ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 270 อำลา (1)
เฝยหลงเบิ่งตากว้างอย่างอดมิได้ “นางนั่นออกจะหยาบคายเกินไปกระมัง”
คนหยิบหย่งคนหนึ่งกระซิบว่า “ข้าว่านางสองคนฐานะน่าจะไม่ธรรมดา บุรุษพวกนั้นพินอบพิเทาพวกนางอย่างกับอะไรดี เกรงว่าคงมิใช่ง่ายๆ แค่ปีนขึ้นเตียงใต้เท้า พวกเราอย่าไปตอแยจะดีกว่า”
แม้เฝยหลงจะไม่อยากโดนสตรีขู่ แต่นึกถึงฉากนั้นอีกที เขายังคงใจเต้นไม่เป็นส่ำจึงพยักหน้าหงึกหงัก
บรรดาคนหยิบหย่งเห็นคนของหอซ่อนกระบี่ล้วนไม่อยากเกี่ยวข้องกับพวกเขา ต่อให้โง่กว่านี้พวกเขายังคงรู้ว่าคนประหลาดประดานี้ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา และคนพวกนี้แต่ละคนฝีมือไม่ธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าซี้ซั้วทักทายใคร ได้แต่แยกย้ายกันกลับห้องเก็บข้าวของแต่โดยดี แต่ก็ลอบสาบานว่า วันข้างหน้าจะให้คนที่ดูถูกตนพวกนี้ต้องประเมินสายตาใหม่ ทวงบัญชีนี้คืนมา
…
คนเสื้อผ้าปุปะท่าทางทุลักทุเลกลุ่มหนึ่งกำลังโซซัดโซเซบนทุ่งร้างมุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต
หนึ่งในจำนวนนั้นจู่ๆ ก็หกคะเมน พรรคพวกรีบพยุงขึ้นมา “ต้าสู่ระวังหน่อย!”
ต้าสู่ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เห็นเสื้อผ้าที่เข่าล้มเป็นรูโบ๋อีก ก็อดสบถต่ำๆ มิได้ “ไอ้ทหารไล่ล่าที่น่าตาย พวกเราโดนตามล่าจนหนีหัวซุกหัวซุนเช่นนี้ มิใช่วิธีที่ดีแน่!”
บุรุษที่พยุงเขาฝืนยิ้มอย่างจนใจ “ไม่วิ่งหนี แล้วจะให้ทำอย่างไร หรือจะให้มันจับไปทีละคนแล้วข่มขู่ใต้เท้ากับพวกพี่น้องหรือ”
ต้าสู่ ‘ถุย’ ใส่พื้นอย่างแรง แววตาคลุมด้วยหมอกเย็น “ไอ้สารเลวเอ้ย ไอ้พวกเฮงซวย รังแกได้เพราะเห็นว่าพวกเราคนน้อยกว่าชัดๆ!”
พวกเขาเคราะห์ร้ายจริง เดิมทีหนีออกมาหมดแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะถูกคนตามสะกดรอยอีก
พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าช่องโหว่อยู่ตรงไหน ได้แต่รีบร้อนหลบหนี ซ้ำร้ายถูกบีบจนต้องเปลี่ยนเส้นทาง เพื่อมิให้ฝ่ายตรงข้ามติดตามไปจนถึงจุดหมาย และเพราะตลอดทางไม่มีโอกาสได้พัก ดึกดื่นค่อนคืนยังต้องรีบเดินทาง ทุกคนเหนื่อยจะขาดใจ “ต้าหาน เจ้าว่าตอนนี้พวกเฝยหลง เสี่ยวโหลว กับใต้เท้าไปถึงหมู่บ้านน้อยหรือยัง” บุรุษที่อยู่ข้างกายต้าสู่ถาม
บุรุษผู้นั้นพยักหน้า “น่าจะถึงแล้ว”
ต้าสู่ถอนใจคราหนึ่งเลียริมฝีปากที่แตกระแหงของตนเอง “ถึงแล้ว ก็ดีแล้ว!”
ถ้าพวกเขาแค่ซวยก็ยังดีอยู่
“ถ้าพวกเราโดนจับได้…” ต้าหานเห็นสภาพตอนนี้เป็นกังวลมาก
พวกเขาเดิมทีมิใช่ยอดฝีมือชาวยุทธจักรอยู่แล้ว ร่างกายที่เคยแต่ขโมยไก่กัดหมาแม้ตลอดเดือนเศษจะถูกเจี่ยงอี้จ่างฝึกจนดีขึ้นบ้าง แต่ใช้ในการหนีเอาชีวิตรอดอย่างลำเค็ญเช่นนี้ยังคงไม่ไหว ดังนั้นความเร็วจึงช้าลงๆ ทุกที
ต้าหานกับพวกคนหยิบหย่งมองดูแล้วทนไม่ไหว
“พอแล้ว พวกเราถ่วงเวลาได้แค่ไหนก็แค่นั้นเถิด” ต้าสู่อดถอนใจมิได้ “ถ้าเกิดโดนจับ…”
เขาหยุดลงแล้วมองดูทุกคนอย่างเย็นชา “พวกเราถ่วงได้แค่ไหนก็ได้แค่นั้น ด้วยความฉลาดของใต้เท้า ย่อมรู้แน่ว่าพวกเราเป็นเรื่องแล้ว และย่อมจะนำพาพี่น้องเคลื่อนย้าย”
เขารู้ดีว่าพวกเขามิใช่ชายชาติชาตรีกระดูกเหล็กแต่อย่างใด โดนลงทัณฑ์ทารุณเข้า แต่ถ่วงเวลาได้สักพักก็ยังดี
พวกหยิบหย่งอื่นๆ ผงกศีรษะและจะเดินทางต่อ นึกไม่ถึงพลันได้ยินเสียงสัญญาณหวูดดังมาแต่ไกล และแผ่นดินสะเทือนอย่างรวดเร็ว
ต้าหานหน้าถอดสีในพริบตา “บิดามันเถิด รีบหนีเร็ว เป็นทหารไล่ล่า!”
สองวันนี้พวกเขาได้ยินเสียงหวูดอันตรายนี้บ่อยครั้ง
พวกเขาวางกับดักเล็กๆ สะบัดทหารที่ตามล่าพวกนี้ห่างไประยะหนึ่งชัดๆ นี่นา ทำไมถึงโดนตามอีกเล่า!
คนกลุ่มนี้รีบลุกลี้ลุกลนหนีต่อไป
แต่ครั้งนี้ เสียงนั้นกลับพาคนและม้ากองใหญ่ล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว และยังมีคนล้อมขวางทางอยู่ข้างหน้าอีก
…
ในทุ่งร้างแห่งหนึ่ง ทหารกลุ่มใหญ่กำลังขับม้าเร่งเดินทางคุ้มกันรถม้าประณีตหรูหราคันหนึ่งไว้ตรงกลาง บุรุษท่าทางเหมือนองครักษ์คนหนึ่งตะบึงสวนทางกับทุกคนเข้ามา และหยุดลงข้างรถม้า กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “คุณชายใหญ่ คนพวกนั้นถูกเราล้อมไว้แล้วขอรับ!”
มือเรียวยาวข้างหนึ่งเลิกม่านไข่มุก เผยให้เห็นใบหน้าสตรีทรงเสน่ห์คนหนึ่ง “คุณชายใหญ่บอกว่า ถ้าพวกมันยอมแพ้ก็แล้วกันไป ถ้าไม่ยอมแพ้ก็ไม่ต้องนำพาอะไรมากนัก”
“ขอรับ!” องครักษ์ผู้นั้นรับคำบัญชาแล้วชักม้าจากไปทันที
ชิงเหลียนปล่อยม่านลง อาการเก่าจากบาดเจ็บที่อกยังคงปวดตุ้บ กระแอมไอหลายครั้งแล้วจึงหันไปกล่าวกับเหมยซูที่ยังหลับตาพักผ่อนในรถ “คุณชาย ทำไมจู่ๆ ตัดสินใจลงมือตอนนี้ ก่อนหน้านี้มิใช่ตัดสินใจจะให้พวกมันนำเราไปที่ซ่อนตัวชิวเยี่ยไป๋หรอกหรือ”
เหมยซูลืมตาเล็กน้อย คิ้วคางฉายแววเย็นชา“ข้าดูแคลนไอ้พวกโง่ของกองคั่นเฟิงเกินไป เดิมทีพวกมันไม่มีสมอง กลับลืมไปว่าเวลานี้พวกมันเป็นคนของ ‘นกเหยี่ยวไห่ตงชิง’ ผ่านการฝึกเบื้องต้นมาแล้ว แม้จะยังใช้งานอะไรไม่ได้มาก แต่กลับพาพวกเราอ้อมเป็นวงกว้าง”
เขาอาศัยเบาะแสต่างๆ บวกกับจับมั่วเสียนได้วานนี้ จึงสันนิษฐานว่าคนที่ติดตามชิวเยี่ยไป๋มิใช่ชาวยุทธจักรแต่อย่างใด หากเป็นพวกคนหยิบหย่งของกองคั่นเฟิง ขณะเถียงกันมีคนพบร่องรอยของกองคั่นเฟิง ดังนั้นพวกเขาจึงไล่ตามตลอดทาง และพบว่าเป็นแค่สมุนตัวเล็กตัวน้อยเพียงสามสิบกว่าคน
ชื่อเสียงกองคั่นเฟิงแย่มาก ย่อมไม่อยู่ในสายตาของเขา เดิมทีคิดจะอาศัยพวกมันเข้าจู่โจมที่ซ่อนตัวของ ‘เหยี่ยวไห่ตงชิง’ แต่หนึ่งคืนผ่านไป เขาจึงพบว่าไอ้พวกสารเลวงี่เง่าประดานี้ ถึงกับพาพวกเขาอ้อมยกใหญ่!
“ท่านรู้ได้อย่างไร” ชิงเหลียนถามอย่างไม่เข้าใจ
นางเพิ่งพูดขาดคำ ก็เห็นองครักษ์คนเดิมห้อกลับมาอีกครั้ง “รายงาน จับตัวได้แล้ว”
ชิงเหลียนรีบโบกมือให้อีกฝ่าย โยนถุงเงินให้รางวัล องครักษ์รับไว้สีหน้าดีใจ “ขอแสดงความยินดีกับคุณชายใหญ่”
เขารีบพูดอีก “เรียนคุณชายใหญ่ เมื่อครู่สายลับแจ้งว่ามีคนกลุ่มใหญ่กำลังมาทางเรา จะให้พลธนูเตรียมป้องกันหรือไม่ขอรับ”
เหมยซูในรถร้องเฮอะเบาๆ แววตาคมกริบ “นกเหยี่ยวตัวนั้นบินไม่ไกลหรอก ถ้าไกลเกินไปก็จะหนุนพวกโง่นี่ไม่ได้แล้ว”
แม้จะไม่รู้ว่าทำไม นกน้อยจึงยอมนำพาคนโง่พวกนี้ แต่ถ้าไอ้โง่พวกนี้ทำให้นางพะวงได้ อย่างนั้นก็…
เขาหรี่ตาเล็กน้อย กล่าวเสียงเย็นชาว่า “ไม่จำเป็น พาคนทั้งหมดเข้ามา!”
พูดจบก็สั่งอีก “รีบไปจัดทำแคร่ชั่วคราว ประหารด้วยการแขวนคอ แล้วเอาพวกนั้นขึ้นแขวนให้หมด”
“สารเลว รีบวางข้าลง!”
“เจ้าหลานเต่า พวกเจ้าแขวนปู่ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร!”
“เจ็บ…ข้า***ปู่เจ้า!”
บนทุ่งร้างใต้ภูเขาไม่ใหญ่นัก แคร่แขวนคอหลายอันถูกตั้งขึ้น บนนั้นแขวนเงาร่างหลายเงา ใต้เท้าฝืนรองไว้ด้วยท่อนซุงที่เพิ่งตัดมาใหม่ๆ คนที่โดนแขวนไว้กำลังตะโกนด่าทอด้วยโทสะ
ข้างแคร่แขวนคอก็มีอีกหลายสิบคนถูกคุมตัวไว้ ดาบแกว่งไปมาพาดกับคอ