สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 77 (4)
หมวกเขียวสดใสบนศีรษะเจ้าบ่าว (4)
“ข้าน้อยทำพลาด!” หลี่หลินตอบ คุกเข่าลงในทันที “คืนวานข้าน้อยคุ้มครองขบวนเจ้าสาวตามคำสั่ง ต่อมาได้ยินเสียงมาจากตรอกหลังจวนสกุลซู ตอนที่จะเข้าไปตรวจสอบก็ถูกคนชุดดำลึกลับขวางเอาไว้ พวกมันตามข้าไปทั่วเมือง สะบัดอย่างไรก็ไม่หลุด”
หลี่หลินเอ่ยไป พลางยิ้มหยันตัวเอง จากนั้นก็ยกมือขึ้น ลูกน้องของเขาที่ด้านนอกจึงผลักคนชุดดำสามคนเข้ามา
ฉู่ฉีเหยียนนึกว่าเขาจับตัวนักฆ่ามาได้ แต่พอเห็นหน้าคนทั้งสามชัดๆ ก็ต้องยิ้มหยัดให้ตัวเองไม่ต่างจากหลี่หลิน
ฉู่หลิงอวิ้นกับคนแซ่เจิ้งก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงตามออกมา แล้วมองคนทั้งสามด้วยสีหน้าที่ต่างกันออกไป
“ข้าเจอสามคนนี้ที่ตรอกหลังจวนสกุลซูเมื่อเช้า หลังจากที่สะบัดพวกนักฆ่าหลุดแล้ว” หลี่หลินตอบ ไม่ยึกยักมากท่า
ฉู่หลิงอวิ้นจิกเจ็บใส่วงกบประตู ก่อนจะปิดตาลงเอ่ยอย่างแค้นใจ
“ข้าสั่งให้พวกมันพาฉู่หลิงซิ่วมาเปลี่ยนตัวกับข้า ตอนที่ออกมาจากจวนสกุลซูก็เจอกับฉู่สวินหยางพอดี!”
ความจริงแล้วมีเหยียนหลิงจวินอีกคน แต่ก็น่าแปลก จนถึงตอนนี้ นางก็ยังไม่อยากยอมรับ ทั้งยิ่งไม่อยากเปิดโปงเรื่องของเขาให้คนอื่นรู้
ในที่สุดฉู่หลิงอวิ้นก็สารภาพออกมา ร่างของคนแซ่เจิ้งโอนเอน ก่อนจะทรุดลงไปอย่างฝืนตัวไม่ไหว
“พระชายา!”
“ท่านแม่!”
ป้ากู้กับฉู่หลิงอวิ้นร้องออกมาพร้อมกัน รีบประคองนางเข้าไปในห้องด้วยมือเท้าที่สับสน
ฉู่ฉีเหยียนไม่ขยับ สายตาเหี้ยมเกรียมกวาดไปทางคนชุดดำทั้งสามทีหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยกับหลี่หลินว่า “รู้ใช่ไหมต้องทำอย่างไร?”
สามคนนี้ เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในแผนของฉู่หลิงอวิ้น ไม่อาจไว้ชีวิต!
“ขอรับ!” หลี่หลินพยักหน้า
คนทั้งสามเพิ่งจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ยังไม่ทันร้องขอความเมตตาก็ถูกหลี่หลินปิดปากลากตัวออกไปแล้ว
ภายในห้อง ป้ากู้กดเข้าที่บริเวณร่องใต้จมูกจนคนแซ่เจิ้งค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ดวงหน้าเศร้าสร้อย ทั้งตัวพิงอยู่กับโต๊ะข้างอย่างไร้เรี่ยวแรง
ฉู่ฉีเหยียนไม่อาจสนใจแต่นาง เดินเข้าไปถามฉู่หลิงอวิ้นว่า “นอกจากสามคนนี้ ยังมีใครร่วมแผนของเจ้าอีก?”
ฉู่หลิงอวิ้นไม่ใช่คนโง่ หากคิดจะดำเนินเรื่องตามแผนเดิมที่นางวางเอาไว้ ก็จำเป็นต้องปิดปากผู้ที่รู้เห็นทั้งหมด
นี่ไม่ใช่เวลาที่นางจะมาทำตัวอ่อนไหว นางรีบไตร่ตรองแล้วตอบว่า “จื่อเหวยกับจื่อซื่อไม่เป็นไรหรอก นอกนั้นตอนกลางวันก็มีป้าอีกคนหนึ่ง ที่มาเจอจื่อเหวยตอนปลอมตัวเป็นฉู่หลิงซิ่วเพื่อหนีออกจากห้องพอดี ตัวคนนั้นข้าฆ่าไปแล้ว!”
หากพูดถึงเรื่องความรอบคอบและโหดเหี้ยม ฉู่หลิงอวิ้นนับว่าเป็นที่หนึ่งได้ไม่ยาก
ฉู่ฉีเหยียนได้ฟังก็เริ่มสงบใจในที่สุด หันไปเอ่ยกับคนแซ่เจิ้ง
“ท่านแม่ เรื่องราวไม่อาจชักช้า พวกเราเป็นฝ่ายผิด ท่านพ่อขวางซูหลินไว้ไม่อยู่แน่ ก่อนที่ฝ่าบาทจะสั่งลงโทษ ท่านต้องรีบไปกล่อมเสด็จย่าให้หาทางช่วยพี่ใหญ่!”
ในสมองของคนแซ่เจิ้งสับสนไปหมด ฝืนรวบรวมสติแล้วยืนขึ้น ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา
“ได้ ข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้!”
“ท่านแ…” ฉู่หลิงอวิ้นร้อนใจ คิดจะเข้าไปขวาง แต่ฉู่ฉีเหยียนส่ายหน้าให้นางเป็นการปรามเอาไว้
นางลังเลสักพัก ก่อนจะตัดสินใจยอมแพ้
พอคนแซ่เจิ้งจากไป ฉู่ฉีเหยียนก็เรียกหลี่หลินเข้ามา สั่งว่า “แบกเขามาด้วย แล้วตามข้าไปที่จวนติ้งเป่ยโหว!”
“ขอรับ ซื่อจื่อ!” หลี่หลินผงกศีรษะ ไม่ถามมากความก็รีบลงมือใส่เสื้อผ้าให้จางอวิ๋นเจี่ยน ล้วงยาจินชางออกมาจัดการบาดแผลให้เขาอย่างลวกๆ จากนั้นก็แบกคนแล้วเดินตามฉู่ฉีเหยียนออกประตูไป
รอจนฉู่ฉีเหยียนเดินไปไกลแล้ว จื่อเหวยกับจื่อซวี่ที่แอบดูอยู่ไกลๆ ถึงได้ผ่านเข้าประตูมาอย่างเงียบเชียบ คุกเข่าลงตรงหน้าฉู่หลิงอวิ้น เรียกเสียงเบา “ท่านหญิง!”
เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ฉู่หลิงอวิ้นย่อมอับอายจนโกรธแค้น สาวใช้ทั้งสองร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในอก เตรียมใจมาพร้อมเพื่อให้นางใช้ตนเป็นที่ระบายอารมณ์
สายตาของฉู่หลิงอวิ้นกวาดผ่านร่างของคนทั้งสอง แล้วก็นิ่งไป
สาวใช้ทั้งสองตัวสั่นงันงก คาดไม่ถึงว่าวินาทีต่อมานางจะผละสายตาหนี นิ้วชี้ไปที่ห้องอย่างชิงชัง “ไปเอาน้ำมันมา ข้าจะเผาห้องนี้เสียให้มอด”
สถานที่อัปรีย์เช่นนี้ เก็บซ่อนความทรงจำที่อุบาทว์และต่ำช้าที่สุดในชีวิตของนาง แม้นางจะจำอะไรได้ไม่มาก แต่พอนึกถึงภาพตอนที่ตนฟื้นขึ้นมา ในท้องก็เหมือนมีคลื่นโหมม้วนจนอยากจะอาเจียน
“เจ้าค่ะ!” ทั้งคู่รับคำ รีบไปจัดการตามที่นางสั่งอย่างไม่รอช้า
สองคนนำน้ำมันกลับมา ฉู่หลิงอวิ้นรับมาไว้หนึ่งถัง สาดมันทั้งด้านนอกด้านในจนเปียกชุ่ม นายบ่าวทั้งสามช่วยกันทำงาน สุดท้ายก็ออกมายืนดูเปลวเพลิงสูงเทียมฟ้าที่ลานหิมะด้านนอก นัยน์ตาของฉู่หลิงอวิ้นยังมีเปลวเพลิงที่ร้อนแรงยิ่งกว่าลุกโชติ บางครั้ง ก็ถูกบดบังด้วยประกายแห่งน้ำตา!
ทั้งๆ ที่แผนของนางเหมือนกับอาภรณ์ฟ้าไร้ตะเข็บ แล้วทำไม? ทำไมถึงออกมาเป็นแบบนี้?
ในที่สุดนางก็ไม่ต้องแต่งให้กับซูหลินตามที่หวัง แต่บัดนี้กลับต้องถูกยัดเยียดให้คนที่เทียบกับซูหลินไม่ได้สักกระผีกอย่างจางอวิ๋นเจี่ยน?
ถือสิทธิ์อะไร? เพราะเหตุใดเล่า?
ฉู่สวินหยาง!
ทั้งหมดเป็นเพราะนังเด็กสารเลวคนนั้น!
ภาพในสมองเลือนราง คล้ายเห็นสายตาที่ทั้งอบอุ่นและเฝ้าเอาใจของบุรุษผู้งามเป็นเลิศอยู่กลางตรอกถนนให้แสงจันทรา เงยหน้าขึ้นน้อยๆ มองไปทางร่างเงาร่างหนึ่ง ใช้เสียงทุ้มต่ำออกคำสั่งว่า ‘ลงมา!’
ฉู่สวินหยางไม่เพียงทำลายนางย่อยยับ ทั้งได้ครอบครองสิ่งที่นางปรารถนามากที่สุดในชีวิต
หากย้อนไปก่อนหน้านี้ ทุกๆ วันนางยังสามารถเฝ้าฝันและวาดหวังที่จะมีอนาคตร่วมกับเขาได้ แต่ว่าตอนนี้…
ไม่ใช่เพราะเรือนร่างของนางที่ถูกย่ำยี แต่เพราะวาจาเย็นชาไร้ไมตรีของเขาตอนเมื่อคืนวาน
ศัตรู!
เขาประกาศจุดยืนของตนอย่างมั่นใจ ไม่เหลือแม้แต่ความลังเลหรือโอกาสใดๆ ไว้ให้นางสักนิด
แม้นางจะไม่อยากยอมรับ แต่ความจริง…
จุดจบน่าเวทนาที่นางต้องเป็นอยู่ตอนนี้ ส่วนหนึ่งก็คงมาจากฝีมือของเขาด้วยกระมัง?
นอกจากเขา ใครจะมือดีถึงขนาดมียาวิเศษ ที่สามารถควบคุมให้ยาในร่างของนางกำเริบได้ในเวลาที่เหมาะเจาะ? ความจริงตอนที่จางอวิ๋นเจี่ยนทรมานร่างกายของนาง สติของนางช่างล่องลอยและเลือนรางนัก แต่พอพวกซูหลินบุกเข้ามาอยู่ตรงหน้า กลับตื่นเต็มตาอย่างพอดิบพอดี ทำให้ทุกคนเข้าใจว่านางทำอะไรๆ ลงไปด้วยสัมปชัญญะที่ครบพร้อม ต่อให้มีร้อยปากก็ไม่อาจจะอธิบาย!
วินาทีนี้ หัวใจของนางเยือกแข็งยิ่งกว่าหิมะบนพื้นและโทสะที่แผดเผาในหัวใจก็รุนแรงยิ่งกว่าเปลวเพลิงเบื้องหน้าเสียอีก
ฉู่สวินหยาง เจ้าคอยก่อนเถอะ! คิดอยากจะควบคุมชะตาของคนอย่างข้าฉู่หลิงอวิ้น? เจ้ายังไม่เก่งกาจถึงเพียงนั้น!
สักวันหนึ่ง ข้าจะให้เจ้าได้ชดใช้มากกว่าเป็นร้อยพันเท่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่เจ้าเคยทำกับข้า
ท่ามกลางหิมะและเปลวเพลิงที่ลุกโหมเชื่อมแผ่นดินและแผ่นฟ้า นางบอกกับตัวเองอย่างชัดเจนทุกๆ คำ
ทางด้านฉู่สวินหยาง ตั้งแต่ออกจากจวนมา ฮูหยินใหญ่ก็เดินเงียบมาตลอดทางราวกับมีเรื่องในใจ ไม่อาจรู้ได้ว่านางคิดอะไรอยู่
ฉู่สวินหยางมองอารมณ์บนหน้านาง แต่ไม่ได้ปริปากถาม จนกระทั่งปีนขึ้นรถม้าไปแล้วถึงได้เปิดปากก่อนว่า “ฮูหยินใหญ่ คำพูดเมื่อครู่ของซื่อจื่ออ๋องหนานเหอเจ้าก็ได้ยินแล้ว ข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดมาก!”
ฮูหยินใหญ่ได้สติคืนมา เงยหน้าขึ้นมองนาง สีหน้ายังคงสุภาพและอ่อนโยน แต่ก็เห็นถึงความกังวลหลายส่วน “ข้าเข้าใจ ชื่อเสียงของจวนอ๋องหนานเหอ ไม่ต้องให้เราทำลายก็เสียหายย่ำแย่พอแล้ว เรื่องเมื่อครู่ ข้าจะปิดปาก
ให้สนิท”
มีซูหลินอยู่ทั้งคน ใครก็ไม่จำเป็นต้องรับหน้าที่เป็นผู้ร้ายเพิ่มอีก
ฮูหยินใหญ่เป็นคนฉลาด ทุ่นแรงของฉู่สวินหยางไปไม่น้อยเลย
ฉู่สวินหยางหัวเราะเบาๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
นางยอมให้ฮูหยินใหญ่อยู่รอดูเรื่องสนุกด้วยกัน ก็เพราะนางมีจุดประสงค์บางอย่าง…
ฮูหยินใหญ่รักบุตรสาวเท่าชีวิต โอมอุ้มฉู่เยว่หนิงราวกับไข่มุกกลางฝ่ามือ ตอนนี้ฉู่หลิงอวิ้นคิดจะทำร้ายฉู่เยว่หนิง สุดท้ายแม้คนจะเสียขวัญแต่ก็รอดปลอดภัยดี ทว่าในใจของฮูหยินใหญ่ย่อมจะเคียดแค้น เพื่อให้นางได้สลายความเกลียดชังในหัวใจ เลิกคิดจะเคลื่อนไหวเอาคืนลับหลัง ฉู่สวินหยางจึงต้องให้นางได้มาเห็นจุดจบของฉู่หลิงอวิ้น
สองคนพูดคุยกันไปตลอดทาง ส่วนใหญ่มันเป็นเรื่องไร้สาระไม่สลักสำคัญอะไร
รถม้ามาถึงวังบูรพา สองคนแยกจากกันที่หน้าประตู
ฉู่สวินหยางพาชิงหลัวเดินลดเลี้ยวไปมา มุ่งหน้าไปที่เรือนจิ่นฮว่า ส่วนฮูหยินใหญ่กลับยืนนิ่งอยู่ที่ประตูท่ามกลางหิมะ มองตามแผ่นหลังที่หดเล็กลงเรื่อยๆ ของนางอยู่เป็นนาน
หรูโม่กลัวว่านางจะโดนไอเย็นเล่นงาน จึงกุมมือของนางเอาไว้ “ฮูหยิน ท่านมองอะไรหรือเจ้าคะ?”
ความคิดของฮูหยินใหญ่ถูกตัดตอน เก็บสายตาจากที่ไกลๆ หันมามองนางทีหนึ่ง แต่กลับเปลี่ยนเรื่องไปอีกทาง นางว่า “ท่านจ่างซุนนั้น จบสิ้นแล้ว!”