ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ - ตอนที่ 592 พี่น้องตระกูลเฉิน
ตอนที่ 592 พี่น้องตระกูลเฉิน
หลังจากที่กิ้งก่ากินคนล้มลงไปบนพื้นแล้ว ก็มีบางตัวที่ตายไปและบางตัวที่นอนหายใจพะงาบๆ พวกคนที่ค่ายนั้นต่างกลั้นหายใจเข้าไปตรวจดูกิ้งก่ากันอย่างระมัดระวังโดยเตรียมพร้อมกับการโจมตีกลับ แต่หลี่ว์ซู่ที่ยืนอยยู่บนปากหลุมนั้นกลับอยู่ในท่าทีสบายๆ เพราะเขารู้ว่ากิ้งก่าพวกนั้นน่ะซี้แหงแก๋ไปแล้ว
สมาชิกเครือข่ายฟ้าดินที่เป็นคนดูแลค่ายทหารก็เดินเข้าไปหากิ้งก่าพร้อมกับทีมเขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจที่ยืนยันได้เรียบร้อยแล้วว่ากิ้งก่าพวกนี้จะไม่ทำอันตรายอะไรอีกต่อไปแล้ว เขาหยิบเอาหอกห้าเล่มขึ้ยมาแล้วเดินตรงเข้ามาหาหลี่ว์ซู่
แล้วคนอื่นๆ ก็รีบเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บซึ่งบาดเจ็บกันมากกว่าสิบคนด้วยกันในการต่อสู้สั้นๆ นี่
เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของใครเลย เพราะไม่มีใครจะคาดคิดว่าจะมีสัตว์ประหลาดปรากฏตัวขึ้นมาในค่ายหรอก จึงมีคำสั่งให้ตั้งแนวป้องกันและป้อมปราการรอบค่ายทันที และให้สร้างฐานทัพทหารที่ใกล้ที่สุดด้วย เพื่อขอความช่วยเหลือด้านอาวุธโดยการใช้อุปกรณ์สื่อสารผ่านดาวเทียม
ค่ายทหารจะเข้ามาโดยขึ้นทางด่วนธรรมดาไม่ได้ ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากในการขนส่งอุปกรณ์เป็นอย่างมาก แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุดในสถานการณ์นี้
สมาชิกเครือข่ายฟ้าดินที่ดูแลค่ายไม่เคยเจอกับหลี่ว์ซู่มาก่อน หลังจากที่เขายื่นหอกห้าเล่มให้หลี่ว์ซู่แล้ว หลี่ว์ซู่ก็เก็บพวกหอกนั้นไว้ในตราแผ่นดินดังเดิมด้วยการโบกมือผ่านหอกง่ายๆ “มีคนในเครือข่ายฟ้าดินได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าครับ”
“มีแค่คนเดียว มีสองคนที่ซี่โครงหักหลังจากโดนกิ้งก่าพุ่งเข้าใส่” ผู้ชายคนนั้นตอบ “ฉันชื่อเฉินเฮ่า แล้วนายล่ะ”
สำหรับเขาแล้ว ความสามารถของหลี่ว์ซู่ที่เขาเห็นเมื่อกี้นั้นแข็งแกร่งจนเกินไป พลังดาบรัศมีล่องหนนั้นยากที่จะรู้ได้ว่าชั่วขณะนั้นมันอยู่ตรงไหนแล้ว เพราะมีแค่เสียงในอากาศที่ไหลวนให้ได้ยินเท่านั้น
การปล่อยพลังดาบรัศมีกว่าหลายร้อยเล่มพร้อมกันแบบนั้นทำให้กิ้งก่าพวกนี้ตัวขาดออกจากกันได้เพียงไม่กี่วินาที ความแข็งแกร่งของเขานั้นเทียบเท่ากับพวกราชันฟ้าเลย
เขาต้องอยู่บนระดับ C เป็นอย่างน้อยล่ะ
หลี่ว์ซู่เหลือบมองไปที่เฉินเฮ่า “เป็นความลับครับ”
“เข้าใจล่ะ” เฉินเฮ่าพยักหน้ารับรู้ “งั้นฉันไม่ถามต่อแล้ว”
เฉินเฮ่ารู้สึกเคารพคนตรงหน้าขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นกลายเป็นไพ่ตายของเครือข่ายฟ้าดินไปเสียแล้ว
แต่แล้วอยู่ๆ เขาได้ยินเสียงของเฉินจู่อานตะโกนไล่หลังมา “พี่ซู่ครับ! พี่ซู่!”
เอ่อ…
เฉินเฮ่าไม่เข้าใจ ไหนบอกว่าเป็นความลับไง
[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินเฮ่า +199!]
เฉินเฮ่าหันไปถามเฉินจู่อาน “นายรู้จักกันเหรอ”
“หวัดดีฮะ พี่เฮ่า” เฉินจู่อานทักทายลูกพี่ลูกน้อง แล้วอยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบ “คนนี้ชื่อหลี่ว์ซู่ คนที่ช่วยคุณปู่เลื่อนระดับเป็นระดับ A ไง จำได้ไหมครับ”
หลี่ว์ซู่พูดไม่ออก ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าทั้งสองคนจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ที่เต๊ะท่าไปเมื่อกี้ก็ล้มเหลวซะแล้วสิ!
แต่เรื่องนี้ก็เข้าใจได้อยู่ อย่างไรแล้วพวกเขาก็เป็นคนของครอบครัวเฉินและมีเฉินไป่หลี่เป็นผู้นำทีม
เฉินเฮ่าได้ยินชื่อหลี่ว์ซู่มานานแล้วจากเฉินจู่อาน เขารู้ว่าหลี่ว์ซู่นั้นแข็งแกร่ง แต่ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้
ต่อให้เป็นระดับ B ก็อาจจะไม่สามารถต้านทานพลังที่ระเบิดออกมาก่อนหน้านี้ได้เลย
ในขณะที่เจียงเฟิงและนักเรียนคนอื่นๆ กำลังมองดูทหารเก็บกวาดศพของกิ้งก่าสิบกว่าตัว พวกเขาก็รู้แล้วว่าคนที่พวกเขาเคยเยาะเย้ยมาก่อนคือใครกันแน่
แถมพวกเขายังชมหลี่ว์ซู่ไปซะเยอะต่อหน้าเจ้าตัวเองด้วย ให้ตายเถอะหน้าของพวกเขาแดงก่ำไปด้วยความอับอายไปหมดแล้ว
[ได้แต้มอารมณ์จากเจียงเฟิง +666!]
[ได้แต้มอารมณ์จากหลีเจียนเหริน +666!]
[ได้แต้มอารมณ์จาก…]
“เราเอาไงกันต่อดีล่ะ” เฉินเฮ่าถามหลี่ว์ซู่
หลี่ว์ซู่กำลังใช้ความคิด เขารู้สึกถึงคลื่นพลังงานเล็กน้อยใต้ดิน แปลว่ากำลังมีอะไรผิดปกติอยู่ข้างล่างนั่นแน่
ในสถานการณ์แบบนี้ที่โบราณสถานเปิดออกแล้วถึงห้าวันด้วยกัน เขาจะต้องรีบเข้าไปที่นั่นก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป แล้วเขาจะมั่นใจได้อย่างไรล่ะว่าค่ายจะปลอดภัยถ้าเขาจากค่ายไป
จำนวนผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มมากขึ้นถ้าเกิดการโจมตีขึ้นมาอีกระลอก ถึงแม้ว่าประสิทธิภาพของกองทัพจะมีมากแค่ไหนแต่การจะย้ายค่ายทั้งค่ายไปทั้งหมดในสองวันก็ฟังดูเป็นไปไม่ได้เลยเนื่องจากค่ายนั้นใหญ่มาก
หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ แต่เขาตัดสินใจแล้ว เขาสั่งการออกไปอย่างใจเย็น
“ทั้งสองคนเฝ้าค่ายอยู่ที่นี่นะ ต้องทำให้แนวป้องกันของเราแข็งแกร่งให้มากด้วย เดี๋ยวฉันลงไปข้างล่างก่อนล่ะ”
“พี่จะลงไปคนเดียวเหรอ” เฉินจู่อานถามอย่างตกใจ
ตอนนี้มันยังบอกได้ยากว่าถ้ำข้างล่างนั้นลึกเท่าไหร่ มีรูปแบบเป็นอย่างไร มันเปิดออกบนพื้นอย่างกับสัตว์ประหลาดตัวใหญ่เปิดปากออกมา ยิ่งไปกว่านั้นการระบายอากาศข้างล่างนั่นมีลมหวีดหวิวราวกับเป็นเสียงหอนมาจากด้านใต้
พวกคนขวัญอ่อนคงเหงื่อแตกพลั่กๆ ได้เพียงแค่มองลงไปในหลุมแล้ว อย่าว่าแต่ลงไปข้างล่างนั่นคนเดียวเลย
หลี่ว์ซู่เองยังไม่ลังเลเองเลย เพราะเขาใช้พลังดาบรัศมีไปจนหมดทะเลพลังแล้ว นั่นยิ่งทำให้เขาอ่อนแอไปมากในสถานการณ์อันตรายอย่างนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามีกิ้งก่าฝูงใหญ่โผล่มาที่ค่ายอีกก็คงจะอันตรายถึงตายแน่ๆ เขารับผิดชอบคนเดียวไม่ไหวหรอก
จริงๆ แล้วเขากำลังคิดอยู่ว่าจะแอบเข้าในโบราณสถานหลังจากที่จัดการอันตรายใต้ดินนี่ ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดแล้ว เขายังสามารถใช้ความแข็งแกร่งที่เทียบเท่าระดับ B ของตัวเองหนีรอดออกมาได้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นเขาจะคิดหาวิธีเอาตัวเองออกมาอย่างเร่งด่วยให้ได้ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้ทรัพยากรใดๆ ก็ตาม
“แต่พี่ลงไปข้างล่างคนเดียวไม่ได้นะ ข้างล่างมันอันตรายเกินไป พี่ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรอยู่ข้างล่างนั่นบ้าง” เฉินจู่อานพยายามจะหยุดหลี่ว์ซู่
หลี่ว์ซู่มองเขาจากข้างๆ “ก็ได้ งั้นนายมาด้วยกันสิ”
[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +999!]
“ไอ้หยา!” เฉินจู่อานตะโกนออกมาทันที “ผมว่ามีทรายเข้าตาน่ะ เดี๋ยวตาบอดแน่เลย แค่นี้สายตาผมก็แย่พอแล้ว! ผมลงไปกับพี่ไม่ได้หรอก”
หลี่ว์ซู่มองไปที่เฉินจู่อานอย่างไร้อารมณ์ เฉินจู่อานนั้นปิดตาของเขาอย่างกับว่าเจ็บตาปางตายจริงๆ แต่ลูกพี่ลูกน้องของเฉินจู่อานนั้นพูดแรงยิ่งกว่า “มานี่มา เดี๋ยวเป่าออกให้ เราจะลงไปสามคนเลยถ้าตาของนายโอเคแล้ว”
เฉินเฮ่าดึงมือเฉินจู่อานออกขณะพูด ในฐานะที่เขาเป็นคนระดับ C เริ่มต้น เฉินจู่อานจะปฏิเสธเฉินเฮ่าที่อยู่ระดับ C สูงๆ ได้อย่างไรล่ะ
เฉินเฮ่าเปิดตาเฉินจู่อานแล้วเป่าลมเข้าไป แต่เสมหะเขากลับกระเด็นเข้าไปบนหน้าของเฉินจู่อาน…
เฉินจู่อานชะงักไป
หลี่ว์ซู่พึมพำ “…อี๋ แหยะอะ…”
เฉินเฮ่าต้องรับผิดชอบดูแลค่ายโดยมีปัญหาต่างๆ เข้ามาไม่หยุดหย่อนอย่างพายุทะเลทราย การขาดน้ำ และหน้าที่ต่างๆ ที่ต้องแบกรับไว้บนบ่า ทำให้ช่วงนี้เขาเครียดมากๆ ร่างกายภายในเลยค่อนข้างร้อนระอุ เป็นผลให้ร่างกายขับเสมหะออกมามาก…
เฉินเฮ่าเองก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น และเฉินจู่อานก็กำลังหงุดหงิด!
“ฮ่าๆๆ ไม่ได้ตั้งใจน่ะ… จริงๆ นะ…” เฉินเฮ่าอับอายเป็นอย่างมาก
“เฉินเฮ่า พี่ตายแน่” เฉินจู่อานคำรามอย่างโมโห “ผมจะไปบอกพี่สะใภ้ว่าพี่แอบซุกเงินไว้!”
เฉินเฮ่ากระวนกระวายขึ้นมาทันที “ขอโทษ! ฉันขอโทษ!”
แต่หลี่ว์ซู่ไม่อยากรอต่อไปอีกแล้ว เขาหยิบเอากระจกส่องตะวันออกมาจากตราแผ่นดินแล้วกระโดดลงไปในหน้าผานั่นโดยไม่ลังเลอีกต่อไป
และในตอนนั้นก็มีเสียงพูดขึ้นมาไม่ไกลจากเจียงเฟิงซึ่งเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ “เสี่ยวอวี๋พูดถูกแล้ว เราน่ะอ่อนกว่าหลี่ว์ซู่จริงๆ กระจอกมากกว่าเยอะเลยด้วย”