ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ - ตอนที่ 665 รู้สึกจนไปชั่วขณะ
หลังจากที่หลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยเดินทางมาถึง เซี่ยเหรินเซิงและคนอื่นๆ ก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาก ตอนแรกพวกเขาก็อิจฉาที่เห็นองค์กรอื่นๆ มียอดฝีมือระดับ B กันทั้งนั้น ตัดภาพมาที่พวกเขาที่มีผู้บำเพ็ญระดับ C ขั้นสูงอย่างเซี่ยเหรินเซิงคนเดียวเท่านั้น นี่ทำให้พวกเขารู้สึกย่ำแย่อย่างบอกไม่ถูก พวกเขาตัวสั่นด้วยความกลัว
แล้วตอนนี้ผู้บำเพ็ญระดับ B ก็มาถึงแล้ว และไม่ใช่แค่หนึ่งเท่านั้น แต่มากันสองคน!
ครู่ต่อมา หลี่ว์ซู่ก็เห็นว่าน่าหลานเชวี่ยไม่ยอมรับการยกโทษของเครือข่ายฟ้าดินหรอก หลี่อีเสี้ยวถูกส่งตัวมาที่นี่ ในขณะที่เธอเป็นฝ่ายร้องขออยากมาที่นี่ด้วยต่างหาก
เนี่ยถิงวางแผนมาอย่างดีแล้ว เขาจ่ายเงินมอบหมายงานให้คนคนเดียว แต่ผลกลับได้ถึงสองคนมาช่วย คุ้มเงินที่เสียไปมากเลยล่ะ
เอาจริงๆ แล้วเนี่ยถิงไม่คิดเลยว่าคนอย่างหลี่อีเสี้ยวจะมีน้ำยาหายอดฝีมือหญิงแบบนี้มาได้
ในขณะที่เซี่ยเหรินเซิงกำลังเตรียมห้องให้หลี่อีเสี้ยวอยู่นั้น เขาก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ราชันฟ้าหลี่ครับ ราชันฟ้าเนี่ยเป็นคนออกคำสั่งให้เราไปทำลายสำนักงานใหญ่ EO เหรอครับ”
เมื่อหลี่อีเสี้ยวได้ยินอย่างนั้นแล้วเขาก็ชะงักครู่หนี่งก่อนตอบออกมา “ไม่เชิงหรอก เขาบอกให้เราทำงานกับ EO ให้นานที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้องค์กรอื่นมาล้อมเราได้ แต่ถ้าเราไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ละก็ เราต้องสวมตำแหน่งของพวกเขาแล้ว ฉันรู้สึกว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นหรอก!”
“อะไรนะครับ…” เซี่ยเหรินเซิงอึ้งไป “งั้นคุณหมายความว่า…”
เซี่ยเหรินเซิงเข้าใจกลยุทธ์ของเนี่ยถิงแล้ว สุดท้ายแล้ว EO ก็เหมือนตัวกันชนไม่ให้องค์กรอื่นๆ เข้ามาทำร้ายเครือข่ายฟ้าได้โดยตรง ไม่เคยมีเหตุการณ์ไหนเลยที่ไม่เกิดการหลั่งเลือดขึ้นระหว่างการถกเถียงแย่งทรัพยากร
แต่ก่อนที่เซี่ยเหรินเซิงจะทันได้พูดอะไรออกไป หลี่อีเสี้ยวก็หันมาจ้องเขา “ไม่เชื่อการตัดสินใจของฉันงั้นเหรอ”
เซี่ยเหรินเซิงอุทานด้วยความแปลกใจ “ฮะ อะไรนะครับ”
เขาพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นเหรอ
หลี่ว์ซู่ขี้เกียจพูดคุยกับคนอย่างหลี่อีเสี้ยว หลังจากนี้แล้วเขาก็ต้องไปยุโรปต่อ เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ควรทำตัวคุ้นเคยกับหลี่อีเสี้ยวให้มาก ถ้าเขาปล่อยข้อมูลอะไรเล็ดลอดออกไปแล้ว การเดินทางในครั้งนี้ก็คงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนแน่ๆ
แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรแร่ที่ EO มีแล้ว เมื่อหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยมาที่นี่แล้ว เขาก็ไม่สนใจหรอกว่าพวกเขาจะใช้วิธีอะไรกันแบบไหน เมื่อองค์กรอื่นค่อยๆ ถอนตัวกันไปทีละกลุ่มสองกลุ่ม เดี๋ยวพวกเขาก็สามารถยึดเอาแร่นี้มาเป็นของพวกเขาได้
หลี่ว์ซู่เดินกลับไปห้องตัวเองเงียบๆ และนั่งดูว่าตัวเองได้อะไรจากการต่อสู้ครั้งนี้มาบ้าง อย่างแรกเลยเขาได้อาวุธวิเศษมามากกว่าหนึ่งร้อยอัน
หลี่ว์ซู่หยิบอาวุธชิ้นหนึ่งขึ้นมาดูใกล้ๆ พวกนี้ทำจากวัสดุที่ใช้หลอมดาบยาวธรรมดาซึ่งเข้ากันได้ดีกับพลังของคนใช้แต่มันก็ไม่ได้หายากอะไร แสดงให้เห็นว่ายอดฝีมือระดับ B ที่หลี่ว์ซู่เพิ่งฆ่าไปใต้ทะเลนั้นจนมากๆ เขาเพิ่งนึกออกด้วยว่าคนคนนั้นไม่ได้มีช่องเก็บของล่องหนอีกต่างหาก
แต่ช่องเก็บของล่องหนก็ค่อนข้างหายากอยู่ เพราะการใช้ประโยชน์และราคาของมันนั่นแหละ
จนถึงทุกวันนี้ ทั่วโลกก็ยังไม่มีโบราณสถานเปิดใหม่มากนัก แต่โบราณสถานที่เปิดก่อนหน้านี้ก็ถือว่ามีเยอะอยู่ มีบางแห่งที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลถูกเปิดขึ้นก่อนยุคพลังจิตวิญญาณเริ่มต้นเสียอีก แต่ก็ไม่มีใครหามันเจอ แล้วโบราณสถานทุกที่ก็ไม่ได้ดึงดูดผู้บำเพ็ญจากทั่วโลกให้ไปด้วย บางคนก็แอบเอาดวงตาค่ายกลออกมาจากโบราณสถานด้วย
เครือข่ายฟ้าดินเคยให้ข้อมูลไว้ว่ามีโบราณสถานบางแห่งที่เปิดออกตอนช่วงเริ่มต้นของยุคพลังจิตวิญญาณ และสัตว์ประหลาดในโบราณสถานก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น บางคนถึงกับใช้อาวุธสมัยใหม่ในการจัดการกับมันก็มี
แล้วช่องเก็บของล่องหนก็ถูกปล่อยออกมาแบบนี้แหละ มีอาวุธวิเศษที่ถูกทิ้งไว้แบบไม่มีใครสนใจด้วย หนึ่งในนั้นมีแหวนของแอนโธนี่ด้วย
หน้ากากของหลี่ว์ซู่เองก็มีพื้นที่ในหน้ากาก สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วหน้ากากของเขายังดูใช้งานได้ดีกว่าช่องเก็บของล่องหนอีก
เดี๋ยวนี้การมีช่องเก็บของล่องหนของผู้บำเพ็ญระดับ B ขึ้นไปกลายเป็นตัวตัดสินแล้วว่าคนคนนั้นรวยหรือจน หรือบางคนก็อาจคิดกระทั่งว่าผู้บำเพ็ญคนนี้แข็งแกร่งหรือเปล่า…
หลี่ว์ซู่เอาแหวนมิติของฮาเวิร์ดออกมา เขาเปิดมันออกแล้วมองดูใกล้ๆ เขาใจอ่อนเลย ฮาเวิร์ดใจดีจริงๆ เขาเหลือของให้หลี่ว์ซู่ตั้งหลายอย่างแน่ะ!
มีศิลาวิญญาณอยู่ประมาณร้อยกว่าเม็ดในแหวนมิติ และมีเงินสดเป็นปึกอยู่ประมาณโหลหนึ่ง เขาเตรียมตัวสำหรับเหตุฉุกเฉินเป็นอย่างดีเลยสิเนี่ย
ส่วนสกุลเงินทั่วไปยังไม่ได้ล่มสลายลง ในความเป็นจริงแล้วพวกผู้บำเพ็ญก็ไม่ได้อยากให้ความเป็นไปของโลกล่มสลายลงไปด้วยหรอก ถ้ามันล่มสลายขึ้นมาก็หมายถึงความยุ่งเหยิงโกลาหล แถมยังต้องสร้างระบบขึ้นมาใหม่อีก
ทุกคนก็ได้ประโยชน์จากระบบสกุลเงินอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องไปเปลี่ยนอะไรหรอก
แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย สิ่งที่ทำให้เขาดีใจก็คือผลไม้มากมายในแหวนมิติของฮาเวิร์ดต่างหาก!
ทุกคนรู้ดีว่าผลปะทุพลังนั้นสำคัญมาก เศรษฐีจากยุคก่อนๆ มักซื้อผลไม้นี้ให้กับทายาทของตัวเอง พวกเขาหวังจะใช้ทรัพยากรนี้เพื่อผลิตยอดฝีมือที่มีความสามารถในโลกแห่งการบำเพ็ญ
ถึงจะใช้เงินสดในการซื้อผลไม้พวกนี้ไม่ได้ แต่พวกเขาก็ยังข้อได้เปรียบในเรื่องมรดก พวกเขาอาจจะมีอาวุธวิเศษเก็บไว้อยู่ก็ได้
ยิ่งกว่านั้นองค์กรใหญ่ๆ ก็ยินดีที่จะซื้อขายแลกเปลี่ยนของพวกนี้โดยเอาผลไม้ไปแลกด้วย
ผลไม้ตั้งเยอะแน่ะ! ดวงตาของหลี่ว์ซู่เป็นประกาย ต้องใช้อาวุธวิเศษกี่อันไปแลกถึงจะได้ผลไม้พวกนี้มากันล่ะเนี่ย แล้วก็ทำให้เขาอาจจะได้อาวุธวิเศษมาด้วยนะ!
หืม แต่เดี๋ยวก่อนนะ มีบางอย่างแปลกๆ หรือเปล่า ทำไมเขารู้สึกว่าผลไม้พวกนี้ดูคุ้นตาแปลกๆ!
เขาเอาผลไม้ทั้งหมดมาวางไว้บนโต๊ะ เขาเพิ่งมาเห็นว่าตัวเองไม่สามารถรู้สึกได้ถึงพลังงานอะไรที่ควรจะแผ่ออกมาจากผลไม้พวกนี้เลย!
หลี่ว์ซู่งงไปหมด หลังจากที่เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาก็ถ่ายรูปส่งไปถามจงอวี้ถัง [ผลไม้พวกนี้คืออะไรน่ะ]
จงอวี้ถังอึ้งไปเหมือนกัน [อะโวคาโดไม่ใช่เหรอ ช่วงนี้คนกินกันเยอะอยู่นะ]
หลี่ว์ซู่เงียบไปเลย เขารู้สึกจนไปชั่วขณะ มันเป็นแค่ผลไม้ธรรมดาเองเหรอ!
ก็ไม่ต้องพูดมากอะไรหรอก ถ้าผลไม้พวกนี้ไม่มีพลังงานแผ่ออกมา มันก็เป็นแค่ผลไม้ธรรมดาเท่านั้นแหละ หลี่ว์ซู่คิดแล้วว่าผลไม้พวกนี้มันคุ้นๆ แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นผลไม้ธรรมดาเลย เขาไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร
แล้วทำไมฮาเวิร์ดต้องเอาผลไม้ตั้งเยอะติดตัวด้วยล่ะ ชีวิตมีมาตรฐานสูงขนาดนั้นเลยเหรอ
หลังจากที่แยกผลไม้ตามประเภทแล้ว เขาก็พบว่าฮาเวิร์ดมีผลไม้ปะทุพลังในช่องเก็บของล่องหนของเขาแค่หกผลเท่านั้น มิน่าล่ะตอนที่เบ็นเนตต์ขอผลไม้ปะทุพลังสิบผลแล้วฮาเวิร์ดก็ไม่รีบตะครุบคำร้องขอนั้นไว้ เพราะเขาเองก็มีไม่เยอะนี่เอง
หลี่ว์ซู่ยังมีผลไม้สีน้ำเงินอยู่อีกสองผล และผลสีเงินอีกสี่ผลจากโบราณสถานหลัวปู้พัว เขายังไม่รู้ว่าผลไม้พวกนี้ทำอะไรได้บ้าง
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็เห็นอะไรบางอย่างในแหวนมิติ มันคือกิ่งไม้นั่นเอง
กิ่งไม้นี่ไม่ได้ดูแปลกอะไร แต่ที่แปลกคือทำไมถึงมีของธรรมดาๆ หลายอย่างอยู่ในแหวนมิติของฮาเวิร์ดเยอะจัง เขาชอบแกะสลักไม้เหรอ แต่นี่ไม่ใช่อุปกรณ์แกะสลักไม้นี่
เมื่อหลี่ว์ซู่เอากิ่งไม้ออกมาดูด้วยความสงสัย เขาก็รู้สึกได้ว่ากิ่งไม้นี้นั้นร้อนผิดปกติ หลี่ว์ซู่ควรจะถูกไฟนี้ลวกแล้วสิ แต่ไฟในใจของเขากลับกดให้ไฟจากกิ่งไม้นี้มอดลงไป!