สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 90 บุคคลผู้นำพาให้บ้านเมืองลำบาก (4)
ตอนนั้นองค์ชายสามผู้ฉลาดเฉลียวอนาคตก้าวไกล และอดีตผู้นำตระกูลแห่งจวนอ๋องฉางซุ่นอย่างซูจิ่นรั่ง ก็เสียชีวิตลงหลังจากที่ซูหว่านเกิดขึ้นได้ไม่นาน อีกอย่างเองหากแม้นซูจิ่นรั่งไม่เสียชีวิตไปก่อน ชื่อเสียงของบ้านสกุลซูก็คงไม่ตกต่ำได้ไวถึงเยี่ยงนั้น แบบนี้…
ฮ่องเต้เองก็ไม่จำเป็นรีบต้องคิดแผนการเพื่อยึดฐานันดรของบ้านสกุลซูแล้ว
เหตุการณ์แบบนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า…
ราวกับเรื่องทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกับดวงชะตาของซูหว่านอย่างใหญ่หลวง
เมื่อฟังถึงตรงนี้ความรู้สึกนึกคิดของฉู่อี้อันก็มาถึงจุดสูงสุด จากนั้นวางถ้วยชาลงอย่างไม่แยแส จากนั้นลุกขึ้นยืน “ท่านพ่อ เมื่อคืนข้าอยู่ในวังมาทั้งคืน ตอนนี้ข้าทนต่อไม่ไหวแล้ว ในเมื่อร่างกายของท่านพ่อหาได้มีอันตรายอันใดอีกไม่ ถ้างั้นโปรดอนุญาตให้ข้าได้ลาไปก่อนได้หรือไม่พะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้ตกอยู่ในภวังค์ความนึกคิดของตนเอง ได้ยินคำพูดนั้นก็ปิดเปลือกตาลงอย่างไม่สนใจ พลางพยักหน้ากล่าวขึ้นว่า “เจ้าเหนื่อยก็กลับไปพักเถิด!”
“ขอบพระทัยพะยะค่ะท่านพ่อ!” ฉู่อี้อันกล่าว โค้งตัวทำความเคารพ “งั้นข้าพาสวินหยางกลับไปด้วยกันเลยพะยะค่ะ นางจะได้ไม่ต้องมารบกวน!”
ฮ่องเต้มองเขาหนึ่งครั้ง สีหน้าและแววตาเปลี่ยนไป แต่ก็พยักหน้าตอบอย่างรวดเร็ว
เมื่อฉู่อี้อันออกมา ฮ่องเต้ก็แทบจะเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว พลางมองไปยังหยางเฉิงกังที่คุกเข่าอยู่ด้วยสายตาที่เจ้าเล่ห์ แล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อคืนเกิดอุบัติเหตุขึ้นนิดหน่อย ตอนนี้ทั่วป๋าไหวอันกับซูหลินร่วมมือกันขอร้องข้า ต้องการให้ข้าประทานอนุญาตให้ทั่วป๋าไหวอันและซูหว่านแต่งงานออกเรือนด้วยกัน เจ้าคิดว่า…เรื่องนี้คิดเห็นว่าอย่างไร?”
จู่ๆ ร่างกายของหยางเฉิงกังก็สั่น เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ฉับพลัน เมื่อสบตาเข้ากับฮ่องเต้ ถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองได้ทำเรื่องมิอันควรไป จึงรีบก้มหน้าก้มตาลง คิดวิเคราะห์อยู่นานก็พูดขึ้นอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “พวกคนแห่งแคว้นโม่เป่ยนั้น…หาได้ให้ความสำคัญกับดวงชะตาชีวิตของตนไม่นี่พะยะค่ะ!”
ความหมายของฮ่องเต้คือ ต้องการส่งตัวซูหว่านที่เป็นตัวกาลกิณีไปให้คนอื่นต่างหากเล่า!
หยางเฉิงกังรู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก ดวงชะตาของซูหว่านที่เขาทำนายออกมานั้นเป็นตัวโชคร้ายกาลกิณีก็จริง แต่เรื่องนี้ก็ดูจากโชคชะตาของบ้านสกุลซูมาก่อนถึงได้รับการยืนยัน แต่เขาไม่กล้ารับประกันหรอกว่าในอนาคตครอบครัวของคู่ครองซูหว่านจะโชคร้ายตามกันไปด้วย
ไม่ว่าจะยังไงก็ตามเขาฟังความต้องการของฮ่องเต้เข้าใจทุกอย่าง เขาไม่คิดที่จะทำให้ตัวเองขายหน้าต่อพระพักตร์อีกครั้งหรอก
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นก็ยกมือขึ้นกดจุดไท่หยาง[1] นิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ จากนั้นโบกมือบอกให้อีกฝ่ายกลับไป
หยางเฉิงกังโค้งตัวถวายบังคมจากนั้นจึงถอยออกมา
ฮ่องนั่งนิ่งเงียบอยู่สักพัก จากนั้นลืมตาขึ้นหันมองไปทางประตู แล้วกล่าวว่า “เรียกสองคนที่อยู่ด้านนอกเข้ามาได้แล้ว!”
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท!” หลี่รุ่ยเสียงขานรับคำสั่งแล้วเดินออกไป
ทั่วป๋าไหวอันและซูหลินโดนเรียกเข้ามาด้านในห้องทรงอักษรอีกครั้ง ใช้เวลาอยู่ด้านในนานพอสมควร ด้านในห้องมีเพียงหลี่รุ่ยเสียงที่คอยรับใช้ฮ่องเต้อยู่ผู้เดียว เพราะฉะนั้นแล้วระหว่างพวกเขาสามคน พูดคุยอะไรไปหาได้มีผู้ใดรู้ด้วยไม่
ก่อนหน้านี้เหยียนหลิงจวินก็เดินทางกลับออกจากห้องทรงอักษรไปยังสำนักหมอหลวงมาแล้วหนึ่งรอบ แต่หมอหลวงในสำนักแต่ละคนนั้นต่างก็สังเกตเห็นว่าใต้เท้าหน้าเนื้อใจเสือของพวกเขาที่ปกติจะยิ้มหน้าละมุนละม่อมตลอดเวลา วันนี้สีหน้าท่าทางกลับผิดปกติไป รอยยิ้มบนใบหน้าน้อยลงกว่าเดิม เวลาทักทายผู้คนก็จอมปลอมจนเห็นได้ชัด จนถึงขนาดไม่สามารถพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้ ยิ่งกว่านั้นยังเหมือนราวกับเจอเรื่องไม่ดีมาจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เหยียนหลิงจวินกลับมาสำนักหมอหลวงรอบหนึ่ง แต่ก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจอใครพูดอะไรกับใครไป ในใจเอาแต่จดจ้องอยู่กับเวลา เมื่อคิดว่าเรื่องทางห้องทรงอักษรนั้นใกล้จะเสร็จ ก็รีบเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาแล้วจากออกมา
คำนวณเวลาไว้ได้อย่างดิบดี มองเห็นรถม้าของวังบูรพากำลังเคลื่อนพลกลับไปอยู่ไกลๆ พอดี
จิตใจของเขาร้อนรน รีบควบม้าวิ่งออกไป ชิงหลัวที่บังคับอยู่บนรถม้าห้ามเอาไว้ไม่ทัน ก็โดนเขาสะบัดแส้ม้าใส่จนล้มลงไปที่พื้น
ในเวลานี้เหยียนหลิงจวินคิดอยากคุยเรื่องเข้าใจผิดนั้นให้ชัดเจนอย่างเดียว เขากระโดดข้ามโครงที่เชื่อมระหว่างม้าและตัวรถไป แล้วจับบังเหียนเอาไว้
“ซินเป่า…” เขาสูดหายใจเข้าลึก หันหลังไปเปิดประตูรถม้าออก แล้วก้มตัวเข้าไป เจอเข้ากับชิงเถิงที่อึ้งจนพูดไม่ออกมองหน้าเขาอยู่
ภายในตัวรถกว้างมาก แต่กวาดตามองรอบเดียวก็เห็นทุกอย่าง เขากลับพบเห็นชิงเถิงอยู่เพียงผู้เดียว
ชิงเถิงกำลังตกใจอยู่เหตุการณ์กะทันหันตรงหน้ามาก อ้าปากค้างไม่เอ่ยคำพูดใดขึ้นสักคำ
ส่วนใต้เท้าเหยียนหลิงผู้ซึ่งไม่เคยเผยความตกใจกลัวให้ใครเคยเห็น ก็โค้งตัวมือจับไว้ที่เข่ายืนค้างอยู่ระหว่างที่บังคับม้าและประตูรถอยู่นานสองนาน ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้…
ใบหน้าเต็มไปด้วยความเก้อเขินทำตัวไม่ถูก!
เดินก้มตัวเข้าไปเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นรึ? แต่คนที่เขาต้องการตามหาไม่ได้อยู่ด้านในนี่!
เดินจากออกไปอย่างไม่เอ่ยคำใดขึ้นงั้นรึ? ไม่เพียงแต่จะเสียหน้า แต่ยังหงุดหงิดอีก!
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ชิงหลัวก็รีบวิ่งตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว พูดเตือนเขาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ใต้เท้าเหยียนหลิงเจ้าคะ ท่านหญิงของพวกข้าไม่ได้อยู่บนรถหรอกเจ้าค่ะ!”
เหยียนหลิงจวินดึงสติกลับมาอย่างชาญฉลาด นิ่งเงียบกำลังจะลุกตัวขึ้นถอยออกไป พลันได้ยินเสียงหัวเราะอันคุ้นเคยกับเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กผู้หญิงดังขึ้น “ท่านพ่อโต้รุ่งมาทั้งคืน ดูสิขอบตาดำหมดแล้ว กลับไปพักเถอะเจ้าค่ะ ปีใหม่ทั้งที อย่าเพิ่งไปสนใจพวกเอกสารน่ารำคาญพวกนั้นเลย”
เขาหันไปยังทิศทางที่มาของเสียง ก็เห็นฉู่อี้อันและฉู่สวินหยางขี่ม้าเคียงคู่กันออกมาจากด้านในวัง สองพ่อลูกพูดคุยยิ้มหัวเราะให้กัน ถึงแม้ใบหน้าของฉู่อี้อันจะเข้มงวดน่าเกรงขาม แต่สีหน้าของเขานั้นอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด
เป็นอย่างที่ทุกคนเห็น…
เขารักและเอ็นดูลูกสาวคนนี้เป็นอย่างมาก
ไม่เพียงแต่จะยินยอมให้นางปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ขี่ม้าขนาบข้างกายกันแล้ว สีหน้าท่าทางนั้นเห็นชัดเลยว่าเป็นคุณพ่อใจดี
ภาพที่สองพ่อลูกเดินเคียงข้างกันอย่างเชื่องช้านั้น ช่างเป็นภาพที่สามัคคีปรองดองกันเป็นอย่างมาก เหยียนหลิงจวินมองจนเผลอสติหลุดไปชั่วขณะ กว่าที่เขาจะรู้ตัวได้นั้นว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ของตัวเองไม่เหมาะสม คิดอยากจะหลบซ่อนตอนนั้น ฉู่สวินหยางและฉู่อี้อันก็มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“องค์รัชทายาท ท่านหญิง!” ชิงหลัวก้มหน้าลง พยักหน้าทักทาย
ฉู่อี้อันปรายตามอง แล้วเบนหนี ราวกับว่ามองไม่เห็นเหยียนหลิงจวิน
ฉู่สวินหยางจึงหันมองตาม แล้วร้อง “เอ๋” เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “ใต้เท้าเหยียนหลิง? ท่านจะมาขอยืมรถม้าของพวกเรางั้นรึ? พอดีเลย พวกข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องใช้ ท่านเอาไปใช้ได้ตามสบายเลย แต่ใช้เสร็จแล้วก็รีบเอามาคืนด้วยนะเจ้าคะ!”
ระหว่างที่พูดอยู่ก็เดินผ่านรถม้าคันนี้ไปแล้ว จากนั้นก็ยิ้มพูดคุยหัวเราะกับฉู่อี้อันต่อแล้วเดินจากออกไป
เหยียนหลิงจวินยังคงยืนอยู่ในสภาพจะเข้าก็ไม่เข้าอยู่บนที่นั่งบังคับรถม้า เมื่อฉู่สวินหยางจากออกไป ถึงแม้ตั้งแต่เริ่มจนจบจะใช้เวลาไม่นานมากเท่าไหร่ แต่ใบหน้าของเขากลับพะอืดพะอมขึ้นอย่างฉับพลัน
เมื่อเห็นฉู่สวินหยางและฉู่อี้อันค่อยๆ เดินจากออกไปไกลแล้ว ชิงหลัวรู้สึกกระวนกระวายอยู่นานแล้ว จึงเอ่ยปากถามขึ้นว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิง ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ?”
ความหมายที่นางสื่อออกมา กลับยิ่งส่งเสริมคำพูดที่ฉู่สวินหยางพูดขึ้นมาอย่างลวกๆ เข้าไปอีก
“ไม่ต้อง!” อับอายขายขี้หน้าชะมัด เหยียนหลิงจวินอารมณ์เสีย กระโดดลงจากลงรถม้าอย่างเย็นชา หันหลังไปแล้วกระโดดขึ้นหลังม้า จากนั้นบังคับม้าให้เดินออกไปอีกฝั่ง
ฉู่สวินหยางอยู่กับฉู่อี้อัน เขาเองจะตามไปลากตัวนางมาไม่ได้หรอกมั้ง?
อีกอย่างเมื่อครู่ฉู่อี้อันทำเป็นไม่เห็นพฤติกรรมเสียมารยาทของเขา ที่กำลังรั้งรถม้าของวังบูรพาไว้อยู่ นั่นหมายความว่ายังไงกันแน่?
ใต้เท้าเหยียนหลิงนั่งเชิดหน้าชูคออยู่บนหลังม้า มองแล้วช่างสง่างามเหลือเกิน ยังคงให้ความรู้สึกสบายไร้ซึ่งพันธะ แต่ชิงหลัวที่อยู่ด้านหลังมองด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ รู้สึกราวกับว่าแผ่นหลังของคนที่นั่งสั่นอยู่บนม้านั้นเงียบเหงาและทุกข์ใจอยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อชิงเถิงรู้สึกตัวขึ้น ก็รีบลุกขึ้นมาเปิดประตูมองออกไป นึกคิดอยู่นาน แต่ก็อดไม่ได้ จนสุดท้ายเขยิบเข้าใกล้ไปถามชิงหลัวไขข้อสงสัยในใจ “นี่! เจ้าว่าใต้เท้าเหยียนหลิงกับท่านหญิงของพวกเราสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมาหาถึงที่ แต่ชื่อเล่นของท่านหญิง…ข้าจำได้ว่าขนาดท่านชายยังเรียกซี้ซั้วไม่ได้เลยไม่ใช่เหรอ?”
ชื่อเล่นของฉู่สวินหยาง ทั้งวังบูรพามีเพียงฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงเท่านั้นที่รู้ แถมยังรู้อยู่แก่ใจ แต่พูดออกมาไม่ได้…
นั่นเป็นคำเรียกเฉพาะขององค์รัชทายาทเท่านั้น
นับดูแล้วใต้เท้าเหยียนหลิงกับท่านหญิงของพวกนางก็เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน เจอหน้ากันก็นับครั้งได้ ผูกสัมพันธ์กันได้เร็วแบบนี้ มันช่างน่าสงสัยเสียจริง!
ชิงหลัวเบิกตากว้าง ผลักนางหล่นกลิ้งลงไปในตัวรถทันที จากนั้นชนเข้ากับประตูรถม้าอย่างแรง รถม้ากระตุกสั่นคลอนจนชิงเถิงเวียนหัว
ยอมรับว่าคำถามนั้นไม่ได้ดึงสมาธิของชิงเถิงไปได้เท่าไหร่นัก เพราะว่าช่วงเย็นวันนั้น นางได้ยินเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่ามาน่ะสิ…
ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการ มอบท่านหญิงซูหว่านแห่งจวนอ๋องฉางซุ่น ให้อภิเษกกับองค์ชายห้าแห่งแคว้นโม่เป่ยทั่วป๋าไหวอัน!
————————————————————————
[1] จุดไท่หยาง อยู่บริเวณขมับ รักษาอาการปวดศีรษะ