ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ - ตอนที่ 960 มันเรื่องของฉัน
ในขณะที่พูดคุยเกี่ยวกับการยกเว้นค่าบริการกับหัวหน้ากองคาราวานการค้า หลี่ว์ซู่ก็สังเกตเห็นสีหน้าท่าทีของซุนจ้งหยางและพวกของเขา ซุนจ้งหยางและพวกของเขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากและทำราวกับว่าการลอบโจมตีนั้นไม่มีอะไรร้ายแรง
ในท้ายที่สุด หัวหน้ากองคาราวานก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรกับหลี่ว์ซู่ ไม่เพียงแต่เขาเห็นด้วยกับคำขอยกเว้นค่าบริการของหลี่ว์ซู่เท่านั้น แต่เขายังสัญญาด้วยว่าหากพวกเขาได้พบกันอีกในอนาคต หลี่ว์ซู่จะสามารถติดตามกองคาราวานไปได้โดยไม่เสียค่าบริการเสมอ
แม้ว่าหัวหน้ากองคาราวานจะฉลาด แต่เขาก็รู้ว่าหลี่ว์ซู่ได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ หากเขาตายไปก่อน ตระกูลซุนก็อาจจะมาล้างแค้น แต่เมื่อคนที่ต้องการแก้แค้นตายไปแล้ว จะแก้แค้นไปทำไมล่ะ?
อย่างไรก็ตาม จุดยืนของเขายังคงชัดเจนมาก กองคาราวานการค้าพบสถานที่ที่ปลอดภัยเหมาะสมพอที่จะตั้งค่ายที่พักในวันนั้น และหัวหน้ากองคาราวานการค้าก็บอกซุนจ้งหยางและพวกของเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น ลูกธนูที่น่าสะพรึงกลัวและการวิเคราะห์ทาสของเขา และสิ่งที่หลี่ว์ซู่สร้างความประหลาดใจให้เขา!
“เมื่อคิดดูแล้ว กระผมยังไม่ทันได้สังเกตเห็นลูกธนูจริงๆ แต่เล่ออี๋หลี่ว์สัมผัสรู้ล่วงหน้าได้ก่อน ตอนนั้นกระผมก็ไม่มีเวลาโต้ตอบได้ทันและตอนนั้นก็รีบร้อนจนไม่มีเวลาคิด เลยพลาดรายละเอียดบางอย่างไปบ้าง หัวหน้ากองคาราวานการค้ากล่าวขณะที่นึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“หมายความว่าอันที่จริงแล้ว เขาสังเกตเห็นก่อนที่ลูกธนูจะมาถึง แต่นายเพิ่งรู้ก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงดังมาจากระยะไกล” ซุนจ้งหยางกล่าวขณะนั่งข้างกองไฟ “นั่นหมายความว่าเขาเป็นยอดฝีมอจริงๆ หรือ?”
“ใช่แล้ว” หัวหน้ากองคาราวานการค้าพยักหน้า “นอกจากนี้ยังสงสัยว่าเขาอาจค้นพบลูกธนูก่อนตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาแสร้งทำเป็นเพิ่งพบมันเมื่อลูกธนูกำลังจะพุ่งใส่ร่างของกระผมแล้ว เพื่อช่วยชีวิตของกระผมเอาไว้”
“หมายความว่าเขาจงใจทำเพื่อให้นายต้องยอมรับติดหนี้บุญคุณช่วยชีวิตของเขาหรือ?” โม่เสี่ยวหยาครุ่นคิด “ทำไมเขาถึงทำเช่นนี้? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาไม่สามารถช่วยได้ล่ะ?”
หัวหน้ากองคาราวานการค้าครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะกล่าวตอบว่า “เป็นไปได้ว่าเขาทำเพื่อให้กระผมซาบซึ้งใจเป็นการส่วนตัวเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องจ่ายบริการของเขาในการเดินทางไปเมืองหลวง…
ซุนจ้งหยางถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เหตุผลนี้…ฉันคิดว่าเป็นไปได้มากทีเดียว… “
โดยทั่วไปแล้วเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีเช่นนี้มักไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเงิน ในมุมมองของซุนจ้งหยางนั้น เงินที่หลี่ว์ซู่ต้องจ่ายสำหรับการไปเมืองหลวงนั้นย่อมไม่มีความสำคัญใดๆ อย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับหลี่ว์ซู่ พวกเขาก็คิดว่าหลี่ว์ซู่ตั้งใจทำเช่นนั้น โดยให้หัวหน้ากองคาราวานการค้ารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเขาเป็นการส่วนตัวเพื่อที่เขาจะได้มุ่งหน้าไปเมืองหลวงโดยไม่ต้องจ่ายเงิน…
ทุกคนล้วนมีบุคลิกแตกต่างกัน ดังนั้นมุมมองและความคิดของพวกเขาในสิ่งต่าง ๆ จึงแตกต่างกัน แต่ความรู้ความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับหลี่ว์ซู่นั้นช่างเหมือนกันอย่างน่าประหลาดใจ
“นายคิดว่าเขาทำจริงจังเช่นนี้เพื่อเงินจำนวนเล็กน้อยนั้นแค่นั้นจริงๆ หรือ?” ซุนจ้งหยางยังไม่เชื่อ
โม่เสี่ยวหยาเกลียดชังหลี่ว์ซู่อย่างยิ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของซุนจ้งหยาง นางก็แค่นเสียงหัวเราะเยาะเย้ยออกมา “เหอะๆ ชายผู้นี้ยินดีทำทุกอย่างเพื่อเงินจริงๆ หากเขายอมรับเงินเก็บออมมาตลอดชีวิตของสวีมู่จวินได้ แล้วจะมีอะไรอีกที่เขาจะทำไม่ได้? ฉันคิดว่าเขาทรยศต่อผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยเพราะเงิน เวลานี้ฉันรู้สึกว่าการได้พบกับเขาเป็นสิ่งที่โชคร้ายที่สุดที่ผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยเคยประสบมาเลยทีเดียว”
“เฮ้ นายคิดบ้างไหมว่า หรือจะเป็นศัตรูของเราส่งเขาให้เข้าไปแทรกซึมในกองทัพล่วงหน้าหรือเปล่า?” ใครบางคนเอ่ยถามขึ้น
“ไม่น่าเป็นไปได้” ซุนจ้งหยางส่ายศีรษะ “บอกตามตรง มันน่าแปลกใจที่เขามาอยู่ในกองคาราวาน หากเขาเป็นสายลับแล้วซุ่มรอจะทำร้ายเราจริงๆ เขาก็ไม่น่าจะทำตัวให้เด่นออกมา…”
หลี่ว์ซู่กำลังทำตัวให้เด่นหรือ? ไม่นะ อันที่จริงแล้ว หลี่ว์ซู่ไม่ได้เด่นอะไรเลย แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซุนจ้งหยางและพวกของเขาถึงสนใจหลี่ว์ซู่มากนัก…
“เฮ้ พวกนายคิดว่าเขาอาจจะเป็นผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยหรือเปล่าล่ะ?” ใครบางคนถามขึ้นอย่างสงสัย
“ไม่น่าจะใช่นะ มียอดฝีมือระดับหนึ่งสี่คนอยู่ในอันดับแรกของกองทัพอู่เว่ย และผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยก็ย่อมต้องเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ไม่เช่นนั้น เหตุใดคนอื่นๆ ถึงฟังเขาล่ะ และเล่ออี๋หลี่ว์ผู้นี้ก็ไม่มีจิตวิญญาณทางทหารเลย!”
“ฉันคิดว่าเรายังต้องระวังเขาเอาไว้ดีกว่า” โมเสี่ยวหยากล่าวอย่างเย็นชา แล้วถามหัวหน้ากองคาราวานว่า “นายคิดว่าเขาอยู่ในระดับใด”
“น่าจะเป็นยอดฝีมือระดับสองขั้นสูงสุด” หัวหน้ากองคาราวานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า “เขาดูไม่เหมือนยอดฝีมือระดับหนึ่ง แต่เขาก็ดูเกินกว่าจะเป็นยอดฝีมือระดับสองธรรมดา คุณชายอาจจะไม่ได้ สังเกตท่าทีของเขาในขณะนั้น แต่กระผมสังเกตเห็น… เขาดูสงบเกินไป คนธรรมดาจะไม่นิ่งสงบถึงขนาดนั้น มันเหมือนกับว่า เขามีความรู้สึกว่าการลอบโจมตีและการต่อสู้นั้นล้วนเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาเหมือนกับการดื่มน้ำและการกินที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเขา!”
และนั่นก็คือสิ่งที่หัวหน้ากองคาราวานรู้สึกในเวลานั้น เขาไม่รู้ว่าเขาวิ่งกองคาราวานมากี่ปีแล้ว เขาได้พบกับโจร กองทหารประจำการ และสงคราม เรียกได้ว่าเขาได้เห็นคลื่นลมรุนแรง สถานการณ์วุ่นวายต่างๆ มามากมายแล้ว แม้ว่าเขาจะจัดการกับวิกฤตได้เสมอ แต่หัวหน้ากองคาราวานก็สามารถจะสงบสติอารมณ์ได้เมื่อเผชิญกับการลอบโจมตีและลูกธนูขนนกที่อยู่ข้างหน้าเขา ในขณะที่ความสงบของหลี่ว์ซู่นั้นให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาสามารถควบคุมชีวิตและความตายอยู่ในมือของเขาเองอย่างสมบูรณ์ และไม่มีใครจะสามารถแตะต้องมันได้เช่นกัน
โมเสี่ยวหยาเยาะเย้ยว่า “ฉันรู้ว่าเขาต้องมีบางอย่างผิดปกติ ฉันคิดว่าเราควรให้ความสนใจติดตามเขาอย่างใกล้ชิด หากเขายังสามารถทรยศผู้บัญชาการทหารได้ แล้วเขาจะทรยศเราเพื่อเงินไม่ได้หรือ? เราควรขับไล่เขาออกไปเพื่อไม่ให้เขากลายเป็นภัยคุกคามกองคาราวานหรือไม่?”
“เสี่ยวหยาพูดถูก เราควรป้องกันเอาไว้ก่อน แต่จะเป็นการโหดเหี้ยมเกินไปหรือไม่ที่จะไล่เขาออกไป?” ใครบางคนสงสัย
และชั่วขณะนั้นก็มีได้ยินเสียงควบม้าดังขึ้นในยามค่ำคืน พร้อมกับเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดของรถม้าที่บดล้อลงบนพื้น ไม่ใช่ว่าจะมีใครมา แต่มีคนจะออกจากกองคาราวาน…
ซุนจ้งหยางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะนำคนกลุ่มหนึ่งรีบไปดู จากนั้นใบหน้าของเขาก็มืดทะมึนขึ้นทันทีเมื่อพบว่า ในขณะนั้น หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังจะจากไปในคืนนั้น
เขายังคงคิดอยู่ว่าการขับไล่ผู้คนออกไปนั้นโหดร้ายเกินไปหรือไม่ แต่ว่าหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เองกลับต้องการที่จะจากไป
ซุนจ้งหยางเป็นคนฉลาด ดังนั้นในเวลานี้ ซุนจ้งหยางจึงอยากทำความเข้าใจว่าทำไมชายหนุ่มคนนี้จึงต้องการจะจากไป และอีกฝ่ายก็กังวลว่าเขาจะกลายเป็นเหยื่อที่ถูกซุ่มโจมตีและถูกปิดล้อมพร้อมกับกลุ่มคนของเขา! พวกเขาแค่กังวลถึงความปลอดภัยหากมีหลี่ว์ซู่ร่วมทางไปด้วย แต่สิ่งที่หลี่ว์ซู่กังวลคือ เขาคิดว่าอาจจะไม่ปลอดภัยที่จะติดตามกลุ่มคนเหล่านี้ไป…
“ได้รับแต้มอารมณ์จากซุนจ้งหยาง+666…”
“จาก… ”
ใบหน้าของซุนจ้งหยางมืดทะมึนขึ้นทันทีขณะถามว่า “นายจะไปไหน?”
หลี่ว์ซู่กล่าวตอบอย่างสงบว่า “เมื่อเป็นแบบนี้ ฉันคิดว่ามันไม่ปลอดภัยที่จะติดตามพวกนายไป พวกเราค่อยไปพบกันในเมืองหลวงอีกครั้งเถอะ แล้วฉันจะช่วยหาผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ย…”
โมเสี่ยวหยาโกรธจัดขณะกล่าวว่า “นายคิดจะไปในขณะที่ตอนนี้ทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตรายงั้นหรือ?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ?” หลี่ว์ซู่งุนงงเล็กน้อย สำหรับเขา นี่คือกลุ่มคนที่คอยจับผิดเขาแม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม เขายังดีพอด้วยซ้ำที่ไม่กวาดล้างพวกเขาทั้งหมดพร้อมกันในช่วงกลางดึก…
โมเสี่ยวหยาผงะไปชั่วขณะแล้วกล่าวว่า “นายจะทิ้งสหายและหนีไปเมื่อมีอันตรายเช่นนี้ ต่อให้อยู่รอดได้ดี แล้วนายยังจะคบใครได้อีกหรือ?”
“แล้วมันเรื่องของเธอหรือ?” หลี่ว์ซู่ยิ่งรู้สึกแปลกใจมากขึ้น
เขามองโม่เสี่ยวหยาที่เงียบงันไป และทันใดนั้นก็ถอนหายใจออกมา ความจริงแล้ว ในชีวิตนี้ มันก็มีเพียงการใช้คำว่า “มันเรื่องของเธอ” และ “มันเรื่องของฉัน”
แล้วมันก็ให้ประโยชน์ในการช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ได้มากมายทีเดียว…