดีว่าตั้งแต่ท่านอ๋องสามเริ่มรับผิดชอบดูแลงานราชการ นับวันยิ่งมีคนชะเง้อชะแง้ที่ประตูจวนฉินอ๋องเพราะอยากผูกสัมพันธ์ด้วย บ่าวไพร่ในจวนก็ทำตามที่ผู้เป็นนายสั่ง จึงมิได้สนใจพวกเขาเหล่านั้นมาโดยตลอด มีเพียงเยี่ยนอ๋องที่เข้าๆ ออกๆ ได้อยู่ตลอด บ่าวรับใช้รีบเปิดประตูกลางให้ ทำความสะอาดพื้นให้เรียบร้อย ต้อนรับเขาอย่างมีมารยาท
เยี่ยนอ๋องคือพี่น้องที่สนิทที่สุดเพียงคนเดียวของฉินอ๋อง ฉินอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ข้างกายต้องมีคนที่ทั้งรู้ใจและเชื่อใจได้ คนๆ นั้นจะเป็นผู้ใดมิได้ถ้ามิใช่เยี่ยนอ๋อง
ชาติก่อน ทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องกัน สนับสนุนซึ่งกันและกัน หลังจากที่เยี่ยนอ๋องขึ้นรับตำแหน่ง มีเกียรติมีศรีเป็นอย่างมาก โด่งดังมีชื่อเสียงไร้ที่สิ้นสุด ได้รับความสำคัญจากผู้เป็นพี่ไม่น้อย ทำงานเพื่อบ้านเมืองแต่กลับฉลาดปลิ้นปล้อน ไม่โอ้อวดออกหน้าออกตา ไม่เปรียบเทียบกับผู้อื่น และไม่ลากพรรคลากพวก ยืนอยู่ในฐานะกษัตริย์มาโดยตลอด อย่างไรเสียชาติก่อนนางคลับคล้ายคลับคลาว่าเพราะเยี่ยนอ๋องเคยถูกพระสนมเอกเฮ่อเหลียนเลี้ยงดูมาก่อน ได้รับความรักจากพระเจ้าจ้าวจงที่สุด แต่กลับไม่เคยได้ยินเยี่ยนอ๋องโอ้อวดอันใดมาก่อน อาจเพราะเยี่ยนอ๋องอ่อนน้อมถ่อมตน แม้ว่าจะได้รับความโปรดปราน แต่ก็มิเคยถูกคนเคียดแค้น กลับกันยังมีแต่คนรักใคร่เอ็นดู แม้ว่าพระเชษฐาจะจากไปก่อน แต่คาดว่าวันคืนที่ดีก็ไม่มีที่สิ้นสุด เรียกได้ว่าเป็นอ๋องที่โชคดีมีวาสนาทีเดียว
อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามออกมาอย่างอดมิได้ “ยังหารือกันอยู่หรือ มืดค่ำแล้ว ยังมิได้เสวยหรือ”
บ่าวตอบว่า “ไปถามมารอบหนึ่งแล้วขอรับ แต่ท่านอ๋องทั้งสองบอกว่าให้รอก่อน ยังไม่หิว”
อวิ๋นหว่านชิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเรียกชูซย่าไปเตรียมขนมอันประณีตกับชาร้อนในครัว รอเสร็จเรียบร้อย ก็หันเปลี่ยนทิศทางเดินไปยังเรือนฮั่นม่อ
นอกห้องหนังสือนั้น ซือเหยาอันเห็นเหนียงเหนียงมาก็เคาะประตูรายงานแก่คนด้านใน
ภายในห้องนั้น ม้วนฎีกากองอยู่บนโต๊ะ ทั้งคู่มีโต๊ะหนังสือที่ทำจากไม้จันทร์หอมกั้นอยู่ ปรึกษาข้อราชกิจที่สำคัญกันมาตลอดทั้งบ่าย กำลังพูดถึงกองทัพแนวหน้าที่เร่งด่วน และเกี่ยวกับเรื่องทหารรักษาการณ์ที่ยากจะเลี่ยงเหมิงหนูที่มาระรานประชาชนในชายแดน เรื่องนี้เกิดขึ้นอยู่เจ็ดแปดครั้งภายในปีเดียว จะมีเพิ่มอีกสิบยี่สิบครั้งก็ไม่น่าแปลกใจนัก อย่างมากก็ไม่ถึงกับต้องศึก อย่างน้อยที่สุดก็ทำเอารำคาญนับครั้งไม่ถ้วน ถึงเวลานี้ทีไร น้ำลายของพวกฝั่งยุให้รบกับฝั่งกล่อมให้สงบศึกในราชสำนักดุเดือดเสียยิ่งกว่าทหารแนวหน้าเสียอีก
ได้ยินซือเหยาอันรายการ บรรยากาศเงียบสงบภายในห้องก็พลันผ่อนคลายลง มุมโอษฐ์เยี่ยนอ๋องแย้มออกเป็นรอยยิ้ม ยักคิ้วเอ่ยว่า “พี่สาม พี่สะใภ้มาแล้ว”
“มาก็มาสิ” ซย่าโหวซื่อถิงเหลือบมองเยี่ยนอ๋องที่อยู่ตรงข้ามคราหนึ่ง ตรัสด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “ข้าบอกเจ้าไปตั้งแต่วันนั้นที่ให้เจ้าช่วยงานราชกิจแล้วว่าอย่าได้ทำวาจาท่าทางไม่เรียบร้อยเหลวไหล”
เยี่ยนอ๋องกลับมาทำสีหน้าท่าทางให้นิ่งสงบเช่นเดิม “อ้อ” ได้ยินเสียงบานประตูดังขึ้น รองเท้าปักลายเหยียบลงบนพรม กลิ่นหอมอวลมาตามลม เงาร่างคนงามนางหนึ่งเดินเข้ามาจากหลังม่าน นางถือปิ่นโตห้าชั้นที่ทำจากไม้แดงแกะสลักเป็นลวดลายดอกไม้ใบหญ้าเถาหนึ่ง
เยี่ยนอ๋องเพ่งมองไป ไม่รู้ว่าข้างในนั้นใส่อันใดเอาไว้บ้าง เห็นแค่ว่ามีห้าชั้นก็รู้ได้ว่าต้องมากมายหลากหลากเป็นแน่ แต่กลับได้ยินบุรุษข้างกายเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ามาแล้ว” แม้จะดูไม่ออกว่าน้ำเสียงยินดีหรือไม่ ทั้งไม่เห็นว่ายิ้มแย้มอยู่ แต่กลับปิดบังความอ่อนโยนไว้ไม่มิด กล่าวจบ แขนเสื้อก็ลอยลม หยัดกายเดินไปหานาง ฉวยเอาปิ่นที่ดูแล้วน่าจะหนักอยู่มาวางไว้บนโต๊ะ
เมื่อครู่ผู้ใดบอกว่าอย่าได้ทำวาจาท่าทางไม่เรียบร้อยเหลวไหลกันนะ เยี่ยนอ๋องส่ายหน้าอยู่เงียบๆ เข้มงวดกับพี่น้องแต่กลับปฏิบัติกับผู้อื่นเสียโอบอ้อมอารี
อวิ๋นหว่านชิ่นมองม้วนฎีกาบนโต๊ะคราหนึ่งแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ข้าได้ยินว่าท่านทั้งสองยังมิได้เสวย จึงให้คนทำของว่างรองท้องมาให้ ราชกิจเร่งด่วนก็อย่าได้ละเลยสุขภาพตัวเองนะเพคะ”
เยี่ยนอ๋องมองเสด็จพี่ของตน เห็นเขาเปิดฝาเอาขนมและอาหารร้อนๆ ออกมาทีละชั้นๆ อย่างเงียบๆ เพียงไม่นาน ฮะเก๋ากุ้ง เนื้อสันในอบเกลือ แป้งม้วนทอดกรอบหัวใจห่าน อัลมอนผลหัตถ์พระพุทธเจ้า มะยมฝรั่งเชื่อมก็กองอยู่ครึ่งโต๊ะหนังสือ พร้อมด้วยชาผู่เอ๋อร์แก้เลี่ยนกาหนึ่ง ช่างเหมาะยิ่ง
เยี่ยนอ๋องยังเยาว์ จึงทนหิวมิได้ เดิมทียังไม่เป็นไร พอได้กลิ่นหอมเข้าไปก็เริ่มอยากอาหารขึ้นมา เขาเอ่ยชมอย่างเต็มที่ว่า “เป็นพี่สะใภ้ที่ยังคงดีที่สุด!”
ซย่าโหวซื่อถิงที่คีบตะเกียบอยู่ก็วางลง เยี่ยนอ๋องเห็นเขาเสวยได้น้อย ก็มิกล้าทานเยอะ อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยคะยั้นคะยออยู่สองสามคำ ทั้งคู่จึงได้จับตะเกียบกันขึ้นมาใหม่
ทั้งคู่ทานกันไปพอควรแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้มองฎีกาที่กางอยู่ เอ่ยถามอย่างห้ามใจไม่อยู่ว่า “ยามนี้ราชสำนักมีเรื่องใดหรือ”
ดวงตาดำสนิทของซย่าโหวซื่อถิงมองนางเงียบๆ เขาวางถ้วยลง มิได้เอ่ยอันใด
นางจึงได้รู้ตัวขึ้นมาว่าตนปากไวไปหน่อย ยามนี้เขาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เรื่องการทหารที่สำคัญในราชสำนักมิอาจเอามาพูดมั่วซั่วได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการบอกเล่าแก่สตรีในครอบครัวเลย ไม่เหมาะทั้งด้านความรู้สึกและด้านเหตุผล นางกำลังจะหัวเราะกลบเกลื่อน กลับเห็นเขามองเยี่ยนอ๋องคราหนึ่ง
เยี่ยนอ๋องที่ยามนี้ในปากมีฮะเก๋ากุ้งที่ยังไม่ได้กลืนลงท้องอยู่ เข้าใจเจตนาของผู้พี่โดยพลัน เสด็จพี่ไม่สะดวกจะพูด ซ้ำเขาก็มิใช่อุปราช จะพูดก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว จึงเคี้ยวๆ อยู่สองสามครั้งก็กลืนลงท้องไป กล่าวว่า “อี๋ซื่ออ๋องส่งฎีกาจากทางเจียงเป่ยมาให้ บอกว่าทหารรักษาการณ์เหมิงหนูที่ชายแดนอาศัยจังหวะความคึกคักของการเฉลิมฉลองปีใหม่ วางแผนปล้นเขตตลาดการค้าข้ามแดนไม่ให้เหลือ โชคดีที่อี๋ซื่ออ๋องอยู่ชายแดนมานาน จึงมีประสบการณ์มาก พอได้ยินข่าวก็รีบให้กองกำลังทหารไปสกัดกั้นได้ทันเวลา จึงมิได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ซ้ำยังจับทหารเหมิงหนูไว้ได้หลายคน ขณะเดียวกันเหมิงหนูก็ป่าวประกาศแก่ใต้หล้าว่าทหารที่มาระรานเขตตลาดการค้าข้ามแดนนั้นเป็นทหารหนีทัพ ถูกราชสำนักถอดถอนสัญชาติไปนานแล้ว ไม่นับได้ว่าเป็นชาวเหมิงหนู การยั่วยุต้าเซวียนครานี้ก็มิใช่เจตนาของราชสำนักเช่นกัน ทว่าท้ายที่สุดแล้วคนพวกนั้นก็มาจากเหมิงหนู เพื่อแสดงถึงสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างเหมิงหนูกับต้าเซวียน ผู้สืบทอดนำของกำนัลมาให้ที่ค่ายทหารอี๋ซื่ออ๋องในนามองค์ฮ่องเต้ เพื่อแสดงความขอโทษ อี๋ซื่ออ๋องยามนี้ได้ส่งจดหมายพิเศษ…เพื่อขอความเห็นจากราชสำนัก”