วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 10-10
มินอาส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดไร้สาระทิ้งไปแล้วลุกออกไปข้างนอกเงียบๆ ท่าทีของเหล่านางในที่สังหรณ์ใจว่านางซึ่งถูกเรียกมายังห้องบรรทมขององค์รัชทายาทอยู่เรื่อยๆ จะได้กลายมาเป็นเจ้านายนั้นมีความสุภาพอ่อนโยนจนสังเกตได้ พวกนางทำให้รู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก มินอาจึงรีบเดินกลับไปยังวังจงซูด้วยฝีเท้าที่ว่องไวและเปิดประตูห้องที่ฮอนกับรยูฮาอยู่โดยไม่มีการบอกกล่าว
“มาแล้วหรือ”
ไม่ถามว่าไปที่ไหนมา มินอาก็ไม่บอกว่าไปที่ไหนมาเหมือนกัน แต่กลับเปิดถุงที่กอดมาด้วยความหวงแหนออกและนำสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาวางไว้บนฝ่ามือของรยูฮา
“ยาถอนพิษเพคะ ได้มาจากองค์รัชทายาท พระองค์ตรัสว่า ยาถอนพิษนี้…จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกสองเดือนเพคะ”
ยาเม็ดที่ออกมาจากถุงมีทั้งหมดสามเม็ด ไม่สามารถรับประกันได้เลยว่ายานี้จะเป็นยาถอนพิษหรือเป็นยาพิษที่มีฤทธิ์รุนแรงกว่าเดิมกันแน่ ในตอนนี้รยูฮาไม่ห่างข้างกายฮอนเลยสักวินาทีเดียว และวิธีที่เร็วที่สุดในการตรวจสอบก็คือรยูฮาจะต้องกินยานี้ด้วยตัวเอง นางมองยาเม็ดที่มีขนาดเท่าเล็บมืออยู่สักพัก จากนั้นจึงหยิบมาหนึ่งเม็ดใส่ปากและกลืนมันลงไป
“ไม่นะเพคะ!”
มินอาร้องตะโกนและยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ยาเม็ดก็ลงไปในคอเรียบร้อยแล้วโดยไม่ทันได้ห้าม ยานั้นมีรสชาติขมมาก แต่รยูฮาก็ยังทำหน้านิ่งและเฝ้ารอดูปฏิกิริยาที่จะเกิดขึ้น ยาเม็ดไหลลงไปตั้งแต่คอจนถึงช่องท้อง ความรู้สึกเย็นเฉียบอะไรบางอย่างแผ่กระจายไปทั่ว แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามที่ยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุด นางหยิบยาอีกเม็ดใส่ปากอีกครั้งและปล่อยให้ละลายอยู่ในปาก จากนั้นรยูฮาก็ประกบปากฮอนแล้วป้อนยานี้ให้ฮอนด้วยปลายลิ้น เมื่อผละริมฝีปากออก นางก็อมน้ำอุ่นไว้และป้อนเข้าไปในปากของฮอนอีกครั้งเป็นการปิดท้าย จากนั้นจึงเช็ดปากด้วยผ้าที่มินอาส่งให้
“ใครอยู่ข้างนอกบ้าง”
“เพคะ พระชายา”
“นำกระดาษ พู่กันและหมึกมาให้ข้าหน่อย”
ลายมืออันงดงามและเรียบง่ายคล้ายกับตัวเจ้าของถูกวาดลงบนกระดาษสีขาว รยูฮาส่งจดหมายสองฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ให้มินอา จากนั้นมินอาจึงลองอ่านดูครั้งหนึ่งและพับจนเล็ก เก็บไว้ในหน้าอก
“จงกลับมาทันทีที่ตะวันขึ้น อันนี้ส่งให้ท่านแม่ ส่วนอันนี้ส่งให้ท่านพี่คนที่สอง ต้องรีบที่สุดนะ เข้าใจใช่หรือไม่”
“เพคะ พระชายา”
ดวงตาของรยูฮาที่ด้านชาและสูญเสียประกายของตัวเองไปกลับมามีประกายอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับจดหมายสองฉบับที่ถูกส่งไป คงจะต้องทนต่อการถูกดูหมิ่นไปสักพัก
“โปรดอดทนไว้ก่อนนะเพคะ ฝ่าบาท”
รยูฮากระซิบพลางลูบมือของฮอนที่ไร้เรี่ยวแรงบนผ้าห่ม
* * *
ฮอนตายแล้ว เนื่องจากเป็นเพียงแค่องค์ชายสามไม่ใช่องค์รัชทายาท พิธีศพที่เรียบง่ายตามมารยาทจึงถูกจัดขึ้นแทนพระราชพิธี ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นลูกอกตัญญูซึ่งด่วนจากโลกนี้ไปก่อนผู้เป็นพ่อ ที่หลุมฝังศพจึงไม่มีการตั้งหินจารึกเอาไว้ นับว่าเป็นหลุมฝังศพที่เล็กและต่ำต้อยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับหลุมฝังศพของพระสนมยอนผู้เป็นมารดา
จากปากของเหล่าขันทีที่จัดการดูแลเรื่องศพ ท่านที่งดงามผู้นั้นถูกเผาจนไหม้เกรียมไปทั้งตัว อีกทั้งยังมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วด้วยว่า น่าแปลกมากที่เขายังคงหายใจได้อยู่เป็นเวลานาน แม้จะได้รับยาพิษเช่นนั้นไป
“พระชายา องค์รัชทายาทเสด็จเพคะ”
“ทูลฝ่าบาทว่าเข้ามาได้”
หลังจากพิธีศพเป็นเวลาห้าวันเสร็จสิ้นลง ทุกคนต่างถอดชุดไว้ทุกข์ออก แต่มีเพียงผู้เดียวที่ยังสวมชุดสีขาว คนนั้นก็คือรยูฮา แม้ว่าพิธีอภิเษกสมรสจะยังไม่ถูกจัดขึ้น แต่ในเมื่อมีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าองค์รัชทายาทจะทรงรับภริยาของน้องชายผู้ล่วงลับไปแล้วเข้ามาเป็นพระชายา รยูฮาจึงได้เป็นพระชายาในองค์รัชทายาทโดยที่ใครก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ ด้วยเหตุนั้นนางจึงต้องเข้ามาพำนักที่วังซึงกอนซึ่งพระชายาใช้กันมาหลายต่อหลายรุ่นตามเดิม ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ขาดไปแค่อย่างเดียวเท่านั้น
“ทำอะไรอยู่หรือ”
ชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินเข้ามาภายในห้องราวกับเป็นเรื่องปกติ เขาไม่ใช่ฮอน แม้น้ำเสียงจะอ่อนโยนแต่สายตาของรยูฮาก็ยังจับจ้องอยู่ที่หนังสือและไม่แม้แต่จะหันไปมอง ชานลากเก้าอี้ซึ่งอยู่ข้างๆ กันมานั่งเหมือนกับชินกับการไร้การตอบสนองแล้ว มองใบหน้าด้านข้างของรยูฮาและเริ่มเปิดฉากสนทนาอีกครั้ง
“พรุ่งนี้เช้าเราไปที่วังจางชุนกันเถอะ พระชายา”
คำพูดปิดท้ายทำให้ความรู้สึกอึดอัดใจไล่ลงมาตามแผ่นหลัง แววตาของรยูฮาที่สุดท้ายก็หันมามองชานเผยให้เห็นความอึดอัดใจเหมือนเดิม
“เสด็จย่าคงจะทรงดีพระทัยมากเพคะ หม่อมฉันอยากอยู่คนเดียว โปรดเสด็จออกไปเถิดเพคะ”
“ข้าเพิ่งจะมาเอง ข้าจะอยู่แบบนี้แหละ”
“ทรงตรัสอะไรไร้สาระเก่งดีนะเพคะ”
รยูฮาลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมกันกับคำพูดที่รุนแรง เขวี้ยงหนังสือลงไปที่พื้นก่อนจะเปิดประตูออกไปข้างนอก สายตาของชานไล่ตามแผ่นหลังนั้นไปสักพัก แล้วภาพของนางก็ลับสายตาไป ในขณะเดียวกันกับที่ประตูถูกปิดลง ชานที่เหลืออยู่เพียงลำพังคลี่ยิ้มออกมาและเอนตัวลงบนเตียงนอนที่เจ้าของไม่อยู่ กลิ่นกายที่ทำให้เขาคลั่งเสมอลอยขึ้นมาเติมเต็มหัวใจที่ว่างเปล่า
“พูดไร้สาระเก่ง…งั้นหรือ”
ชานคิดทบทวนคำพูดที่รยูฮาพูดใส่เป็นประโยคสุดท้ายพร้อมกับมุดหน้าลงบนหมอนนุ่ม ดีใจเหลือเกินที่ได้เห็นปฏิกิริยาที่รุนแรงจากรยูฮาผู้ซึ่งไม่เคยตอบไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เพราะคำว่า ‘พระชายา’ ใบหน้าที่มุดอยู่บนหมอนจึงปรากฏรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว แต่ในไม่ช้าก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นความโกรธ
ไว้ชีวิตทั้งฮอนและมินอา ทั้งยังให้ยาไปแล้วตามที่สัญญาด้วย แต่ทำไมรยูฮาถึงยังไม่เปิดใจให้ตนเองอีก ความคิดไหลผ่านไปเรื่อยๆ แล้วจึงสรุปได้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะฮอน เพราะไม่ฆ่าเขาให้ตายไป รยูฮาจึงยังคงมีความหวังลมๆ แล้งๆ อยู่ ชานลุกขึ้นจากเตียงและเดินโซเซตรงไปยังวังยองฮวาซึ่งเป็นที่พำนักของพระสนมเอก
“มาแล้วหรือ องค์รัชทายาท”
ห้องที่พระสนมเอกใช้ยังคงคล้ายกับเมื่อก่อน แม้จะย้ายจากวังซูอันที่มีขนาดเล็กมายังวังยองฮวาขนาดใหญ่โตแล้วก็ตาม ห้องที่เต็มไปด้วยสิ่งของเครื่องประดับหรูหรากับมู่ลี่สีแดง ต้นบอนไซหลากหลายแบบที่ออกดอกแม้ในฤดูหนาว เมื่อชานผงกศีรษะและเข้าไปด้านในนั้น พระสนมเอกจึงปัดไม้ปัดมือให้เหล่าข้าราชบริพารถอยออกไปและนั่งประจันหน้ากับเขา
“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นรึ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาเพราะคิดถึงแม่คนนี้สินะ”
คำพูดปนดูหมิ่นตนเองทำให้ชานยิ้มออกมาเล็กน้อยและกุมมือของมารดาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ มันคือความรู้สึกสนิทสนมที่ถูกแสดงออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี แต่พระสนมเอกกลับเอามือออกอย่างเป็นธรรมชาติและกุมแก้วชาตามความเคยชินราวกับไม่ยินดีเท่าไหร่นัก
“กระหม่อมมีเรื่องอยากจะขอร้องพ่ะย่ะค่ะ”
แม้พยายามเมินสายตาที่ว่างเปล่าของโอรสพร้อมกับจิบชา แต่กลับไม่รู้สึกถึงกลิ่นหอมเลย พระสนมเอกวางมันลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเบนสายตาไปยังหน้าต่างที่มีหิมะกองทับถมกันอยู่
“ว่ามาสิ”
ชานที่ยังคงอมยิ้มอยู่เหมือนเดิมขยับเข้าไปด้านหน้าพระสนมเอก หางตาที่ดูเย็นชาอยู่เสมอโค้งอย่างงดงาม แนบกับใบหูของมารดาและเปล่งเสียงกระซิบอย่างอ่อนโยน
“โปรดฆ่าเขาให้สิ้นซากด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฮอนน่ะ”
“องค์รัชทายาท!”
“เสด็จแม่”
มือไร้ไออุ่นคว้ามือของพระสนมเอกไปจับไว้แน่นอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้นางไม่สามารถชักมือกลับมาได้
“นางไม่มองกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ หัวใจของนางอยู่ที่อื่น โปรดทำให้กระหม่อมเข้าไปในหัวใจดวงนั้นได้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าจงพึงพอใจกับการได้ครอบครองเพียงแค่เปลือกนอกเถิด หัวใจมิใช่สิ่งที่จะสามารถคว้าเอาไว้ด้วยน้ำมือของคนได้”
โครม โต๊ะถูกพลิกคว่ำ ชุดชงชาราคาแพงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ น้ำชาที่กระจายลงพื้นไหลซึมเข้ามาในพรมสีขาว เสียงเฉอะแฉะและเสียงเศษภาชนะแตกหักดังลั่นไปทั่วห้องราวในทุกย่างก้าวที่ชานเหยียบสิ่งเหล่านั้นและเดินเข้ามาใกล้พระสนมเอก
“กระหม่อมกำลังจะตาย เสด็จแม่บอกว่าสามารถช่วยกระหม่อมได้ไม่ใช่หรือ”
เสียงที่เคยอ่อนโยนกลับแห้งผากลง
“แม่คนนี้คงทำเช่นนั้นไม่ได้ แม่ไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้นหรอกนะ”
“…โกหก”