ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 69 ไว้อาลัย
ในทางลับนั้น ไม่ว่าเว่ยฮ่วนจะวางแผนใดหรือทำการใด อย่างไรเว่ยเจิ้งหย่าก็เป็นคนของรุ่ยอวี่ถัง เมื่อเขาตายด้วยน้ำมือของ ‘พวกหรง’ ตระกูลในสายของเว่ยฮ่วนก็ย่อมต้องไปร่วมงานไว้อาลัยของเขา
ความจริงแล้วเว่ยฉางอิ๋งนั้นไม่ยินยอมไปเป็นอย่างมาก
ตอนนี้นางเฮ่อหายดีแล้วจึงกลับมาดูแลข้างกายนาง พวกของจูหลานทั้งสี่คนซึ่งเป็นเด็กรับใช้อายุน้อยก็ถูกรับตัวกลับมาจากชนบท และมาทำหน้าที่สาวใช้ลำดับสองในเรือนเสียซวงต่อไป และไม่รู้เพราะเป็นเมื่อตอนอยู่ที่ชนบทถูกแม่นมสั่งสอนมาอย่างหนักหรือไม่ ประการแรกนั้น เดิมทีพวกของจูหลานสองสามคนนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นลูกลานของนางเฮ่อและพวกพ่อบ้านแม่บ้าน ประการต่อมาด้วยอายุยังน้อยจึงซุกซนและชอบหยอกล้อเอะอะเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เองไม่ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะอยู่ที่เรือนเสียซวงหรือไม่ ในเรือนนี้ก็จะคึกครื้นอย่างยิ่งตลอดทั้งปี
แต่กลับมาหนนี้กลับเรียบร้อยขึ้นจนผิดหูผิดตา ดูไปแล้วสงบเสงี่ยมกว่าก่อนนี้เป็นอย่างมาก เว่ยฉางอิ๋งก็มิได้เรื่องมากกับคนที่อยู่รอบกาย หากพวกเด็กรับใช้อายุน้อยๆ จะมีเสียงจ้อกแจ้กจอแจบ้าง ขอเพียงไม่รบกวนนางเกินไป นางก็มิได้โกรธเคือง ยามนี้เรียบร้อยและรู้ความขึ้นแล้วนางจึงได้เอ่ยชมไปสองสามประโยค ดีชั่วอย่างไรการที่พวกจูหลานสองสามคนนี้ได้ถูกคัดมาให้ปรนนิบัตินาง ไม่ว่าจะเอะอะหรือสงบนิ่ง ทุกเรื่องพวกนางก็ทำอย่างตั้งใจ
เพียงแต่ลวี่ฝางและลวี่ปิ้นที่เว่ยฉางอิ๋งมักจะพึ่งพาและไว้วางใจมาโดยตลอดกลับไม่ได้กลับมาพร้อมกัน สาเหตุที่บอกกล่าวกันมาก็คือยามพวกนางอยู่ที่ชนบทนั้นไปเข้าตาขุนนางเข้า และอายุก็ถึงวัยอันควรแล้ว จึงได้ขอลากับแม่เฒ่าซ่งและแต่งงานอยู่ในชนบทแล้ว นางเฮ่อยังได้ส่งของขวัญไปแสดงความยินดีแทนเว่ยฉางอิ๋งสองชุด
ส่วนเหตุผลจริงๆ นั้น นางเฮ่อมาบอกเป็นการภายในว่า “เหตุอันตรายที่คุณหนูใหญ่ประสบครานี้ ได้ยินว่าลวี่อีและลวี่ฉือที่พาไปด้วยนอกจากจะไม่สามารถปกป้องคุณหนูใหญ่ได้แล้ว กลับยังกลายเป็นตัวถ่วง ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธมาก และบอกว่าสาวใช้ข้างกายเช่นนี้ใช้สอยในยามปกติก็พอแล้ว เวลาสำคัญขึ้นมากลับใช้สอยอะไรไม่ได้แม้สักน้อย! นี่ขนาดยังอยู่ในเฟิ่งโจว หากคุณหนูใหญ่ออกเรือนไปแล้ว แล้วพวกนางออกไปอยู่ด้วยก็จักน่าขายหน้าเสียเปล่าๆ ด้วยเหตุนี้จึงได้เปลี่ยนคนเสีย”
“พวกฉินเกอ และเยี่ยนเกอรึ?” เว่ยฉางอิ๋งถามอย่างสงสัย
นางเฮ่อกล่าวเสียงเบาว่า “คุณหนูใหญ่อย่าได้ดูแคลนพวกนางเชียว ยามพวกนางทั้งสี่เพิ่งมาถึง ข้าน้อยก็รู้สึกว่ามือไม้พวกนางหนักเหลือทน อุ้งมือก็ยังหยาบและมีหูดแข็งด้วย! เหมือนคนที่จะมาดูแลคุณหนูใหญ่อย่างละเอียดประณีตที่ใดกัน? ดังนั้น…จึงตั้งใจได้ไปบอกกับฮูหยินผู้เฒ่า ปรากฏว่าฮูหยินผู้เฒ่าจึงเรียกฉินเกอเข้ามาในโถง แล้วฉินเกอก็จัดการองครักษ์สามสี่นายไปเสียจนสะบักสะบอมด้วยมือเปล่าอยู่ต่อหน้าข้าน้อยเชียว!”
เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจทันที ครานี้ถูกลอบทำร้าย ด้วยความตื่นกลัวของแม่เฒ่าซ่งจึงเริ่มระแวดระวังเอาไว้ให้มั่น ก่อนนี้เว่ยซินหย่งกล่าวว่า เนื่องจากตนมิใช่บุตรชายบ้านใหญ่ แม้เว่ยฮ่วนจะได้รับการแต่งตั้งจากท่านจิ้งผิงกงผู้เฒ่าให้สืบทอดรุ่ยอวี่ถัง แต่เพราะคำทัดทานของแม่ใหญ่ จึงไม่ได้รับอำนาจดูแล ‘ปี้อู๋’ แต่เมื่อพี่น้องของตนประสบภัยในครานี้ กลับเป็นการให้เหตุผลข้ออ้างและโอกาสกับเว่ยฮ่วน และใช้ทั้งไม้แข็งไม้อ่อนเพื่อช่วงชิงสิทธิ์การดูแลองครักษ์ลับกองนี้
เมื่อองครักษ์ลับของตระกูลมาอยู่ในมือ ด้วยนิสัยของแม่เฒ่าซ่งย่อมต้องคิดถึงหลานชายหลานสาวทั้งคู่ของตนเป็นอันดับแรก
เกรงว่าไม่เพียงแค่สาวใช้ข้างกายเว่ยฉางอิ๋งจะถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด คนในเรือนหลิวหวาของเว่ยฉางเฟิงก็เกรงว่าจะเปลี่ยนคนใหม่ทั้งหมดเช่นกัน
“ตอนรับใช้ดูแลก็คงจะไม่ละเอียดประณีตนัก แต่พวกนางเพิ่งจะมา ก็จะต้องให้เวลาสักระยะจึงจะรู้จักความคุ้นเคยของข้า” เว่ยฉางอิ๋งยังกล่างว่า “เมื่อท่านอามีเวลาว่างก็ชี้แนะพวกนางสักหน่อยเถิด”
“เรื่องนี้ยังต้องให้คุณหนูใหญ่บอกหรือเจ้าคะ?” นางเฮ่อยิ้มน้อยๆ “ข้าน้อยคอยกำชับกำชาอยู่ทั้งวันเชียว! เพียงแต่ความสามารถในการเรียนรู้เรื่องการปรนนิบัติดูแลคนของนางพวกนี้ไม่ดีนัก โดยรวมแล้วแม้ไม่มีปัญหาใด แต่ในรายละเอียดก็ยังมีที่พลั้งพลาดอยู่ ยังต้องสอนสั่งให้เห็นกับตาทีละเล็กทีละน้อยจึงจะได้” เพื่อให้เว่ยฉางอิ๋งอยู่อย่างสุขสบายใจ นางเฮ่อจึงเข้มงวดกับพวกสาวใช้เป็นอย่างยิ่งตลอดมา
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วว่า “ดีชั่วพวกนางก็อยู่ข้างๆ กาย ที่ใดทำไม่ได้ก็ชี้ชัดออกมาแล้วเรียกให้นางจำเอาไว้เป็นพอ ข้าคิดว่าคนที่ท่านย่าคัดสรรมาจะต้องหัวดีแน่นอน หนหนึ่งจำไม่ได้ หลายหนเข้าก็จะต้องจำได้เอง”
แม้จะใจกว้างกับสาวใช้ที่มาใหม่เป็นพิเศษ แต่กับเรื่องที่สาวใช้ที่รับใช้ตนมาหลายปีต้องจากไปอย่างกะทันหัน ในจำนวนนั้นลวี่อีและลวี่ฉือก็ยังต้องมาตายอย่างน่าอนาถอยู่ในป่า เว่ยฉางอิ๋งยังคงรู้สึกว่าภายในใจไม่สุขสงบ “พิธีไว้อาลัยนี้ไม่ไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วข้าไม่คิดอยากไปเลยจริงๆ”
เดิมทีด้วยเหตุที่นางเฮ่อเจ็บป่วยด้วยโรคเดียวกันจึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจเว่ยฉางเสียน ถึงขนาดเคยตักเตือนให้เว่ยฉางอิ๋งไปสมานสามัคคีกับเว่ยฉางเสียนเอาไว้ แต่จวนจิ้งผิงกงกลับวางแผนทำร้ายเว่ยฉางอิ๋ง อีกทั้งนางเฮ่อยังเห็นว่า ‘คุณหนูใหญ่ถูกต้องเสมอ หากคุณหนูใหญ่ผิดแล้ว โปรดกลับไปดูประโยคแรก’ ความเห็นอกเห็นใจเพียงน้อยนิด…ที่เว่ยฉางอิ๋งมีให้เว่ยฉางเสียนก่อนนี้นั้นพลันถูกนางเฮ่อโยนขึ้นไปบนเมฆชั้นที่เก้าโน่น ยามนี้นางเฮ่อจงเกลียดจงชังทั้งจวนจิ้งผงกงเป็นที่สุด นางเป็นคนปากจัด จึงคุ้นชินกับคำพูดแรงๆ มาเสียตั้งนานแล้ว “ไยคุณหนูใหญ่ต้องคิดว่าไปงานไว้อาลัยเล่าเจ้าคะ? ก็คิดเสียว่าไปดูผลกรรมหลังความตายของคนผู้นั้น และไปฟังเสียหน่อยว่าพวกจวนจิ้งผิงกงจะร้องไห้คร่ำครวญกันเพียงใด เช่นนี้ก็มิใช่ว่าสาแก่ใจแล้วหรือเจ้าคะ?”
คำพูดนี้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะพู่ออกมา จนทำให้มือที่กำลังปักดอกไห่ถังที่ทำจากอัญมณีบนศีรษะของนางชะงักลง “ท่านอากล่าวถูกต้องแล้ว อืม… อย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นการไว้อาลัย ดอกจูฮวาสีนี้ก็อย่าเอาแซมผมไปเลย เปลี่ยนเป็นดอกลี่ฮวาสีขาวก็แล้วกัน!”
นางเลือกสรรและปรับเปลี่ยนเครื่องประดับให้เหมาะกับพิธีไว้อาลัย และเลือกเสื้อและกระโปรงแบบธรรมดาๆ แล้วส่งกระจกดู เมื่อเห็นว่าไม่มีที่ใดไม่เหมาะสมแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ลุกขึ้นแล้วว่า “คิดว่าทางน้องสาวสี่และห้าก็คงจวนจะเสร็จแล้ว เช่นนั้นก็ไปรอที่ทางเดินด้านหลังกันเถิด”
แม้ความเกลียดชังที่รุ่ยอวี่ถังมีต่อจวนจิ้งผิงกงยังคงไม่จางหาย แต่การเสียประโยชน์และที่สิ่งที่พวกเราได้ลงมือทำไปล้วนเป็นเรื่องในทางลับ แต่ในทางแจ้งนั้น ก่อนนี้เว่ยเจิ้งหย่าตำหนิพวกหรงเพื่อหลานสาว ครานี้เว่ยฮ่วนยังเป็นตัวแทนของเว่ยฉางสวี้ในการเชื้อเชิญหลานชายตระกูลเฟิง ซึ่งเป็นมิตรที่รักใคร่กลมเกลียวอย่างยิ่งของทั้งสองฝ่ายมาร่วมงานด้วย
ด้วยเหตุนี้หลังจากเว่ยเจิ้งหย่าเสียชีวิต ฮูหยินซ่งก็ไม่ยอมแอบยินดีอยู่ภายในใจอีกต่อไป ทั้งยังอดจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วไม่ได้ แล้วเร่งพานางเผยไปที่จวนเพื่อ ‘ปลอบโยน’ นางเสี่ยวหลิว แน่นอนว่าการปลอบโยนนั้นเป็นเรื่องรอง แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือไปช่วยงานศพ อย่างไรเว่ยเจิ้งหย่าก็เป็นลูกโทน เป็นแก้วตาดวงใจดวงเดียวของจิ้งผิงกง ทั้งจิ้งผิงกงยังไม่กระตือรือร้นกับเรือนหลัง เมื่อภรรยาเก่าเสียชีวิตไปแม้อนุสักคนก็ยังไม่มี ผู้คนจึงพากันบอกเขาให้แต่งงานใหม่มาช่วยหุงหาอาหารเถิด แม้นางซูจะเก่งกาจแต่ก็เป็นเพียงสะใภ้ เรื่องงานศพของพ่อสามี มีหลายแห่งที่นางไม่ควรเป็นคนตัดสินใจ
ในเวลาเช่นนี้ก็ย่อมต้องเป็นคนในตระกูลมาช่วยงาน โดยเฉพาะญาติทางสายของประมุขเว่ยฮ่วนมาออกแรงช่วย
ฮูหยินซ่งและนางเผยมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบจึงต้องไปถึงให้เร็ว ส่วนพวกบุตรชายบุตรสาวค่อยตามมาภายหลัง เว่ยฉางเฟิงและพี่น้องผู้ชายขี่ม้าออกไปทางประตูหน้า แล้วจึงอ้อมมารอพวกพี่สาวและน้องสาวที่ประตูหลัง ส่วนพวกของเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นเด็กสาวนั้นต้องมาขึ้นรถที่เรือนหลัง แล้วจึงออกจากจวนทางประตูหลัง เมื่อมาพร้อมกันแล้วจึงเดินทางไปยังจวนจิ้งผิงกง เพื่อมิให้ต้องเข้าจวนสองสามรอบ นอกจากจะไม่น่าดูแล้วยังทำให้ผู้ที่มาต้อนรับแขกต้องวิ่งไปกลับหลายหนด้วย
ดังนั้นยามนี้เว่ยฉางอิ๋งต้องรอน้องสาวทั้งสองคนไปด้วยกัน
นางกะเวลาได้แม่นยำนัก รออยู่บนระเบียงทางเดินที่จะต้องเดินผ่านเพียงประเดี๋ยว ก็เห็นสาวใช้ห้อมล้อมพวกน้องสาวค่อยๆ เดินมาถึง
เครื่องแต่งกายของเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนคล้ายๆ กับของเว่ยฉางอิ๋ง ว่ากันว่าอยากงดงามต้องสวมชุดขาว สิ่งที่คุณหนูตระกูลใหญ่นั้นมีไม่เคยขาดก็คือผ้าไหมเนื้อวาว อีกทั้งบรรดาพวกผู้ใหญ่ก็ชื่นชอบให้เด็กๆ สวมเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใส นอกจากงานศพแล้ว พวกเด็กสาวล้วนไม่มีโอกาสได้สวมชุดสีเรียบ
ปกติแล้วเห็นพวกพี่สาวน้องสาวสวมชุดสีสันสดใสเสียจนชิน มาวันนี้ได้เห็นว่าใส่สีอ่อนเรียบๆ ไปทั้งตัว ทำให้เกิดความรู้สึกว่างดงามหมดจดที่บรรยายออกมาไม่ถูก ต่างคนต่างมองกันจนเหม่อ เว่ยฉางอิ๋งกล่าวทักทายลูกผู้น้อง “เดิมทีพวกเจ้าก็หน้าตาคล้ายกันมาก วันนี้แต่งกายนเช่นนี้ยิ่งคล้ายกันเข้าไปใหญ่ หากมิใช่เพราะฉางเยียนยังไม่โต มิเช่นนั้นแล้วยืนอยู่ที่นี่ก็เหมือนกับตรงกลางมีกระจกวางอยู่อย่างนั้น”
ด้วยบิดาของเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนเป็นบุตรของอนุ ทั้งแม่ใหญ่ก็มาจากตระกูลใหญ่ แม้แต่เล็กมาจะไม่เคยต้องขัดสนใดๆ แต่ก็ไม่เคยได้รับความรักใคร่เช่นอัญมณีล้ำค่าไม่ว่าจากท่านย่าหรือแม่ใหญ่… ถึงอย่างไรฐานะของตระกูลเผยก็ต่ำต้อย และนางเผยเองก็มิได้แข็งแกร่งเช่นฮูหยินซ่ง หากคอยแต่เอาใจบุตรธิดาจนเหลิง ก็จักถูกคนเยาะเอาได้ว่านางเป็นคนตื้นเขินไม่รู้จักสั่งสอนลูก
ดังนั้นพี่สาวน้องสาวบ้านสามคู่นี้จึงรักใคร่กลมเกลียมกันมาก แต่ไรมาล้วนระมัดระวังกริยาวาจาเป็นอย่างยิ่ง ดังว่าคอยรักษามาตรฐานว่าหากไม่เดินสักก้าวก็จะไม่เอ่ยสักประโยคอยู่ตลอดเวลา
แน่นอนว่า เมื่ออายุไล่เลี่ยกัน หากจะพูดหยอกล้อเล่นกันระหว่างพี่น้องสักสองสามประโยค พวกนางก็ย่อมทำได้
ทว่าครานี้เมื่อเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนเห็นเว่ยฉางอิ๋งกลับดูแปลกไปจากเดิม เว่ยเกาฉานค่อยๆ อ้าปาก ผ่านไปหลายอึดใจจึงเพิ่งจะถามออกมาได้ “พี่หญิงใหญ่ นี่ท่าน…ก็จักไปจวนจิ้งผิงกงด้วยหรือเจ้าคะ?”
“ใช่แล้ว” พวกผู้ใหญ่ทั้งเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งต่างจงใจปิดบัง เว่ยฉางอิ๋งจึงยังไม่รู้ว่าทั้งเมืองหลวงและเฟิ่งโจวต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ชื่อเสียงของนางไปต่างๆ นานามานานแล้ว บอกนางแต่เพียงว่าเว่ยเกาฉานก็สัมผัสได้ว่าก่อนนี้ที่พวกนางพี่น้องสามคนถูกซุ่มโจมตีอยู่บนถนนหลวงนั้นต้องมีความเกี่ยวข้องกับจวนจิ้งผิงกงอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นจึงได้สงสัยว่าเมื่อตนเองถูกลุงซึ่งเป็นญาติในอีกสายหนึ่งทำร้าย แต่กลับจะไปร่วมพิธีไว้อาลัยด้วยใจสงบสุข จึงได้ยกมุมปากโค้งขึ้น แล้วกล่าวอย่างมีความนัยว่า “เป็นเพราะครานี้ท่านลุงถูกพวกหรงทำร้าย ข้าก็ควรจะต้องไปแสดงความเสียใจ… โดยเฉพาะต้องไปคอยพูดคุยเป็นเพื่อนท่านป้าสักหน่อย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนต่างพากันนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วเว่ยฉางเยียนจึงค่อยเอ่ยเสียงเบาว่า “กะ…ก่อนหน้านี้ ท่านพี่สามเพิ่งจะประสบเรื่องสะเทือนขวัญ ความจริงแล้วหากวันนี้ไม่ไป ข้าคิดว่าท่านป้าก็คงจักเข้าใจ”
เว่ยฉางอิ๋งกลับเข้าใจน้องสาวทั้งสองผิดไปว่าเห็นใจที่ตนถูกเว่ยเจิ้งหย่าวางแผนทำร้าย วันนี้กลับยังต้องไปร่วมพิธีไว้อาลัยเขา จึงได้กล่าวเตือนตนว่าไม่ต้องไป นางจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ดีชั่วอย่างไร ก็เดินทางแค่ไม่กี่ก้าว อย่างไรเสียข้าก็เป็นลูกหลาน ในเมื่อสามารถไปได้ งานใหญ่เช่นนี้หากไม่ไปก็ไม่ดี”
เมื่อเห็นนางยืนกรานว่าจะไป เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนจึงสบตากันหนหนึ่ง ในดวงตามีประกายความไม่ยอมใจ เพียงแต่เกรงกริ่งว่าแม่เฒ่าซ่งรักใคร่เอาใจเว่ยฉางอิ๋งมาแต่ไร จึงไม่กล้าบังคับไม่ให้นางออกจากเรือนแล้ว
พวกนางตามหลังเว่ยฉางอิ๋งมาด้วยสีหน้าผะอืดผะอม… ความผะอืดผะอมนี้เมื่อมาถึงข้างรถม้าก็ยิ่งเป็นหนักขึ้น… รถม้าที่บ่าวเตรียมไว้ให้พวกนางนั้นกว้างขวางมาก เพียงพอให้พี่น้องทั้งสามพร้อมด้วยสาวใช้นั่ง รถม้านี้เดิมทีเอาไว้ให้นายผู้หญิงออกเดินทางไปด้วยกัน เพื่อมิให้เมื่อนั่งกันหนึ่งคนต่อหนึ่งคันแล้วรถจะคับแคบทั้งยังน่าเบื่อ สองสามคนนั่งด้วยกันจักได้พูดคุยกัน
โดยปกติแล้วเมื่อคุณหนูบ้านตระกูลเว่ยออกเดินทางพร้อมกันก็จะนั่งรถคันนี้ ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงมิได้คิดมาก นางเป็นคนโตที่สุดในพี่น้องสามคนนี้ จึงประคองมือของนางเฮ่อขึ้นรถไป ทั้งยังช่วยเปิดผ้าม่านรถออก เพื่อให้น้องๆ ขึ้นมาได้อย่างสะดวก
ทว่าเมื่อนางเข้ามาในรถแล้วก็เลือกเอาที่นั่งตรงกลางและนั่งลง กลับเห็นเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนยังคงยืนอยู่ข้างรถ หันหน้ามองกันด้วยสีหน้าแสนจะลำบากใจ
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างสงสัยว่า “เหตุใดไม่ขึ้นมาเล่า?”
“พี่สาม…” เว่ยเกาฉานขบริมฝีปาก นิ่งคิดอยู่สักพักจึงได้กล่าวออกมาอย่างยากเย็นว่า “ขะ…ข้ากับฉางเยียนยะ…อยากจะพูดคุยกันตามลำพัง”
แม้เว่ยฉางอิ๋งและลูกผู้น้องทั้งสองคนนี้จะเติบโตมาด้วยกันแต่เล็ก แต่ความสัมพันธ์รู้ใจกลับมีอย่างบางเบา ไม่ใกล้ชิดเหมือนกับซ่งไจ้สุ่ยที่ได้อยู่ด้วยกันไม่กี่เดือน ยามนี้น้องสาวทั้งสองบอกออกมาชัดแจ้งว่าไม่อยากให้นางได้ยินการสนทนาส่วนตัวของพวกนาง เว่ยฉางอิ๋งก็มิได้รู้สึกไม่สบายใจใดๆ เพียงแต่กล่าวเตือนไปว่า “มิใช่จะไปร่วมไว้อาลัยท่านลุงหรอกหรือ? แล้วยามนี้จะมาคุยสิ่งใดกัน? ท่านแม่และท่านอาสะใภ้สามต่างก็ไปอยู่ที่นั่นแล้ว พวกของฉางเฟิงก็รออยู่ที่ประตูหลัง หากพวกเรายังชักช้า จนคนมากันมากแล้วจึงไปถึงก็จักเป็นการเสียมารยาท” แล้วกล่าวเตือนไปว่า “รอจนพิธีไว้อาลัยเสร็จแล้วค่อยคุยกันเถิด”
คำกล่าวนี้สมเหตุสมผล เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนพลันหาเหตุผลเหมาะสมอื่นไม่ได้ เพียงแค่พวกนางไม่อยากจะขึ้นรถคันเดียวกับเว่ยฉางอิ๋งจริงๆ จึงบอกไปอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “คือว่า…พวกเรา…พวกเราจะนั่งรถอีกคนหนึ่งและสนทนากับไประหว่างทางเจ้าค่ะ”
“มีเรื่องอันใดต้องเร่งร้อนพูดถึงเพียงนี้?” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างสงสัย “ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้จะเตรียมรถได้ทันหรือ?”
________________________