สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 87.4 คุณชายรองซูผู้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
ทั่วทั้งราชสำนักซีเยว่นั้นมีเพียงจวนอ๋องฉางซุ่นและจวนรุ่ยชินอ๋องที่ดำรงตำแหน่งอ๋องหมวกเหล็ก รุ่ยชินอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์ แน่นอนว่านำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ หากแต่หลังจากสิ้นซูจิ่นรั่ง ก็มีผู้คนมากมายที่ริษยาพูดจาเหน็บแหนมเสียดสีสกุลซูอยู่ลับหลัง พูดว่า ซูหังนั้นไร้ความสามารถ เอาแต่พึ่งบารมีสกุลเก่า เก็บกินบุญเก่าเท่านั้น ทั้งก่อนหน้านี้ยังมีเรื่องการสมรสของซูหลินและฉู่หลิงอวิ้นที่น่าขายหน้า ทำให้มีคนพูดลับหลังซูหลินมากขึ้นไปอีก ไม่แปลกที่คนจำนวนมากจะเสียใจแทนซูจิ่นรั่งที่ลูกหลานไม่สืบต่อเกียรติสกุล
แต่คำพูดเช่นนี้ ตามหลักแล้วไม่ควรจะนำมาพูดต่อหน้า ทว่าเหยียนหลิงจวินกลับไม่เกรงกลัวสักนิดที่จะโจมตีด้วยคำพูดเช่นนี้ต่อหน้าเขา
ใบหน้าซูหลินนั้นประเดี๋ยวดำประเดี๋ยวแดง มองออกอย่างชัดเจน เจ้าสองคนนี้สมรู้ร่วมคิดกัน เดิมทีก็น่ากลัวพออยู่แล้ว เมื่อตั้งใจจะปะทะฝีปากกับพวกเขา กลับต่อกรไม่ได้ ท้ายที่สุดจึงทำได้เพียงหวดแส้ม้าพาซูหว่านและคนในสกุลออกไป
ทางด้านซูอี้และเหยียนหลิงจวินนั้นยืนกอดอกไม่ขยับไปไหน ทอดมองเงากลุ่มคนนั้นลับสายตาไป รอยยิ้มมุมปากที่ปรากฏบนใบหน้าซูอี้จึงค่อยแปรเปลี่ยนเป็นเยาะเย้ย
เหยียนหลินจวินเดินมา ก่อนจะวางมือบนไหล่เขา
ท่าทางของซูอี้ที่ผู้คนไม่ทันจะสังเกตเห็นนั้น ทันทีที่เงยหน้ารอยยิ้มในดวงตาก็กลับมาอ่อนโยนดั่งเช่นเคย ท่าทีโมโหเล็กน้อยก่อนหน้านั้นก็ไม่มีให้เห็นแล้ว เวลานี้กลับช้อนตามองไปทางด้านหน้าที่รถม้าของตำหนักบูรพาห่างออกไป กล่าวอย่างหยอกล้อ “อะไรกัน? เจ้าไม่ตามไปหรือ?”
เขาไม่ได้แสดงอาการอะไร แต่ความจริงแล้ว…
เป็นเพียงการแสร้งเป็นไม่มีอะไรเท่านั้น!
คบหากับเขาหลายปีมานี้ เหยียนหลิงจวินรู้จักนิสัยเขาดี ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องตอบกลับ ทว่าก็ทอดมองตามทางด้านนั้นจนลับสายตา
ครุ่นคิดเงียบๆ พักใหญ่จึงค่อยเอ่ยขึ้น “ทำไมข้าจึงรู้สึกว่า…ที่เด็กคนนั้นทำกับเจ้าคล้ายกับลึกๆ แล้วจะเป็นปรปักษ์อย่างไรอย่างนั้นเล่า?”
ซูอี้เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ถึงกับเสียอาการ ยิ้มเยาะกับตัวเองกล่าวว่า “ปรปักษ์หรือ? นางเป็นปรปักษ์ตรงไหน พูดว่าปองร้ายน่าจะถูกกว่า!”
ลากซูหลินและเขาลงสังเวียนต่อหน้าผู้คนเช่นนี้?
ถึงแม้เขาจะไม่กลัวแต่ก็นับว่ากลายเป็นศัตรูกับสกุลซูไปแล้ว คอยวางแผนชักใยอยู่เบื้องหลัง ให้เป็นแบบนั้นเขายังจะรู้สึกดีกว่า
แต่เมื่อครู่ก็ไม่เลว ต่อให้เปิดเผยหรือวางแผนชักใยเขาก็ยังคงต่อกรกับซูหลินได้อยู่ดี!
แต่พอคิดก็เริ่มปวดหัวหนัก
ด้านเหยียนหลิงจวินยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ…
หากนับซูอี้เป็นคนสกุลซู นั่นก็เท่ากับว่า เขามีเรื่องที่ปิดบังนางอยู่ แต่ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้มีนิสัยหาเรื่องให้คนโดยไร้เหตุผล ครั้งนี้ขุดกับดักหลุมใหญ่ไว้ให้ซูอี้แล้วจริงๆ ทว่าจะดูอย่างไรก็ไม่ใช่นิสัยนาง
หลังจากที่เหยียนหลิงจวินคิดแล้วคิดอีกก็ยังคงคาดเดาถึงความเป็นไปได้ต่างๆ มองไปที่ซูอี้ด้วยความสงสัย “เจ้าเคยล่วงเกินนาง?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” ซูอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทั้งยังมองเหยียนหลิงจวินที่มองเขาด้วยสายตาครุ่นคิดไปพลางสงสัยไปพลาง จนเกือบจะทนไม่ไหว สาบานต่อหน้าฟ้าดินว่าเขากับเด็กคนนั้นไม่เคยเจอกันมาก่อน “เหตุใดเจ้าจึงมองข้าเช่นนี้? วันนี้ข้าเพิ่งพบเจอนางเป็นครั้งแรก นางก็มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ข้าเสียแล้ว หากจะหาเอาคำตอบอย่างไรก็ไม่มีทางมาเกี่ยวข้องกับข้าหรอก?”
ทั้งสองคนต่างก็จ้องมองกันและกันอย่างเงียบงันครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็พากันหลบตาหัวเราะอย่างขมขื่น
ซูอี้ที่ครุ่นคิดด้วยท่าทีจริงจังเล็กน้อยนั้นเดินไปอยู่ตรงหน้าของเหยียนหลิงจวิน ตบไหล่ของเขาก่อนจะกล่าวว่า “เรื่องของข้าและสกุลซูที่ถูกเปิดเผยจะช้าจะเร็วก็ไม่เป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด เจ้าไม่ต้องกังวลไป แต่เมื่อพวกเขารู้ว่าเราร่วมมือกันแล้ว จากนี้ต่อไปคงมิวายโดนร่างแหไปด้วยกันแน่ หลายปีมานี้เส้นสายของสกุลซูในราชสำนักก็หาได้มีน้อยไม่ เจ้าเข้าออกวังหลวงบ่อยครั้ง เป็นห่วงตัวเอง…จะดีเสียกว่า!”
เหยียนหลิงจวินเผยรอยยิ้มออกมา คล้อยหลังไปนั้นรอยยิ้มจึงค่อยๆเลือนหายไป เคลื่อนสายตาไปทางวังหลวง พึมพำว่า “ตอนนี้ข้ากำลังคิดอยู่ว่า เป็นผู้ใดในราชสำนักที่มีกำลังเหนือวังบูรพา มีความสามารถจัดการจวนอ๋องหนานเหอ ทั้งยังบีบเค้นสกุลซูของพวกเจ้า นอกจากนี้ยังควบคุมผู้บัญชาการหยางเฉิงได้!”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?” ซูอี้กังวลขึ้นมาอย่างทันที เรื่องในวังที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเขาไม่รู้เรื่อง แต่พอได้เห็นท่าทีที่จริงจังของเหยียนหลิงก็พอจะเดาออกว่า มีเรื่องที่ยากจะจัดการเกิดขึ้น
เหยียนหลิงจวินจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักเจาเต๋อให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ ทว่าท่าทีของทั้งสองคนกลับไม่ค่อยมีความตึงเครียด
“เรื่องของหรงเฟยในวันนั้น ตอนที่ข้าเข้าวังตรวจอาการของนางจึงถือโอกาสลงมือ เวลานั้นข้ากระตุ้นยาในร่างกายนาง แท้ที่จริงแล้วก็เพียงเพื่อเบี่ยงประเด็นให้เรื่องนี้ดูคลุมเครือ ต่อให้พวกเขาไปหาสาเหตุยังไงก็คงจะสืบสาวเรื่องราวจากนางไม่พบ ถึงแม้จะถูกโยงไปเรื่องผีสิงก็ตามที จนป่านนี้ก็ยังไม่พบเบาะแสอะไร เรื่องนี้จึงทำได้แต่เพียงปล่อยผ่านไปเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่อยากให้หยางเฉิงกังเข้ามายุ่งเกี่ยว ทว่าเรื่องกลับมาตกอยู่ที่ตัวเอง! ก่อนหน้านี้ฉู่ฉีเหยียนก็ตั้งใจมาเค้นถามจากข้า เห็นได้ชัดว่า การกระทำเช่นนี้ผิดวิสัยของเขา ตอนนี้ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ใครกันที่สามารถทำเรื่องพวกนี้ได้ แม้แต่หยางเฉิงกังที่ประจำสำนักหอดูดาวหลวงมาหลายปี คนผู้นี้ก็ยังสามารถควบคุมเขาได้”
หยางเฉิงกังนั้น รับใช้ฝ่าบาทโดยตรง ไม่ข้องเกี่ยวกับผู้ใด ฝ่าบาทจึงไว้ใจเขา หลายปีมานี้ไม่ว่าเขาจะกระทำการใดก็ยังคงเส้นคงวา ไม่ทำเรื่องขัดหูขัดตาฝ่าบาท
ทั่วป๋าหรงเหยาให้มองอย่างไรก็ไม่ใช่ผีสิง ครั้งนี้หยางเฉิงกังกลับปั้นเรื่องต่อหน้าฝ่าบาท ดึงเรื่องนี้มาเกี่ยวพันกับตนเอง เรื่องเช่นนี้…
ดูอย่างไรก็ไร้เหตุผล
“มีความเป็นไปได้สองทาง ถ้าไม่ใช่เป็นสำนักหอดูดาวหลวงที่เตือนรัชทายาทให้เตรียมรับมือ ก็คงเป็น…”ตอนที่พูดก็บุ้ยปากไปทางตำหนักบรรทมของฝ่าบาท
“เป็นไปไม่ได้!” เหยียนหลิงจวินส่ายหน้ายิ้มๆ “รัชทายาทเป็นคนรอบคอบ คงไม่เสี่ยงเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเล่นใกล้หูใกล้ตาฝ่าบาทหรอก แต่ฮ่องเต้นั้น…ข้าว่า สีหน้าพระองค์ในตอนนั้นดูเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยจริงๆ”
หากเป็นฝีมือของฉู่อี้อัน เป็นไปไม่ได้ที่ฉู่สวินหยางจะไม่รู้ล่วงหน้า ทั้งยังตั้งใจไปเชิญเฉินเกิงเหนียนมาช่วยกู้หน้า
เขาอีก
ส่วนฝ่าบาทนั้น…
ตอนที่กำลังสอบสวนพี่น้องทั่วป๋าไหวอันต่อหน้า พระองค์ก็พุ่งเป้าเค้นหนัก ทำไมตอนนี้กลับมอบหมายให้หยางเฉิงกังหาเบาะแสเองเสียเล่า?
คิดมาถึงตรงนี้ เหยียนหลิงจวินก็ยังไม่รู้จะทำเช่นไร
กลับเป็นซูอี้ที่มองออก กล่าวอย่างยิ้มๆ ว่า “หยางเฉิงกังนำดวงชะตาขุนนางที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นกลับไปด้วยมิใช่หรือ?”
รอหยางเฉิงกังทำนายผลออกมา เวลานั้นก็จะมีเบาะแสออกมาเอง
“ถูกของเจ้า!” เหยียนหลิงจวินยิ้ม “เป็นข้าที่วู่วามเอง”
ซูอี้ไม่พูดมาก เมื่อหาทางออกได้ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “เมื่อครู่ที่เจ้าสั่งอิ้งจื่อให้ไปทำคือ…”
“ไม่มีอะไร” เหยียนหลิงจวินกลับไม่ยอมพูดอะไรออกมา ในใจนั้นลอบถอนหายใจ
เด็กคนนั้นไม่รู้ว่าโกรธอะไรหนักหนา โมโหจนทำเรื่องไร้เหตุผล แม้แต่ข่าวของโม่เป่ยก็ไม่สนใจเสียแล้ว
เขาไม่อยากพูด ซูอี้ก็ไม่สาวความต่อ เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ทั้งสองคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไป
ทางด้านสกุลซูที่อยู่ในการนั่งรถม้าระหว่างกลับจวน ใบหน้านั้นเริ่มบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ
อดกลั้นมานาน แต่ซูหว่านก็ยังไม่คลายความโกรธ นางเขวี้ยงถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรง กล่าวว่า “ท่านพี่ เหตุใดจู่ๆ เจ้านั่นถึงมาปรากฏที่เมืองหลวงได้เล่า? มิใช่ว่าเขาถูกขับไล่ให้อยู่นอกเมืองหรอกหรือ? เรื่องใหญ่เพียงนี้ เหตุใดพวกเราจึงไม่ทราบมาก่อน? ตอนนี้เขายังเกี่ยวพันกับเหยียนหลิงจวินอีก? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
ใบหน้าซูหลินเต็มไปด้วยความเยือกเย็น เขาเหลือบสายตามองนางก่อนจะเบนไปยังด้านข้างแทน ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ท่านพี่!” ซูหว่านยิ่งกระวนกระวายกว่าเดิม ส่งเสียงในลำคอก่อนจะถอนหายใจเสียงดัง เวลานี้รถม้าที่พวกเขานั่งอยู่กลับกระตุกหยุดอย่างรุนแรง
น้ำชากระเด็นหกออกมา สาดเลอะโดนทั้งสองคน
ซูหว่านที่กำลังจะเตรียมปะทุความโกรธนั้น กลับได้ยินเสียงปะทะกันของอาวุธดังมาจากภายนอก เสียงที่ลอยมานั้นยังไกลอยู่บ้าง แต่กลับได้ยินอย่างชัดเจน คล้ายกับมีคนประมือกันบนถนน
สองพี่น้องต่างก็นิ่งเงียบไป ก่อนจะพากันตกใจ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดอย่างฉับพลัน
———————————————————————–