สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 84(4)
บทที่ 84 คนสารเลว (4)
ทุกคนเบิกตาโพลงอย่างพร้อมเพรียง ต่างมองเขาพลางทอดถอนใจ
ฉู่อี้เจี่ยนเดินผ่านไป ก่อนจะยกมือกดไหล่ของเฉินเกิงเหนียนไว้ พร้อมทั้งยิ้มบางๆ แต่กลับกล่าวกับหมอคัง ผู้ที่กำลังตื่นตะลึงอยู่บนพื้น “หมอคัง เจ้าเลือกฟังสิ่งที่เจ้าจะเชื่อ เจ้ากับใต้เท้าเหยียนหลิงดำรงตำแหน่งอยู่ที่สำนักหมอหลวง หรือว่าเจ้ายังไม่รู้ ว่าพระสนมหรงเฟยกับใต้เท้าเหยียนหลิงไปเพราะรับสั่งของฝ่าบาทมาแล้วเมื่อหลายวันก่อน และการตรวจชีพจรครั้งนั้น ก็ทำลงไปเพราะเห็นแก่หน้าฮองเฮาและพระสนมชิ่งเฟย หลายวันมานี้เพราะข้าโรคเก่ากำเริบ จึงเชิญเขาไปที่จวน ส่วนการตรวจชีพจรให้พระสนมหรงเฟย มีผู้อื่นรับผิดชอบไปแล้ว”
หมอคังได้ยังดังนั้นก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาด ไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้าเช่นไรดี
สายตาคมกริบของฉู่สวินหยางกวาดมองผู้คนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
ทั่วป๋าไหวอันจ้องเขม็ง ฝ่ายฉู่ซวีเหยียนกลับหลุบตามองแก้วสุราสีทองในมือราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยไม่ต่างจากเดิม ทว่านิ้วมือที่ประคองแก้วเอาไว้กลับสั่นระริก บ่งบอกว่ายามนี้เขาก็รู้สึกตกใจอย่างสุดขีดเช่นเดียวกัน!
เป็นไปตามคาด
สองคนนี้รวมหัวกันจริงๆ!
ขณะเดียวกัน หมอหลี่แห่งสำนักหมอหลวง ผู้มีคิ้วดกดำและใบหน้าเหลี่ยม อายุราวสิบสิบปีก็สาวเท้าเดินออกมาจากบรรดาหมอหลวง ก่อนจะคุกเข่าลงด้วยอารามหวาดหวั่น “ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรอง กระหม่อมเพียงแค่ไปตรวจชีพจรให้พระสนมหรงเฟย เพราะรับบัญชาของฝ่าบาทมาเท่านั้น ทุกครั้งล้วนตรวจชีพจรต่อหน้าคนมากมาย เมื่อตรวจเสร็จสิ้นข้าก็ไป ไม่มีทางไปหาหาสู่ตำหนักพระสนมอย่างลับๆ แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนหลิงจวินเคยไปห้องนอนของทั่วป๋าหรงเหยาหนึ่งครั้ง และวันนั้นก็ไปเพราะได้รับบัญชาเร่งด่วนจากฝ่าบาท เพื่อสกัดชีพจรต่อหน้าฝ่าบาท
เป็นสตรีในวังหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกคนล้วนขอให้ตนได้มีโอรสอยู่ข้างกาย ดังนั้นจึงมีธรรมเนียมที่ไม่ได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยทั่วไปหากเจ้านายคนใดมีเรื่องน่ายินดี พวกนางล้วนฝากฝังหมอหลวงที่ตรวจพบชีพจรครรภ์ของนาง ภายหลังหากได้ฝากครรภ์ให้หมอหลวงคนใดแล้ว ก็จะไม่มีการเปลี่ยนหมอหลวงอีก
หลายวันมานี้เหยียนหลิงจวินไปรายงานตัวกับสำนักหมอหลวงตั้งแต่เช้า หลังจากนั้นก็นำยาสำหรับเด็กและกล่องยาออกไป ทุกคนจึงรู้กันว่าเขาไปตรวจชีพจรให้ทั่วป๋าหรงเหยา แต่กลับไม่เคยคิดว่านางไม่เคยเข้าวังหลัง และจัดการให้หมอหลวงหลี่ผู้ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ไปแทนเขาเป็นปกติ
สาวใช้ของทั่วป๋าหรงเหยาล้วนมาจากโม่เป่ย ยังรู้เรื่องลับลมคมในภายในวังหลวงไม่กระจ่างแจ้ง คิดเพียงขอแค่เหยียนหลิงจวินเคยไปห้องนอนของทั่วป๋าหรงเหยา ก็นับเป็นหลักฐานที่มัดตัวไม่สามารถดิ้นหลุดไปได้ ยิ่งเส้นสายภายในวังหลวงของพวกนางไม่ได้กว้างขวาง จึงไม่ได้ตั้งใจป่าวประกาศเรื่องเปลี่ยนหมอหลวงออกไป
บังเอิญเสียจริง
นี่นับเป็นช่องโหว่หนึ่ง ทำให้แผนการในครั้งนี้ของพวกนางพังไม่เป็นท่าโดยสิ้นเชิง
ไม่มีใครสงสัยคำพูดของฉู่อี้เจี่ยน อีกทั้งมีคนจากสำนักหมอหลวงเข้าไปปฏิบัติงานภายในวังหลวงทุกวัน ฝ่ายในล้วนมีบันทึกไว้ เพียงตรวจสอบก็ชัดเจนแล้ว
“เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่” เฉินเกิงเหนียนทำหน้าตาถมึงทึง ราวกับกำลังแสดงอำนาจให้หมอคังเห็น
ในวันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ หมอคังที่สวมเสื้อผ้าหลายชั้นมีเหงื่อออกจนเปียกชุ่มแล้ว จนมองเห็นคราบน้ำที่อยู่บนแผ่นหลังอย่างชัดเจน
“เอ่อ…นี่…” เขาเริ่มอ้ำอึ้ง เพิ่งรู้สึกเสียดาย
เหตุใดต้องคิดไปอยู่เหนือกว่าเหยียนหลิงจวินด้วย คราวนี้จบสิ้นแล้ว ด้วยขุดหลุมฝังตนเองเช่นนี้ รอบกายยังมีคนล้อมรอบ จับจ้องด้วยสายตาคมกริบอีกต่างหาก พวกเขาคล้ายกับจะยกเท้ากระทืบเขาได้ทันทีที่เขายื่นหน้าออกมา
“ฝ่าบาท…กระหม่อม…กระหม่อมแค่…เพียงแค่…ทำไปตามน้ำพ่ะย่ะค่ะ!” สุดท้ายหมอคังก็อดทนตั้งสติไม่ไหว เขาก้มหน้ามองอิฐสีทองบนพื้น แต่สายตากลับสอดส่ายไปทั่ว ผ่านไปนานทีเดียวถึงจะคิดหาคำพูดที่เหมาะสมออกมาได้
เขาไม่กล้าแก้ตัวอีก แม้กระทั่งมีท่าทียอมแพ้อยู่บ้าง
“ให้การเท็จต่อผู้บังคับบัญชา หลอกลวงเบื้องสูง ระรานผู้อยู่เบื้องล่างหรือนี่ หมอคัง เรื่องนี้เหมือนจะจบลงด้วยคำพูดเดียวของเจ้าไม่ได้แล้วกระมัง” ฉู่อี้เจี่ยนยิ้มบางๆ พลางเหลือบมองอีกฝ่าย
หมอคังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เขาเงยหน้ามองฮ่องเต้ที่อยู่บนบังลังก์ในทันที ก่อนจะกล่าวอย่างรีบร้อน “ฝ่าบาท…”
ทว่ายังไม่ทันพูดจบ เฉินเกิงเหนียนก็ก้าวมาข้างหน้าด้วยความเดือดดาล สะบัดฝ่ามือลงบนปากของหมอคัง พร้อมกล่าวอย่างมีน้ำโห “ทำไปแล้วก็ทำไปเถิด หรือว่าตอนนี้เจ้ายังคิดจะกลับดำเป็นขาวเสียให้ได้?”
เฉินเกิงเหนียนเหมือนจะไม่ได้ออกแรงมากเท่าไรนัก ทว่าทุกคนที่กำลังเงี่ยหูฟังอยู่ ล้วนได้ยินเสียงฝ่ามือดังกังวานอย่างที่คิดไว้ ขณะที่กำลังรอเขาชักมือกลับ หมอคังกลับเงียบเชียบไม่พูดจา ทุกคนเห็นเพียงหนวดเคราของเขาสั่นไหวอย่างหยุดไม่อยู่ ผ่านไปนานทีเดียว กล้ามเนื้อทั่วใบหน้ากลับเหมือนหยุดนิ่ง จะขยับปากก็ทำไม่ได้
“เข็มสองเล่มนี้นับเป็นการตักเตือนที่ตาแก่อย่างข้าให้ไว้กับเจ้า ลงโทษไม่ให้เจ้าเอ่ยวาจาเป็นเวลาสามวัน และให้เจ้าไปคิดดูให้ดี ว่าสิ่งใดพูดได้ สิ่งใดพูดไม่ได้บ้าง” เฉินเกิงเหนียนพึมพำ เห็นเพียงเขาหยิบเข็มทองสองเล่มที่ซ่อนไว้ออกมา ก่อนจะสอดกลับเข้าไปในกระเป๋าเข็มที่พกติดตัวไว้ และพูดทิ้งท้ายกับหมอคังอย่างดุดัน หลังจากที่กลับหลังหันไปแล้ว “ผู้ใดกล้าเล่นสกปรก ทำลายศิษย์น้องอันเป็นที่รักของข้า ข้าจะเอาชีวิตมันผู้นั้นเสีย!”
เขาพูดเหมือนสัตว์ในกรงที่กำลังปกป้องลูกไม่มีผิด ดวงตาสองข้างถลึงคล้ายระฆังทองแดง แล้วเขย่ากระเป๋าเข็มให้หมอคังและคนอื่นๆ ดู
หมอคังถูกเข็มทองของเขาทิ่ม ทำเอาครึ่งแก้มด้านหนึ่งชาหนึบ จิตใจของเขารุ่มร้อนแต่กล่าวอะไรออกมาไม่ได้ ร้อนรนจนเหงื่อกาฬเย็นเฉียบผุดออกมาจากหน้าผาก
เฉินเกิงเหนียนก่อเรื่องตามอำเภอใจอยู่นาน
ฮองเฮาหลัวมองสีหน้าของฮ่องเต้อยู่หลายครั้ง ทว่าฮ่องเต้ดูเหมือนอ่อนล้าอยู่บ้าง เขาพิงบัลลังก์หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง นางรู้ดีว่าเขาจงใจปล่อยให้เฉินเกิงเหนียนกระทำการตามใจชอบ แม้นางเองจะไม่พอใจ แต่ก็ข่มใจไว้ ไม่ได้ร้องให้หยุด
ทว่านางได้แต่แอบประหลาดใจ
เหตุใดฝ่าบาทถึงปล่อยให้ตาแก่นี่ทำตามอำเภอใจได้ถึงเพียงนี้ ปกติต้อนรับอย่างสมเกียรติมากกว่าคนอื่นก็ช่างเถิด แต่ครั้งนี้ปล่อยให้เขาพูดจาไร้สาระในท้องพระโรงต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้ได้อย่างไร
นี่มัน…
เกินไปหน่อยหรือไม่
อย่างไรเสียฝ่าบาทก็ไม่คิดจะหยุดยั้งเขาแม้สักนิด คนอื่นต่างก็เหมือนวิญญาณ ล้วนหลุบตาลงต่ำทำเป็นว่ามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
แม้เฉินเกิงเหนียนจะใช้อารมณ์เกินไปอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ใช่เหยียนหลิงโซ่ว เขาทำงานรับใช้อยู่ในราชสำนักมานานปี จึงเห็นแก่ความเหมาะสมอยู่บ้าง เมื่อเห็นว่าก่อเรื่องวุ่นวายได้พอประมาณแล้ว เขาก็หยุด แล้วกลับหลังหันคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้ พลางยืดอกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ฝ่าบาท กระหม่อมเอาหัวรับประกันให้เจ้าหนุ่มเหยียนหลิงได้ เขาไม่มีทางทำเรื่องที่มีโทษผิดใหญ่หลวงแน่ ความเข้าใจผิดครั้งนี้กระจ่างแจ้งแล้ว ขอฝ่าบาทรักษาความยุติธรรม ล้างมลทินให้พวกกระหม่อมสักครั้ง!”
คำพูดนี้ของเขามัดรวมตนเองกับเหยียนหลิงจวินไว้ด้วยกัน อาศัยหน้าของตนเองขอความเห็นใจต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้
ฮ่องเต้รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง ความโกรธกริ้วมัวหมองตรงหว่างคิ้วคลายลงบ้างแล้ว
“เอาล่ะ เดิมทีข้าก็บอกอยู่แล้วว่าไม่ใช่เขา” ฮ่องเต้โบกมือ ก่อนจะยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วด้วยความเหนื่อยล้า
พระองค์ไม่มีรับสั่งใด ทว่าหลี่รุ่ยเสียงที่อยู่ข้างๆ ลอบทำสัญญาณมือให้องครักษ์เสียแล้ว
ทันใดนั้นพลันมีองครักษ์ก้าวมาข้างหน้า ก่อนจะคุมตัวหมอคังออกไป
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกะทันหัน หมอคังตกใจจนคุมสติไม่อยู่ ทว่าบัดนี้เขาไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน ทั้งยังเอ่ยวาจาใดออกมาไม่ได้ ขณะที่ถูกองครักษ์คุมตัวไว้ เขากลับหันหน้าไปมองบัลลังก์ของฮ่องเต้ด้วยความกระวนกระวาย
โอรสสวรรค์ชราบัดนี้มีสีหน้าเหนื่อยล้า ไม่แม้แต่จะมองหมอคังสักครั้ง
จู่ๆ หมอคังก็รู้สึกหวาดหวั่นไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ แทบจะถูกลากออกไปด้วยความสิ้นหวัง
ฮ่องเต้พักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะมองไปทางทั่วป๋าหรงเหยาที่นอนอยู่บนพื้น กล่าวว่า “เจ้ามาพอดีเชียว เจ้าคนพวกนี้ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักนิด ข้าต้องไหว้วานเจ้า ช่วยดูหรงเฟยหน่อยเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เฉินเกิงเหนียนตอบรับอย่างนอบน้อม หลังจากประสานมือทำความเคารพแล้ว เขาก็ไปตรวจชีพจรให้ทั่วป๋าหรงเหยา
ฮ่องเต้มองเขาด้วยสีหน้าเงียบขรึม ก่อนจะถามด้วยใจกังวลอย่างอดไม่อยู่ “พิษนี้มีวิธีถอนหรือไม่”
เฉินเกิงเหนียนเงียบกริบ ก่อนจะจับชีพจรของทั่วป๋าหรงเหยาอยู่ครู่หนึ่ง บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยกองหนวดเคราดูกลัดกลุ้ม สุดท้ายถึงจะตอบเสียงเบา “พระสนมถูกพิษที่ไหนกัน นางถูกผีร้ายสิงอยู่ชัดๆ!”
————————————————————————