ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 66 ความเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง
เยี่ยนเกอไปครานี้ ยามกลับมานางกลับพาฮูหยินซ่งที่ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำมาด้วย เมื่อเห็นสีหน้าอดโรยเป็นที่สุดของมารดา สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งก็เปลี่ยนไปทันที พลันต่อว่าเยี่ยนเกอว่า “ข้าแค่บอกให้เจ้าไปบอกกับแม่นมซือสักคำ เหตุใดเจ้ายังกล้าทำให้ท่านแม่ตกใจ?”
ฮูหยินซ่งฝืนยิ้ม สะบัดมือแล้วกล่าวว่า “อย่าไปโทษเยี่ยนเกอ เมื่อครู่นี้ข้าบอกว่าจะกลับไปนอนสักพัก แต่ที่ไหนเล่าจักนอนหลับลง? ก่อนเยี่ยนเกอจะมาท่านย่าของเจ้าก็ได้ให้คนมาบอกเรื่องที่เจ้ากลับมาแล้ว… แต่คิดว่าพอเจ้าอาบน้ำแล้วก็เกรงว่าจะพักผ่อน จึงไม่ได้มารบกวนเจ้า ครานี้เยี่ยนเกอมา พอถามได้ความว่าเจ้าตื่นแล้ว จะให้ข้าไม่มาดูได้อย่างไร?”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาเช่นกัน สะอื้นพลางว่า “ข้าไม่เป็นไร ท่านแม่โปรดวางใจเถิด”
ฮูหยินซ่งรู้จากทางแม่เฒ่าซ่งแล้วว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับมาอย่างปลอดภัย แต้มพรหมจรรย์บนแขนก็ยังอยู่ บวกกับการปลอมตัวของเว่ยฉางเฟิงก่อนหน้านี้ เรื่องคราวนี้มีแปดส่วนที่น่าจะปิดบังเอาไว้ได้ ยามนี้จึงไม่ควรสะกดอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ บุตรสาวที่น่ารักใคร่เป็นที่สุดหลังจากนอนพักผ่อนแล้วกลับมีสีหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา กระซิบเบาๆ ว่า “สวรรค์คุ้มครอง! ที่สุดลูกข้าก็กลับมาแล้ว!”
ทว่านางก็มีแรงข่มใจได้เพียงประโยคเดียว…เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด ฮูหยินซ่งที่เป็นคนเคร่งขรึมมาโดยตลอดก็พลันลุกขึ้น โผตัวมานั่งบนตั่งไม้แล้วกอดเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้แน่น!
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง รู้สึกได้ว่าฮูหยินซ่งแทบจะเอาแรงทั้งหมดที่มามากอดตนเอาไว้ ท่ามกลางความตื้นตันนั้น เล็บของนางก็เกือบจะจิกลงไปในเนื้อของเว่ยฉางอิ๋งแล้ว ภายในใจมีความปวดร้าวที่ไม่รู้ที่มา จึงหันมือกลับไปกอดตอบฮูหยินซ่ง คนที่อยู่ภายในห้องล้วนเข้าใจดี จึงพากันเงียบไม่ส่งเสียงใด ปล่อยให้แม่ลูกกอดกันไปเนิ่นนาน ยามฮูหยินซ่งคลายมือนั้นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตา จนทำให้เสื้อทับด้านในที่เว่ยฉางอิ๋งสวมอยู่เปียกไปรอยใหญ่ นางพลางเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตา พลางจ้องมองดูบุตรสาวอยู่เนิ่นนาน คิดจะเอ่ยคำแต่กลับถูกเสียงสะอื้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ…
ยามนี้เองแม่นมซือจึงได้กล่าวเตือนว่า “ยามนี้คุณหนูใหญ่และคุณชายห้าล้วนกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เห็นทีเพราะสวรรค์คุ้มครองคนดี ฮูหยินควรขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง ยามนี้สติของคุณหนูฟื้นคืนแล้ว หากร้องไห้ไปกับฮูหยิน เกรงว่าจะยิ่งทำให้สภาพจิตใจย่ำแย่ไปอีก”
เมื่อเห็นว่าคำพูดนี้หาได้เตือนสติฮูหยินซ่งจากความปวดร้าวได้ไม่ จึงได้กล่าวเตือนไปอีกว่า “วันนี้นางเสี่ยวหลิวยังได้พานางซูมาด้วย น่าสงสารคุณหนูใหญ่ต้องถูกปลุกขึ้นมาขณะนอนพักเพื่อต้อนรับพวกนาง…”
ปรากฏว่าเมื่อฮูหยินซ่งได้ยินคำจึงได้เช็ดน้ำตาบนใบหน้าไปสองสามหน แล้วกล่าวด้วยแววตาเคียดแค้นว่า “เว่ยเจิ้งหย่าและนางเสี่ยวหลิว… ไม่ว่าท่านพ่อท่านแม่จะทำอย่างไร ชาตินี้หากจวนจิ้งผิงกงไม่ตายข้าจะไม่ยอมรามือ!!”
“ท่านแม่” เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่ายามนี้ฮูหยินซ่งร่างกายไม่สู้ดี ไม่ต้องการให้นางว้าวุ่นใจอีก ยิ่งไปกว่านั้นการลอบโจมตีหนนี้ แม้จะรู้ว่าจวนจิ้งผิงกงเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิด ทว่าเรื่องเช่นนี้จักต้องมีการเตรียมการเอาไว้นานแล้ว อีกทั้ง ‘ปี้อู๋’ ก็อยู่ในมือของเว่ยเจิ้งหย่า มีหรือจะจับได้ไล่ทันได้ง่ายดายปานนั้น? เมื่อยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ด้วยฐานะที่จิ้งผิงกงเป็นทั้งสายเลือดโดยตรงทั้งเป็นบุตรคนโต แม้เว่ยฮ่วนจะเป็นประมุข ในทางแจ้งนั้นเมื่อไม่มีพยานหลักฐานใดก็ไร้หนทาง
ต้องรู้ว่าเว่ยฮ่วนครองตำแหน่งประมุขของตระกูลมานานปี เป็นคนปราดเปรื่อง ฝีมือในการปกครองเมืองลึกล้ำ บุตรชายผู้สืบสกุลในสายของเขาก็นับว่าใช้ได้ โดยเฉพาะบุตรคนรองและหลานชายบ้านใหญ่ต่างก็เป็นผู้มีความสามารถ…ในสถานการณ์เช่นนี้ เว่ยเจิ้งหย่ายังกล้าว่างแผนชิงตำแหน่งประมุข ทั้งยังเก็บ ‘ปี้อู๋’ ไว้ในมืออย่างเหนี่ยวแน่น และยังได้ชายาเป็นนักเขียนเรืองนามในเขตทะเล มีหรือจะมีคนรุ่นหลังที่มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสีย?
บางทีเขาอาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาโดยตลอด ทั้งยังไม่อาจขุดรากถอนโคนและตอบโต้ได้ง่ายดายปานนั้น!
เรื่องหนนี้แม้ว่าเว่ยฮ่วนยังอยู่ที่จวนจิ้งผิงกง ยังไม่ได้ยินคำที่หลานสาวบอกกล่าวต่อแม่เฒ่าซ่งก่อนหน้านี้ ทว่าต่อให้เว่ยฮ่วนได้รู้เรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดก่อนจะไปจวนจิ้งผิงกงแล้วก็ตาม ก็ไม่อาจจะพูดออกไปตรงๆ ได้ เขาทำได้เพียงอาศัยขออ้างว่าขอกำลังของ ‘ปี้อู๋’ ไปช่วยเหลือหลานชายผู้สืบสกุลคนสำคัญของตระกูลที่กำลังได้รับเคราะห์ ขอให้เว่ยเจิ้งหย่าจัดการ ‘ปี้อู๋’ ให้ดี ใช้เหตุผลนี้มาเพื่อฉกชิงอำนาจการดูแล ‘ปี้อู๋’ ลดความแข็งแกร่งของเว่ยเจิ้งหย่า หากลงมืออย่างชัดแจ้ง ก็เกรงแต่ว่าคนในใต้หล้าจะพากันโจษจันว่าเว่ยฮ่วนละโมบโลภมาก ตนมีตำแหน่งประมุข ตำแหน่งเสาหลักของแคว้น อีกทั้งเป็นฉางซานกง ยังต้องการครองบรรดาศักดิ์จิ้งผิงกงที่สืบทอดกันมาไม่เคยเปลี่ยนในสายของพี่ชายในบ้านใหญ่อีก… ซึ่งบรรดาศักดิ์นี้อย่างไรก็จะต้องมอบให้แก่เว่ยเจิ้งหย่า และถือเป็นการให้โอกาสจือเปิ่นถังด้วย
เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก กล่าวด้วยหน้าตาจริงจังว่า “ท่านแม่ไยต้องโกรธเกรี้ยว? อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องครานี้ เพราะคนทั้งบ้านเราล้วนต้องจำได้อยู่แล้ว! ยังมีเวลาอีกถมเถ ทางนั้นมีฐานะเป็นทั้งญาติในสายเลือดของพวกเรา ทั้งเป็นบุตรชายสายเลือดตรงคนโต หากไม่แน่ใจ ก็อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่น รอจนมีโอกาส มีหรือที่พวกเราจะลืมเรื่องนี้ไปเสีย? ยิ่งไปกว่านั้น ครานี้พวกเขาก็ลงทุนลงแรงไปมาก แต่กลับสังหารบ่าวไพร่ของเราไปได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น หาได้ผลประโยชน์ใดเลยไม่! ข้าและฉางเฟิงกลับมาอย่างปลอดภัย ได้ยินว่าเกาชวนได้รับบาดเจ็บ แต่ก็มีชีวิตรอดกลับมาได้… อย่าได้มองแต่ว่านางเสี่ยวหลิวและนางซู ‘มาเยี่ยม’ ข้าทุกวัน ไม่แน่หรอกว่ายามที่พวกนางอยู่ในจวนจิ้งผิงกง อาจจะโกรธเสียจนต้องไล่บ่าวไพร่ออกมาแล้วตนเองก็ได้แต่เต้นเร่าๆ อยู่ทุกวี่วันก็มิรู้ได้!”
ฮูหยินซ่งได้ยินบุตรสาวกล่าวจนต้องหัวเราะออกเสียงออกมา ความโกรธแค้นที่เคยมีอยู่เต็มลำคอก็จางหายตามไปด้วย แล้วกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ดี ดี ดี! เจ้าว่าอย่างไรแม่ก็จะว่าตามเจ้า…” แล้วเอือมมือไปประกบที่ข้างแก้มของนาง ทั้งรู้สึกหวาดกลัวและตื้นตัน “โชคดีที่เจ้าไม่เป็นไร! มิเช่นนั้น ข้าจักไปบอกกับท่านพ่อของพวกเจ้าว่าอย่างไร?”
…เว่ยฉางอิ๋งกลับมาอย่างปลอดภัยครบสมบูรณ์ ทำให้ภูเขาที่อยู่ในใจของทุกคนในรุ่ยอวี่ถังถูกยกออกไป
แม้แต่ฮูหยินซ่งเองก็ยังคิดว่า หลังจากปลอบขวัญเด็กรุ่นหลานทั้งสามคนแล้ว ต่อไป… ก็จักต้องช่วยเว่ยฮ่วนวางแผนเรื่อง ‘ปี้อู๋’ และวางแผนเอาคืนพวกตระกูลหลิว จือเปิ่นถัง และฮองเฮากู้แล้ว
เมื่อเป็นตระกูลสูงศักดิ์ หาได้ไม่คุ้นเคยกับเรื่องวางกลอุบาย เมื่อหลานชายและหลานสาวบ้านใหญ่ต่างก็ปลอดภัย เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งก็มีความอดทนเพียงพอเพื่อรอวันไปล้างแค้น
ทุกสิ่งดำเนินไปดังนี้กว่าครึ่งเดือน ทุกคนในรุ่ยอวี่ถังต่างก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม ในเมืองเฟิ่งโจวก็สุขสงบ มิได้มีข่าวลืออันใดแพร่ออกไปเลยแม้แต่น้อย
แต่ในขณะที่ทุกคนเกือบจะลืมเรื่องลอบทำร้ายนี้ไปสักพักอยู่นั่นเอง ดินเหนียวก้อนใหญ่ก็ถูกเข็นเข้ามาที่เรือนหลังด้วยความระมัดระวัง ให้แม่เฒ่าซ่งจดจ้องอยู่หนึ่งเค่อเต็มๆ นางจึงได้ถามไปด้วยใบหน้าเขียวคล้ำว่า “นี่มัน…นี่มันหมายความว่าอย่างไร?!”
ผู้ที่ส่งก้อนดินเหนียวนี้มาก็คือสองสามีภรรยา เว่ยเจิ้งหย่าและนางเสี่ยวหลิว
เว่ยเจิ้งหย่าอายุใกล้ปีที่ห้าสิบ สมกับที่เป็นนักเขียนเรืองนามในเขตทะเล มีความสง่างามเหนือธรรมดายิ่งนัก ใบหน้าของเขาถึงกับคล้ายเว่ยเจิ้งหงเป็นอย่างมาก ท่าทีองอาจงดงาม ทั่วกายอบอวลด้วยกลิ่นอายของผู้ร่ำเรียนหนังสือ เมื่อได้ยินคำก็กล่าวไปอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “เรียนท่านอาสะใภ้รองเรื่องเป็นเช่นนี้… หลายวันก่อนนี้พวกเด็กๆ ฉางอิ๋งถูกลอบทำร้ายที่นอกเมืองเฟิ่งโจว เป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนตกใจเสียจริงๆ! เคราะห์ดีที่บ่าวไพร่ภักดี ยอมตายถวายชีวิต จึงได้ปกป้องเอาพวกเขากลับมาได้อย่างปลอดภัย”
แม่เฒ่าซ่งเอ่ยอย่างไร้ความอดทนว่า “เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว เด็กทั้งสามคนต่างก็ตกใจกันไม่เบา คำพูดนี้ ยามนี้อย่าเอ่ยถึงดีกว่า… เจ้าเอาก้อนดินเหนียวนี้มาทำสิ่งใด?”
“หลานคิดว่าเหตุที่หลานชายและหลานสาวทั้งสามกลับมาได้อย่างปลอดภัย นอกจากเพราะสวรรค์คุ้มครองแล้ว ก็เพราะมีบ่าวที่ภักดี ดังนั้นจึงเห็นสมควรยิ่งให้มีการบันทึกความจงรักภักดีของบ่าวไพร่สองสามคนนี้เอาไว้สักครา หากมิใช่แผ่นป้ายตั้ง ก็น่าจักมีบันทึกเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเป็นการสดุดีแก่พวกเขา สำหรับพวกเราแล้วก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่กลับเป็นการประกาศเกียรติคุณแก่ข้าผู้ภักดีไปแสนนาน!” เว่ยเจิ้งหย่ากล่าวออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ โดยหาได้รับผลกระทบจากแม่เฒ่าซ่งที่ขมวดคิ้วแน่นขึ้นทุกทีเลยแม้แต่น้อย “เรื่องเล็กน้อยนี้ หลานคิดว่าไม่ต้องให้ท่านอารองและท่านอาสะใภ้รองต้องยุ่งยากเกินไป เมื่อเตรียมการไว้เสร็จสรรพแล้ว จึงค่อยมารายงาน แล้ว…”
เขาชี้ไปยังก้อนดินเหนียวตรงหน้า… ก้อนดินเหนียวนี้ยาวราวหกฉื่อ[1] กว้างราวสี่ฉื่อ ในก้อนดินเหนียวยังมีสิ่งของพวกรากไม้ใบหญ้าจำนวนมากติดมาด้วย เศษไม้เศษหญ้าเหล่านั้นล้วนยังไม่ทันแห้งเหี่ยว แต่ที่แห้งไปแล้วกลับคือรอยเท้า
รอยเท้าอย่างน้อยสามสี่คู่ทั้งเล็กใหญ่ รอยเท้าคู่หนึ่งเรียวเล็กงดงามกว่ารอยอื่นๆ เป็นอย่างมาก และชัดเจนยิ่งนักในสายตาของแม่เฒ่าซ่ง… และนี่เองคือสาเหตุที่เมื่อแม่เฒ่าซ่งได้เห็นแล้วจึงมีสีหน้าเขียวคล้ำ
เพียงแต่แม่เฒ่าซ่งไม่มีทางยอมรับเป็นเด็ดขาด จึงกล่าวไปอย่างราบเรียบว่า “แล้วสิ่งใด?”
“หลานตั้งใจว่าจะเขียนบทความหนึ่งบท เพื่อชื่นชมบ่าวไพร่ที่ปกป้องหลานชายและหลานสาวทั้งสามกลับมา กอปรกับระยะนี้หลานมีเวลาว่างค่อนข้างมาก จึงพาคนเข้าไปในป่าหนหนึ่ง เพื่อไปดูว่าหลานๆ ได้ไปพบเจอสิ่งใดในป่าบ้าง และเพื่อให้ได้ขัดเกลาคำใหม่ๆ และประโยคใหม่ๆ มาเขียนด้วย” ด้วยความเป็นนักเขียนเรืองนามเช่นเว่ยเจิ้งหย่านี้ การสรรหาและขัดเกลาคำใหม่ๆ ขึ้นมาถือเป็นเรื่องใหญ่ ว่ากันจริงๆ แล้ว การขึ้นเขาลงห้วยไปเพื่อสรรหาแรงบันดาลใจในชั่วเวลานั้นๆ ให้ได้คำสักประโยคหรือสักตัวอักษรก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด… การที่เขาอธิบายออกมาเช่นนี้และนำมาพูดในเวลานี้ถือว่าสมเหตุสมผล “แล้วเมื่อเดินตามรอยเท้าไป ก็หาที่ที่หลานสาวฉางอิ๋งและหลายชายฉางเฟิงแยกกันในป่า แต่กลับพบว่า… ผู้ที่เจียงเจิงคุ้มครองกลับมานั้น คล้ายไม่ใช่หลานสาวฉางอิ๋ง?”
ฮูหยินซ่งกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “เรื่องนี้กลับฟังแล้วน่าขัน มิใช่ฉางอิ๋งแล้วจักเป็นผู้ใดได้? หรือจะเป็นฉางเฟิง? คนที่เหล่าผู้มีคุณธรรมในป่าเชื้อเชิญไปเป็นฉางเฟิง… ชายหญิงนั้นแตกต่างกัน หรือพวกเขาไม่มีตาดู!” เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงคนหนึ่งกลับมาก่อนอีกคนกลับมาทีหลัง หาได้กลับมาในเวลาเดียวกัน เรื่องนี้ย่อมต้องมีคำอธิบายต่อคนภายนอก
ความจริงเรื่องที่พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากกองโจรที่เว่ยซินหย่งซึ่งเป็นไส้ศึกในจือเปิ่นถังชุบเลี้ยงเอาไว้บนเขาเฟิ่งฉีนั้น แน่นอนว่าไม่อาจจะเปิดเผยได้ ดังนั้นคำอธิบายของรุ่ยอวี่ถังต่อภายนอกก็คือในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงถูกผู้ลอบทำร้ายล้อมอยู่นั้น มีชาวบ้านผู้หนึ่งเข้ามาเก็บยาในป่า เมื่อได้ยินเสียงเข้าจึงได้ช่วยพวกเขาเอาไว้
หลังจากนั้นเว่ยฉางเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งต้องการจะไปขอบคุณเหล่าผู้มีคุณธรรมในป่า ด้วยรู้สึกตื้นต้นในน้ำใจอันใหญ่หลวงของอีกฝ่าย ดั้งนั้นเว่ยฉางเฟิงจึงให้พี่สาวกลับมาที่บ้านก่อน ส่วนตนเองเดินทางไปพบผู้มีพระคุณเพื่อคารวะสักครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เสียเวลาไปสองวันจึงเพิ่งกลับมา
“ท่านอาสะใภ้รองไม่ทราบ” เว่ยเจิ้งหย่ายิ้มบางๆ ออกมาแล้วว่า “ที่ที่ขุดดินเหนียวนี้ออกมาอยู่ในป่าลึก มีกิ่งก้านใบไม้หนาแน่น อีกทั้งล้วนเป็นไม้ที่มีใบเขียวตลอดปี ยังไม่เอ่ยถึงว่านี่เป็นเหตุให้แสงมืดสลัวเป็นอย่างยิ่ง ได้ยินว่าวันนั้นยังมีฝนตกอีกด้วยนี่? ยามฉางเฟิงและฉางอิ๋งกลับมาก็ต่างสวมงอบ ดูไปแล้วก็หาใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการไปตามนัดหมายแทนกัน!”
“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความเช่นไร?” แม่เฒ่าซ่งมีท่าทีแตกหักในทันที พลางตบโต๊ะอย่างโมโหโกรธา “คนที่กลับมาก่อนก็คือฉางเฟิง! หลายวันนั้น ฮูหยินบุตรจิ้งผิงกง สะใภ้ใหญ่ และบุตรสาวเจ้าก็มิใช่ว่ามาเยี่ยมอยู่ทุกวันหรอกรึ? มีคราใดที่พบว่าเป็นฉางเฟิง เจ้าว่ามา!”
เว่ยเจิ้งหย่าเพียงยิ้มอ่อนๆ ให้กับความโกรธเกรี้ยวของแม่เฒ่าซ่ง แต่กลับเอ่ยอีกว่า “ท่านอาสะใภ้รองมิต้องโกรธเคือง หลานเพียงคิดว่า แม้รอยเท้าที่อยู่บนก้อนดินเหนียวนี้ดูละม้ายเป็นของหลานสาวฉางอิ๋ง แต่…ก็เป็นไปได้ว่าเมื่อฉางเฟิงและเหล่าผู้มีคุณธรรมที่ช่วยพวกเขาไว้ในป่าจากไปแล้ว ฉางอิ๋งอาจจะไม่นอนใจ จึงได้เดินตามไปสองสามก้าวในที่เดิม”
ประเดี๋ยวเขาก็พูดเรื่องนี้ ประเดี๋ยวก็พูดเรื่องนั้น เดาเจตนาได้ยาก… แม่เฒ่าซ่งขมวดคิ้ว แต่กลับไม่ต่อความเรื่องนี้ เพียงกล่าวว่า “ผู้ที่กลับมาก่อนนั้นเป็นฉางอิ๋ง ข้ายังมิได้แก่จนเลอะเลือน จนถึงขั้นแยกแยะหลานสาวและหลานชายไม่ออก จะว่าไปการที่เด็กสามคนนี้ถูกดักซุ่มโจมตีบนถนนหลวง แล้วจากนั้นก็ถูกบีบให้ต้องหนีเข้าไปในป่า พวกลอบทำร้ายก็ยังจับไม่ได้ เหตุใดเจ้ายังต้องเสี่ยงเข้าไปในป่าอีกเช่นนี้? หากเจอคนร้ายในที่นั้น เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมา แล้วจักให้ภรรยาและบุตรสาวของเจ้าทำเช่นไร? คนก็อายุจะห้าสิบแล้ว ยังทำการบ้าบิ่นเช่นนี้! การสรรหาคำใหม่นั้นสำคัญถึงเพียงใด จึงจำเป็นต้องเข้าไปในป่าเสียให้ได้?”
เว่ยเจิ้งหย่ารีบขอบคุณความห่วงใยของอาสะใภ้ แล้วกล่าวตอบว่า “อีกประการหนึ่ง จะว่าไปเหล่าผู้มีคุณธรรมช่วยฉางอิ๋งและฉางเฟิงเอาไว้ในป่า แม้เด็กทั้งสองคนจะตามไปเป็นแขกและขอบคุณพวกเขาด้วยกัน ก็มิเห็นเป็นไร อยู่ดีๆ หญิงสาวตัวคนเดียวอย่างฉางอิ๋งจะไปตามนัดแทนฉางเฟิงได้อย่างกันไรกัน? ดังนั้นที่วันนี้หลานเอาก้อนดินเหนียวนี้มา ย่อมมิได้ด้วยสงสัยหลานสาว หากแต่เป็นเพราะสาเหตุอื่น”
แม่เฒ่าซ่งจิบน้ำชาอึกหนึ่ง แล้วครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จึงได้กล่าวออกไปอย่างราบเรียบว่า “สาเหตุใด?”
“จะว่าไปนี่ก็เป็นเรื่องที่เพิ่งได้ยินมาจากคนทางบ้านแม่ของสะใภ้ใหญ่ของบ้านเราซึ่งนำของมาส่งเมื่อวานนี้” เว่ยเจิ้งหย่าและนางเสี่ยวหลิวสบตากันหนหนึ่ง นางเสี่ยวหลิวจึงได้ถอนหายใจ กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “ท่านอาสะใภ้รอง เรื่องเป็นเช่นนี้ เมื่อวานนี้คนจากบ้านซูมาส่งของให้สะใภ้ใหญ่ แล้วเอ่ยถึงเรื่องหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ในเมืองหลวง บอกว่ามีคนที่พูดสำเนียงเฟิ่งโจวไปขวาง…ขวางขบวนของท่านเสนาบดีฝ่ายปกครองเว่ยฉีในเมืองหลวง!”
“เพราะท่านเสนาบดีฝ่ายปกครองได้ยินว่าเป็นคนเฟิ่งโจว เห็นแก่ไมตรีจิตของท่านอารอง จึงได้ตั้งใจลงมาจากเกี้ยวเพื่อสอบถามสาเหตุ ผู้ใดจักรู้ว่าคนผู้นั้นกลับ… กลับร้องห่มร้องไห้ออกมากลางถนน บอกว่าเดิมทีเขาเป็นชาวบ้านตาดำๆ คนหนึ่งในเฟิ่งโจว เพียงเพราะเขาไปตัดไม้ในป่า แล้วบังเอิญไปพบว่า… ฉางอิ๋งถูกชายหลายคนลักพาตัวไป แล้วเขาจึงได้ถูกบ้านเราตามฆ่า!”
สีหน้าของนางเสี่ยวหลิวเต็มไปด้วยความกังวล “ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ ได้ยินว่าคนผู้นั้นยังวาดภาพของฉางอิ๋งออกมาด้วย… แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ? ยามนี้เรื่องกำลังเป็นที่โจษจันอย่างกว้างขวางในเมืองหลวง เกรงว่า… คนบ้านเสิ่นคงจะกำลังเดินทางมาแล้ว!”
“ดังนั้นพวกเราจึงได้รีบให้คนไปขุดเอาดินเหนียวที่บริเวณนั้นกลับมา เพื่อมิให้หากพวกคนบ้านเสิ่นรู้เข้า แล้วจะเกิดความแคลงใจที่ไม่ควรมี” นางเสี่ยวหลิวกล่าวด้วยท่าทีเอาใจว่า “ตอนนี้รอยเท้าที่สามารถพบเห็นได้ที่นั่นก็ถูกขุดออกไปหรือทำลายไปแล้ว ท่านอาสะใภ้รองโปรดวางใจ แม้คนบ้านเสิ่นจะไปดูที่เกิดเหตุ ก็จะไม่มีทางได้พบเห็นร่องรอยที่ไม่ควรจะพบเห็นแล้ว…”
เสียง ‘เพล็ง’ ดังขึ้น ถ้วยชาในมือฮูหยินซ่งถูกปัดจนคว่ำอยู่บนโต๊ะ…
_____________________________
[1] ฉื่อ เป็นหน่วยวัดความยามแบบจีน มีความยามประมาณ 14 นิ้ว