สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 85(1)
บทที่ 85 จวินอวี้ ภรรยาเจ้าอยู่ไหนรึ? (1)
ฮ่องเต้ได้ยินก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นกริ้วโกรธฉับพลัน
ขุนนางคนอื่นๆ มีสีหน้าหลากอารมณ์ราวกับว่ามีศัตรูบุกเข้ามา
ที่ผ่านมาคาถาเวทมนตร์เป็นสิ่งต้องห้ามในราชวัง เป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นกว่ายาพิษที่จับต้องได้เสียอีก
โดยเฉพาะในบรรดานางสนมที่อยู่ในห้องอุ่นต่างตระหนกใบหน้าซีดเซียว ทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย
บริเวณท้องพระโรงเงียบสงัดลง กระทั่งเข็มหล่นยังได้เสียงคมชัด
ฮ่องเต้ใช้มือข้างหนึ่งค้ำใบหน้าด้านข้างนิ่งเงียบ ไม่นานก็พูดพึมพำราวกึ่งหลับกึ่งตื่นว่า “เจ้าบอกว่าผีสิงหรงเฟยอย่างนั้นรึ?”
โทนเสียงต่ำ กระทั่งเสียงยังแหบแห้งเหมือนไม่มีพละกำลัง
หลัวฮองเฮาใจเต้นแรงรีบลุกจากที่ประทับคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้พูดว่า “เพราะหม่อมฉันปกครองวังหลังไม่เคร่งครัด บริหารควบคุมไม่รอบคอบ คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเพคะ”
พูดด้วยสายตาเฉียบคมและพูดกับแม่นมเหลียงด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “แม่นมเหลียง เจ้ายังไม่รีบไปตรวจสอบอีก เจ้าไปตรวจสอบว่าผู้ใดที่กล้าใช้วิธีสกปรกเช่นนี้!”
ตอนที่ฮองเฮาพูดจบ ไม่เพียงแค่นาง เหล่านางสนมปิงเฟยที่นั่งอยู่ในนั้นต่างยินดี
ดีที่ผู้ที่รับเคราะห์คือหรงเฟย ถ้าไม่ระมัดระวังสิ่งเหล่านี้ให้ดี…
ผลที่ตามมาก็คือหายนะ
ส่วนผู้ที่นั่งอยู่เต็มท้องพระโรง รวมถึงผู้ที่ไร้ความปรานีอย่างองค์ชายสี่ฉู่อี้ชิงก็ปิดปากเงียบ สายตามองต่ำและเก็บซ่อนความเกลียดชัง
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้เขาคงไม่เหยียบย่ำซ้ำเติม เหตุฉะนี้อาจทำให้ฮ่องเต้สงสัยในตัวเขามากขึ้น?
แท้จริงคือ…
เขามีเหตุผลที่จะทำเช่นนี้
คิดได้ดังนั้นฉู่อี้ชิงก็เหงื่อไหลท่วมตัว
ส่วนแม่นมเหลียงได้รับคำสั่งจากฮองเฮาหลัวแต่ไม่กล้ารีบลงมือจัดการ ได้แค่ก้มหัวต่ำเหลือบตามองปฏิกิริยาของฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง
ฮ่องเต้พิงที่ประทับ มือวางบนหน้าไม่เอ่ยสิ่งใด
ทั้งท้องพระโรงมีแต่ความเงียบสงัด
ในที่สุดฉู่อี้อันก็จัดการกับอาภรณ์ที่สวมใส่แล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง พร้อมกับคำนับแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อ เรื่องเช่นนี้ไม่สามารถป้องกันได้ ถือเสียว่ามีผู้ฝืนกฎต้องห้ามแต่ก็ไม่ใช่ความผิดของเสด็จแม่ อีกทั้งพระราชวังกว้างขวาง การที่จะตามหาสิ่งลี้ลับมองไม่เห็นด้วยตาเช่นนี้แล้วเกรงว่าจะไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง กระหม่อมคิดว่าเรียกโหรหลวงมาสอบถามเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”
ถึงแม้ว่าโหรหลวงจะไม่เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์คาถา แต่สามารถใช้เหตุและผลทำนายโชคชะตาได้เป็นอย่างดี ดีกว่าหาผู้ที่ไม่มีความชำนาญ…..
ฮ่องเต้ตรองอยู่ครู่หนึ่งและพยักศีรษะเล็กน้อย “อืม หลี่รุ่ยเสียง!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงรับบัญชา ออกไปเชิญด้วยตัวเอง หลังจากนั้นไม่นานก็นำผู้บัญชาการหยางเฉิงประจำสำนักหอดูดาวเข้ามายังท้องพระโรง
ระหว่างที่ผู้บัญชาการหยางเฉิงคารวะฮ่องเต้ ดวงตาของฉู่ฉีเหยียนก็มองแคบลง สายตาที่เฉียบคมจ้องมองไปยังฉู่สวินหยาง
ทันใดนั้นทั่วป๋าหรงเหยาก็เป็นลมล้มพับลงไป หรือเป็นเพราะฝีมือของเด็กบ้านี่?
เวทมนตร์คาถาไม่สามารถต้านทานได้ ถ้านางจะคิดการร้าย เช่นนั้นแล้วไม่ว่าใครคิดจะลองดีก็จะต้อง ‘ตาย’ สถานเดียว
นี่ช่างเป็นกลอุบายที่โหดร้ายเสียจริง!
แต่นี่เป็นวังหลัง ฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนแล้วแต่เข้มงวด เด็กคนนี้มีความสามารถถึงขนาดทำเรื่องชั่วร้ายในพระราชวังได้ถึงเพียงนี้เชียวรึ?
แม้ว่าฉู่ฉีเหยียนจะไม่คิดว่าฉู่สวินหยางจะมีความสามารถเช่นนี้ แต่ในใจที่กังวลร้อนรุ่มแขวนอยู่กลางเวหา ในฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
แต่เพราะสายตาพิฆาตแรงกล้าที่กำลังจ้องมองของเขาทำให้สวินหยางรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นทันที
แท้ที่จริงแล้วฉู่ฉีเหยียนคาดเดาถูกเหมือนกัน ถึงตอนนี้นางยังไม่มีความสามารถเช่นนี้ที่จะทำเรื่องร้ายในพระราชวัง อีกอย่าง…
เวทมนตร์คาถา นางคงไม่กล้าที่จะลองดี
เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าใช่นางหรือไม่ เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับเหยียนหลิงจวินก็เป็นได้
หากเป็นฝีมือของเหยียนหลิงจวิน ฉู่ฉีเหยียนจะต้องเอาเรื่องนี้ไปคิดบัญชีกับเขาเป็นแน่ นางคงไม่ทำอะไรไม่ได้
ดังนั้นนางจึงยังไม่หลบลี้ จึงทำได้เพียงมองดูความเคลื่อนไหวอย่างใจเย็น
เฉินคังเหนียนตรวจจับชีพจรหรงเฟย จากนั้นก็ถอยหลังไปยืนอยู่ข้างเหยียนหลิงจวินยืนนิ่งสังเกตการเปลี่ยนแปลง
หยางเฉิงหยิบเข็มทิศขึ้นมาชี้ไปด้านหน้าและก้าวไปข้างหน้าสำรวจรอบตัวหรงเฟยชั่วขณะหนึ่ง ฮ่องเต้สีหน้าหมองหม่น จ้องมองการกระทำของหยางเฉิงทุกฝีก้าว
หลังจากที่คำนวณทั้งสี่ทิศแปดตำแหน่งแล้ว เขาก็เก็บเข็มทิศนั้นและคุกเข่าต่อหน้าฝ่าบาท
วังหลังเกิดเรื่อง หลัวฮองเฮาเป็นกังวลเพราะมีส่วนต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ ทนไม่ไหวเอ่ยปากถาม “เป็นอย่างไรบ้าง หรงเฟยถูกเวทมนตร์สะกดจริงหรือไม่?”
“ทูลฮ่องเต้ ฮองเฮา หรงเฟยได้รับผลจากการถูกพลังลี้ลับ แต่กระหม่อมกลับคิดว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เวทมนตร์แต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ!” หยางเฉิงทูล
ตั้งแต่มีการรวมแคว้นซีเยว่เจี่ยน หยางเฉิงรับหน้าที่ดูแลสำนักหอดูดาวตลอดมา เขามีพลังเหนือธรรมชาติ ทำนายโชคชะตา มีความรอบรู้ในการสังเกตปรากฎการณ์บนท้องฟ้า ไม่ว่าจะเกิดเหตุใด เพียงแค่เขาคำนวณก็สามารถหาฤกษ์งามของพิธีการต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ
หยางเฉิงกล่าวเช่นนี้ออกมา ผู้คนในท้องพระโรงต่างโล่งอก แม้กระทั่งฮ่องเต้ที่ไม่ปิดบังความรู้สึกก็เผยท่าทางโล่งใจอย่างเปิดเผย
ในกรณีลงโทษผู้ทำมนตร์ดำจะต้องมีการตรวจสอบและได้รับการลงโทษอย่างสาสม
จากนั้นความคิดที่ผ่อนคลายผุดขึ้นมาทันใด สีหน้าของฮ่องเต้ก็พลันสง่าผ่าเผยขึ้นมา
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วจ้องมองทั่วป๋าหรงเหยาที่สลบไสลไม่ได้สติแล้วตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นเหตุใดหรงเฟยจึงสลบไสลเป็นเพราะเหตุใดกันแน่?”
“ทูลฝ่าบาท พระสนมดวงไม่สอดคล้อง ได้รับการปะทะกัน” หยางเฉิงกล่าว
รอยย่นบนคิ้วยิ่งปรากฏชัดเจนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มองทั่วป๋าหรงเหยาอย่างฉงน
หลัวฮองเฮาเองก็ข้องใจ “หากดวงเกิดการปะทะ ก็น่าจะมีอาการปรากฏ จะเป็นไปได้อย่างไรว่าจะเกิดอันตรายร้ายแรงเช่นนี้ขึ้นมากะทันหัน?”
หยางเฉิงกล่าวต่ออีกว่า “พระสนมเกิดอาการช่วงบ่ายพอดี ปกติแล้วธาตุหยินอ่อนแอ และยังทรงกำลังตั้งครรภ์ทำให้คนกลั่นแกล้งพระนางได้ง่าย กระหม่อมได้ยินมาว่าช่วงนี้พระสนมสุขภาพจิตไม่ค่อยดีมาโดยตลอด หากกระหม่อมเดาไม่ผิดผู้ที่มีดวงปะทะกับพระสนมน่าจะอยู่ในท้องพระโรง เมื่อก่อนอยู่ไกลจากพระสนมจึงไม่มีอันตราย วันนี้ดวงปะทะอย่างจังทำให้พระวรกายพระสนมต้านทานไม่ไหวพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่พูดจบ ทั้งท้องพระโรงเกิดความโกลาหลอีกครั้ง ทุกคนถอนหายใจอีกทั้งเสียงซุบซิบ ทุกคนต่างขนลุกวาบ
ทว่านี่คือสิ่งที่หยางเฉิงประจักษ์พยานว่าดาวทุกข์ที่มีต่อหรงเฟย จะทำให้ฮ่องเต้เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ จะไม่สามารถรับประกันอาชีพการงาน หญิงผู้นั้น ในภายหลังจะถูกผู้คนกีดกัน ทั้งชีวิตจบสิ้น
เรื่องที่หยางเฉิงพูดฮ่องเต้ไม่ทรงสงสัย เพียงแค่คิดเล็กน้อยและมองไปรอบๆ ท้องพระโรงแล้วตรัสว่า “เจ้าพูดว่ามันอยู่ในท้องพระโรงขณะนี้รึ?”
“แปดเก้าส่วนคือความจริงพ่ะย่ะค่ะ” หยางเฉิงกล่าว
“พูดมาว่ามันเป็นใคร!” ฮ่องเต้ทรงสั่ง
ทุกคนต่างหยุดหายใจชั่วขณะ
หยางเฉิงรู้สึกลำบากใจและพูดด้วยความกังวลว่า “กระหม่อมไร้ความสามารถ เกรงว่าไม่สามารถที่จะชี้ตัวให้เห็นว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำ ฝ่าบาทจะสามารถรับสั่งให้ขุนนางที่อยู่ที่แห่งนี้เขียนวันเกิดที่ถูกต้องจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ทั้งหมดนี้กระหม่อมจะทำการเปรียบเทียบตรวจสอบแต่ละคน แสดงให้เห็นว่าที่กระหม่อมพูดไปไม่เป็นการพูดโป้ปด และใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์”
ฮ่องเต้ทรงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นหรงเฟยเล่า? นางจะยังมีชีวิตรอดหรือไม่?”
“ไม่มีผลกระทบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” หยางเฉิงตอบ “เพียงแต่ช่วงนี้จะต้องดูแลพระวรกายของพระสนมให้ดี และอย่าได้รับสิ่งกระตุ้นใดๆ อีก”
ฮ่องเต้ได้ยินคำนี้แล้วก็โล่งอกและไม่ลังอีกต่อไป ทรงมีราชโองการ “หลี่รุ่ยเสียงรับคำสั่ง เตรียมพู่กันและหมึกบัดเดี๋ยวนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงรับคำสั่ง ไม่นานบรรดาข้าทาสบริวารก็เดินเรียงแถวเข้ามาพร้อมกับนำหมึกพู่กันส่งมอบทุกโต๊ะ
ทุกคนเป็นกังวลที่จะต้องเขียนอักษรวันเกิดของตน ส่วนหลัวฮองเฮาออกคำสั่งให้บ่าวรับใช้ประคองตัวหรงเฟยออกไป
พระนางทรงชำเลืองตามองใบหน้าเฉินเกิงเหนียนและเหยียนหลิงจวิน แล้วก็มองผ่านไป
เฉินเกิงเหนียนจงใจแกล้งทำเป็นก้าวเท้าครึ่งก้าวยืนอยู่หน้าเหยียนหลิงจวิน ท่าทีราวกับต้องการปกป้องเขา
หลัวฮองเฮาไม่พอใจนัก ถอนหายใจแล้วชี้ไปยังใต้เท้าหลี่กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้จับชีพจรหรงเฟยเจ้าก็ต้องทำด้วยเช่นกัน เพื่อป้องการความผิดพลาด”
“รับพระบัญชา!” ใต้เท้าหลี่ถวายความเคารพแล้วรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว
เหล่าขุนนางต่างเขียนวันเกิดแล้วนำไปวางไว้ในกล่องไม้เล็ก
ฮ่องเต้มองเล็กน้อยแล้วตรัสกับหยางเฉิงว่า “เจ้านำไปเถอะ แล้วรีบแจ้งข่าวกับเราโดยเร็ว!”
“กระหม่อมรับพระบัญชา” หยางเฉิงรับพระบัญชาและคำนับ จากนั้นก็ถอยไปจัดการ
ที่นี่ถูกก่อกวนทำให้งานเลี้ยงล่าช้าไปกว่าหนึ่งชั่วโมง
หลัวฮองเฮาเห็นว่าในท้องพระโรงอาหารบนโต๊ะจืดชืด จึงทูลว่า “ฝ่าบาท ทรงทอดพระเนตรงานเลี้ยง…”
“พูดต่อสิ!”
หลี่ลุ่ยเสียงรีบเรียกบ่าวรับใช้นำอาหารสุรามาเปลี่ยน
ศพของนางในหรงเอียนก็ถูกลากลงมา โต๊ะสำรับของทั่วป๋าหรงเหยาก็ถูกเก็บออกไป แม้ว่าจะยังหาตัวผู้ลอบวางยาฮองเต้ไม่พบ ฮองเฮากลับดูปกติเหมือนว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น และไม่ทรงตรัสสิ่งใดอีก
ฉู่ฉีเหยียนขยิบตาเล็กน้อย และส่งสายตาที่มีความหมายแอบแฝงไปยังฉู่อี้หมิน
————————————————————————