ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 42
ปรากฏว่าเว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่นอนเช่นกัน นางเอ่ยเสียงเบาไม่ร่าเริงเหมือนเช่นวันก่อน “ท่านพี่ เรื่องตอนกลางวันนั้นผ่านไปแล้ว”
“…” ซ่งไจ้สุ่ยนิ่งงันไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า “ขอโทษ”
“ก่อนหน้านี้ท่านพี่ก็ได้บอกกับฉางเฟิงไปแล้วว่า เราต่างก็เป็นญาติสนิทกัน” เว่ยฉางอิ๋งเอียงหัวมาแล้วกล่าวแผ่วเบาดังพ่นลมที่ข้างหูของซ่งไจ้สุ่ยว่า “ในเมื่อเป็นคนบ้านเดียวกัน แล้วไยต้องเกรงใจเช่นนี้เล่า?”
ซ่งไจ้สุ่ยทอดถอนใจว่า “ข้าไม่อยากทำให้พวกใจลำบากไปด้วย เพียงแต่…คนที่ท่านพ่อส่งมาจวนจักถึงเฟิ่งโจวแล้ว แล้วข้าก็กลัว…กลัวเหลือเกินว่าเมื่อคนผู้นั้นมาแล้วก็จะมิได้มีโอกาสเช่นนี้อีก…”
เว่ยฉางอิ๋งตื่นตระหนก ท่ามกลางห้องสลัวนั้น ดวงตาของนางกลับเปล่งประกาย น้ำเสียงมีความประหลาดใจอยู่เล็กน้อย “ท่านลุงส่งคนมารับท่านพี่แล้วรึ? เมื่อใด? ส่งผู้ใดมา?” ก่อนหน้านี้ยามนางนำความเรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยต้องการออกไปท่องเที่ยวไปบอกกล่าวกับมารดา ก็ระแคะระคายมาบ้างจากน้ำเสียงของฮูหยินซ่ง แต่เพราะฮูหยินซ่งไม่ยอมบอกอย่างละเอียด เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องใดกันแน่…ในเมื่อฮูหยินซ่งไม่ยอมบอกแม้กระทั่งบุตรสาว แล้วจักไปบอกกับหลานสาวได้อย่างไร?
“ข้าไม่รู้” ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มเจื่อนๆ หนหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “เขาเดาเอา”
“…”
ซ่งไจ้สุ่ยนิ่งไปพักหนึ่ง จึงได้เอ่ยเอื้อนอย่างยากลำบากว่า “หลายวันมานี้ข้าเอาแต่กังวลไม่อยากกลับเมืองหลวงจน…ท่านอาก็รู้เรื่องแล้ว ที่สำคัญที่สุด เสิ่นโจ้วก็จะมาถึงเฟิ่งโจวแล้ว ท่านอาไม่เพียงอนุญาตให้ขาออกมาเที่ยวเล่น ยังให้เจ้าและฉางเฟิงมาด้วยอีก นั่นเพราะตั้งแต่ที่ข้ามาถึงบ้านสกุลเว่ยก็ใกล้ชิดกับเจ้ามาก แต่ไม่สนิทกับพวกลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ของเจ้า และทั้งที่ท่านอาให้ความสำคัญกับเจ้าเช่นนั้น ในเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้กลับยินยอมให้เจ้ามากับข้า…ข้าคิดว่า นี่จะต้องเป็นเพราะท่านอารู้ว่าข้าจวนจักต้องกลับเมืองหลวงแล้ว รู้สึกเวทนาข้า จึงอนุญาตให้เป็นพิเศษ!”
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึงไปทั้งตัว!
…ก่อนหน้านี้ตอนที่ฮูหยินซ่งอนุญาตตามคำขอของซ่งไจ้สุ่ย นางก็ยังไต่ถามถึงเหตุผลด้วยความสงสัย แล้วฮูหยินซ่งมิได้กล่าวเช่นนี้หรอกหรือ?
เรื่องนี้แม้แต่ฮูหยินซ่งที่ปกครองดูแลบ้านมาหลายปีก็ยังนึกไม่ถึง หรืออาจเพราะฮูหยินซ่งได้รับผลกระทบจากเรื่องที่บุตรสาวอันเป็นที่รักจะต้องแต่งออกไปอยู่ไกลบ้าน อีกทั้งเรื่องที่นางไร้หนทางช่วยเหลือหลานสาวโชคร้ายที่ต้องแต่งงานตามสัญญาจนทำให้จิตใจสับสนว้าวุ่น จึงไม่เคยมองออกว่าแม้นางและแม่เฒ่าซ่งต่างตัดสินใจปิดบังซ่งไจ้สุ่ย เรื่องที่ซ่งไจ้เถียนจะเดินทางมาพร้อมกับราชทูต แต่การที่นางยินยอมให้หลานสาวออกไปท่องเที่ยวนี้ กลับทำให้ความจริงทุกอย่างเปิดเผยออกมาเสียแล้ว!
…ตอนแรกที่จู่ๆ ซ่งไจ้สุ่ยก็บอกว่าอยากจะออกไปเที่ยวนั้น เกรงว่าวัตถุประสงค์แท้จริงก็เพื่อทดสอบเรื่องนี้นั่นเอง!
มิน่าเล่า วันนี้เมื่อซ่งไจ้สุ่ยเห็นป้ายสลักหินที่เชิงเขา จึงได้ยืนกรานจะขึ้นไปบนเขาและจะต้องไปถึงยอดเขาให้จงได้…นางมีหรือจะสนอกสนใจที่พำนักของเว่ยปั๋วอวี้ มีหรือจะสนใจเขาไผ่น้อยนี่ ตั้งแต่ต้นจนจบ ซ่งไจ้สุ่ยกำลังหาที่ที่เหมาะสมและสามารถทำลายรูปโฉมของตนเองได้อย่างสมเหตุสมผลเท่านั้น…
เว่ยฉางอิ๋งกัดริมฝีปาก ครึ่งเค่อจึงได้กล่าวเสียงต่ำว่า “ดีเลวอย่างไรท่านปู่ก็เป็นหนึ่งในหกประมุขตระกูลใหญ่ของต้าเว่ย หากท่านบังเอิญได้รับบาดเจ็บจนเสียโฉม คาดว่าราชสำนักคงไม่ได้ถือโทษใดๆ แต่…ท่านพี่เคยถึงตนเองบ้างหรือไม่? รูปโฉมเป็นเรื่องชีวิตทั้งชีวิตของลูกผู้หญิง ต้องใช้มันแลกมา นับว่ามากเกินไปจริงๆ เพื่อราชสำนัก ไม่คุ้มค่าเสียเลย”
“นี่หาใช่เรื่องคุ้มหรือไม่คุ้มค่า…” ซ่งไจ้สุ่ยสูดหายใจลึก เพราะนี่เป็นยามค่ำคืน ไฟตะเกียงอยู่นอกม่านคลุมเตียง ทั้งยังคลุมด้วยมุ้งหนาอีกชั้น แม้ภายในม่านจะใกล้กันเพียงแค่ระยะนอนหมอนเดียวกัน แต่ก็ยังไม่อาจมองเห็นใบหน้าชัดเจน ดังนั้นนางจึงวางใจปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมา หากแต่น้ำเสียงยังคงราบเรียบเช่นเดิม “นอกจากทำเช่นนี้แล้ว เจ้าว่ายังมีวิธีใดจะทำลายสัญญาแต่งงานกับราชสำนัก และทำให้ทุกคนลำบากน้อยที่สุดได้อีก?”
“รูปโฉมเป็นเรื่องทั้งชีวิตของลูกผู้หญิง แต่หากรูปโฉมนี้ยังดีอยู่ อย่างดีที่สุด ชั่วชีวิตข้าก็คงทำได้แต่เพียงต้องไปชิงไหวชิงพริบกับบรรดาหญิงสาวภายในวังหลวงเท่านั้น” ซ่งไจ้สุ่ยหัวเราะเสียงต่ำ “หากองค์รัชทายาททรงปรีชาสามารถสายพระเนตรกว้างไกล เข้าก็จะยอมรับ! แต่…ว่าที่พระชาองค์รัชทายาทเช่นข้ายังไม่ทันจะได้เข้าประตูวัง เขาก็มีหญิงงามมากมายอยู่ก่อนหน้า ลูกชายหญิงก็มีตั้งหลายคนแล้ว แม้แต่หน้าตาของพระชายาเอกก็หาได้เหลือไว้ให้ข้าไม่ เจ้าว่าคนเช่นนี้ แม้วันหน้าได้ครองบัลลังก์ แล้วตระกูลซ่งจะได้ประโยชน์อันใด? แล้วข้าจะได้ประโยชน์อันใด? มิสู้ทำลายโฉมตนเอง ภายหน้าแต่งกับตระกูลข้าราชการยากไร้ ข้าว่าท่านพ่อข้าก็มีบุตรสาวเพียงคนเดียว แม้จะไม่ได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท ต่อให้ท่านพ่อจะโกรธเพียงใด ของกำนัลยามแต่งงานก็คงจะให้ข้าสักชิ้น อดออมสักหน่อย ทั้งชีวิตก็พอจะมีอาภรณ์ดีๆ อาหารดีๆ เท่านั้นก็พอจะอยู่ได้แล้ว… จะอย่างไรข้าก็ยังมีฐานะเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซ่งนี่!”
สิ่งที่นางคิดนี้ แม้จะได้ตัดสินใจเอาไว้นานแล้ว แต่นี่กลับเป็นคราแรกที่นางเปิดเผยออกมา แม้แต่หญิงรับใช้ข้างกายก็ยังไม่เคยบอก ยามนี้เมื่อพูดจบแล้ว จึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง แล้วกล่าวอย่างเป็นทุกข์ว่า “ข้าไม่ได้คิดจะทำให้เจ้าลำบากไปด้วย และยิ่งไม่อยากจะให้น้องฉางเฟิงโกรธเคือง เพียงแต่ข้าคิดว่าท่านพ่อละเอียดรอบคอบนัก ในเมื่อรู้ว่าข้าต้องการปฏิเสธงานแต่ง จึงได้ส่งคนมารับข้า เกรงว่า….พวกนั้นมาถึงแล้ว ข้าอยากจะทำสิ่งใด ก็ไม่อาจจะทำได้ดังใจแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงได้แต่ทำเรื่องให้เป็นเช่นนี้ก่อน หาไม่แล้ว เมื่อถึงเวลาจักไม่มีทางให้เดินอีก”
เว่ยฉางอิ๋งถอนใจแล้วว่า “ข้าไม่ได้โทษท่านพี่ ฉางเฟิงก็ยังเยาว์ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่รู้เรื่องที่ท่านพี่ไม่อยากแต่งเข้าวัง จึงได้โกรธเคืองท่านพี่ เรื่องวันนี้จะว่าไปเขาก็รู้สึกสำนึกผิดอย่างมาก เกือบจะทำให้ท่านพี่ไม่ได้รับการรักษาเสียแล้ว…”
ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ที่เจ้าเป็นเช่นนี้ก็เพราะข้าเป็นคนทำ”
“ยามนี้จะมาพูดเรื่องใครทำไม่ทำ ไม่อภิรมย์เอาเสียเลย” เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดอยู่เกือบเค่อจึงกล่าวว่า “จากนี้ไปท่านพี่คิดการเช่นไร?”
ซ่งไจ้สุ่ยเหม่อลอย บอกว่า “แน่นอนว่าข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากอีก…”
“ไม่ใช่เรื่องนี้” เว่ยฉางอิ๋งรีบกล่าว “ข้ากำลังคิดว่า การสละรูปโฉมแลกกับการล้มเลิกสัญญาแต่งงานนั้นมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ดีเลวอย่างไรครานี้พวกเราก็หกล้มกันบาดเจ็บ บาดเจ็บครานี้…ก็ไม่ควรให้เจ็บไปเปล่าๆ”
“อ่า…” ซ่งไจ้สุ่ยกำลังขบคิดอย่างหนัก แต่กลับได้ยินเว่ยฉางอิ๋งกล่าวต่อไปว่า “แขนของท่านพี่เพียงแค่หลุดจากเบ้า และจัดเข้าที่แล้ว แล้วแขนก็จำเป็นต้องใช้อยู่เป็นประจำ แต่ว่า…หัวเข่าของท่านพี่ก็ถูกชนจนบาดเจ็บแล้ว…”
แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ดวงตาของซ่งไจ้สุ่ยกลับสว่างลุกโชนขึ้นมา!
เสียงของเว่ยฉางอิ๋งยิ่งต่ำลงไปอีก พลางฟุบลงข้างหูซ่งไจ้สุ่ย “เข่าเป็นข้อต่อกระดูก ท่านพี่เป็นหน้าเป็นตาของตระกูล ทั้งรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น หากต้องเดินเหินไม่ใคร่สะดวกนักเพราะการบาดเจ็บครานี้… พระชายาองค์รัชทายาทจะต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้อยู่เป็นนิจ ทั้งยังมีงานพิธีใหญ่ๆ…”
ซึ่งก็หมายถึงว่าในตระกูลธรรมดาทั่วๆ ไป ผู้ที่มีร่างกายหรือหน้าตามีความบกพร่องจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ที่มีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงราชสำนัก พระชายาองค์รัชทายาทไม่จำเป็นต้องมีใบหน้างามหมดจด ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถล้นเหลือ และไม่จำเป็นต้องมีราศีแม่ของแผ่นดิน…แต่จะต้องไม่มีทางเป็นคนขาเป๋!
“…เจ้าคือดาวนำโชคในชีวิตข้าจริงๆ!” ซ่งไจ้สุ่ยไม่สนว่าแขนขวาเพิ่งจะจัดเข้าที่ และยามนี้ยังคงระบมอยู่ กลับออกแรงยกมือขึ้นจับข้อมือลูกผู้น้องและค่อยๆ เอ่ยออกมาทีละคำ!
แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ได้ดีใจเช่นนาง “องค์ฮองเฮาและท่านลุงจะต้องส่งคนมาตรวจรักษาท่านพี่เป็นแน่ ขอเพียงท่านพี่ยังคงเดินเหินไม่สะดวกต่อหน้าผู้คน ฮ่องเฮาและท่านลุงก็ไม่มีทางรู้ว่าจริงหรือเท็จ นั่นเพราะท่านพี่มีชื่อเสียงดีมาโดยตลอด หาได้มีชื่อเสียเช่นข้า แต่ว่า…ทำเช่นนี้ก็มีข้อเสีย”
“ประการแรก การต้องแสร้งเดินเหินไม่สะดวกนานปี นานวันเข้า อาจจะกลับมาเดินเป็นปกติไม่ได้อีกจริงๆ!” สายตาเว่ยฉางอิ๋งกลับหนักอึ้งขึ้นมา “ประการต่อมา ท่านพี่โตกว่าข้าหนึ่งปี ปีนี้อายุได้สิบแปดแล้ว…หากยังไม่สามารถกำหนดวันที่จะเป็นพระชายาได้ ท่านพี่ก็จะต้องยังรักษาไม่หาย! แต่หากกำหนดวันแต่งตั้งพระชายาแล้ว ท่านพี่กลับหายขึ้นมาทันใด เช่นนี้ก็ไม่ควร! เพราะวัยที่ต้องออกเรือนเช่นนี้…”
“อย่างไรก็ดีกว่าได้คู่ครองเลวๆ!” ซ่งไจ้สุ่ยกลับหนักแน่นเสียยิ่งกว่านาง พลันกล่าวอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “เรื่องที่เจ้าว่าต้องแสร้งเดินเหินไม่สะดวกไปนานปี นี่กลับมีวิธีแก้ แต่ไรข้าก็ไม่ชอบออกจากบ้าน จึงสามารถอาศัยข้ออ้างที่หกล้มได้รับบาดเจ็บครานี้ได้ ไม่เห็นจะมีปัญหาใด! ซ่อนอยู่แต่ในจวนนานปี คอยดูแลคนรอบกายให้ดี แล้วผู้ใดเล่าจะรู้? ทั้งฮองเฮาและท่านพ่อหรือจะสามารถมายืนตรงหน้าคอยดูข้าได้ทุกวี่วัน? หรือต่อให้จำเป็นต้องออกไปข้างนอก ข้าก็สามารถบอกว่าไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นสภาพข้ายามเดิน แล้วอาศัยเกี้ยวเข้าออกก็สิ้นเรื่อง!”
ซ่งไจ้สุ่ยพ่นลมหายใจคราหนึ่ง กล่าวว่า “ก่อนนี้หากข้าทำให้ตัวเองเสียโฉม ก็มิใช่จักต้องยื้อเวลารอหลายปีกว่าจะได้ออกเรือนเช่นเดียวกันรึ? ทั้งยังต้องเตรียมการว่าเมื่อไร้ซึ่งรูปโฉมแล้ว ก็จะต้องอาศัยสมบัติติดตัวเป็นสิ่งจูงใจให้คนมาขอสู่ขอข้าอีกด้วย! เมื่อยังรักษารูปโฉมเอาไว้ได้ ข้าก็ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินแล้ว จักกล้าโลภกว่านี้ได้อย่างไร?!”
เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดอีกครา นานเกือบเค่อจึงกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น จะให้ดีวันพรุ่งก็ให้ท่านพี่บอกว่าเจ็บขา”
“ข้ารู้วิธีน่า!” ซ่งไจ้สุ่ยยากจะปิดบังความยินดีและตื่นเต้นในน้ำเสียงได้ เพียงแต่เมื่อกลับไปคิดอีกครา นางก็เป็นกังวลขึ้นมา “แต่หากทำเช่นนี้ก็กลัวว่าจะพลอยทำให้พวกเจ้าลำบาก? แล้วพวกผู้ใหญ่…”
เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้เรื่องในราชสำนัก รวมทั้งแต่ไรมาเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่ง ก็ไม่เคยเอ่ยต่อหน้านางว่าภัยคุกคามจากจือเปิ่นถังนั้นหนักหนาสาหัสเพียงใด จึงหลงคิดเสมอมาว่าเมื่อยังมีท่านปู่อยู่ ความสมบรูณ์พูนสุขของตระกูลเว่ยก็จะยังมีสืบไป จึงกล่าวไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “ท่านพี่ก็รู้ ท่านย่าและท่านแม่รักข้าจะตาย อย่างมากก็แค่พูดแรงสักหน่อย จะลงโทษพวกเราได้อย่างไรกัน? ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ตัวข้าก็บาดเจ็บ เกรงว่าแม้แต่คำพูดแรงๆ ท่านย่าก็ยังทำใจพูดไม่ได้เสียด้วยซ้ำ”
ในเมื่อนางพูดเช่นนี้ ซ่งไจ้สุ่ยก็วางใจลงได้ ทว่าครานี้ซ่งไจ้สุ่ยพูดถึงแผนการอย่างละเอียดยิ่งกว่าเก่าว่า “เช่นนั้น ข้าจะบอกไปก่อนว่าขาเจ็บ แสร้งทำล้มสักหนสองหนในตอนที่มีคนเห็น บอกว่าหัวเข่ามีอาการผิดปกติ… แล้วจากนั้น พอมีคนประคองขึ้นมาก็หาย ให้เห็นว่าอาการประเดี๋ยวหายประเดี๋ยวไม่หายไปเช่นนี้ และระหว่างทางที่กลับเมืองหลวง ‘อาการบาดเจ็บ’ ก็จะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น… ระหว่างนั้นก็อาจหาสาเหตุที่ให้อาการบาดเจ็บทรุดลงไปได้อีก?”
“ไม่รู้ว่าท่านลุงจะสงสัยขึ้นมาหรือไม่…”
“ต่อให้ข้าถูกหามกลับเมืองหลวง เกรงว่าท่านพ่อก็จักยังเคลือบแคลง!” ซ่งไจ้สุ่ยขมวดคิ้วแน่น พลางถอนหายใจเบาๆ
สองนางอาศัยช่วงเวลาค่ำคืนวางแผนกันจวบจนแสงตะวันส่อง เรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยจะหลบเลี่ยงการแต่งงานนั้นมีทั้งที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทั้งความยินดี ปรึกษากันถึงรายละเอียดต่างๆ ในหลายเรื่อง เพื่อจะได้ปิดบังพวกผู้ใหญ่ให้ได้มากที่สุด จนเสร็จความนั่นล่ะ จึงได้ต่างคนต่างหลับไปด้วยความพึงพอใจ
วันรุ่งขึ้น เนื่องจากฮูหยินซ่งได้เห็นอาการบาดเจ็บของทั้งบุตรสาวและหลานสาวกับตาแล้ว จึงไม่ได้มาด้วยตนเองอีก เพียงแต่ให้แม่นมซือพาหมอที่บ้านตระกูลเว่ยเรียกใช้เป็นประจำมาตรวจดูอาการ พร้อมทั้งนำผลไม้และของว่างมาส่งด้วย ทั้งยังกำชับให้เว่ยฉางเฟิงดูแลพี่สาวทั้งสองให้ดี รอจนอาการบาดเจ็บคงที่แล้วก็ให้รีบกลับรุ่ยอวี่ถัง
ข้ามไปหนึ่งคืน เอวของเว่ยฉางอิ๋งมีการบวมขึ้นมา ไม่ต้องเอ่ยว่าจะลุกขึ้น แม้จะขยับเขยื่อนยังยาก กลายเป็นซ่งไจ้สุ่ยเสียอีกที่ตั้งแต่เช้าตรูได้ยินว่าแม่นมซือมา จึงฝืนเดินออกไปรับ
เช่นนั้นเอง ซ่งไจ้สุ่ยในชุดนอนที่ใช้ใส่ทับอยู่ข้างใน จึงไปยืนอยู่ใต้ต้นไผ่ที่ริมรั้ว วินาทีก่อนยังยิ้มแย้มต้อนรับแม่นมซืออยู่ดีๆ เพียงแม่นมซือเอ่ยคำว่า ‘ไม่น่าเลย’ สามคำนี้สองหนเท่านั้น แล้วจู่ๆ ต่อหน้าทุกคน โดยไม่ได้มีวี่แววใด ซ่งไจ้สุ่ยพลันมีสีหน้าตื่นตกใจขึ้นมา… ขาซ้ายอ่อนแรงลง แล้วตัวทั้งตัวก็โอนเอนจะล้มลงมา!
โชคดีที่ซ่งไจ้สุ่ยได้กำชับฮว่าถังเอาไว้แล้ว ว่าให้พวกบ่าวชราสองสามคนคอยอยู่ใกล้ๆ ไม่ห่าง เมื่อเห็นท่าทีดังนั้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงจึงพากันเอื้อมมือออกไปรับไว้ทัน แล้วพวกนางและแม่นมซือซึ่งตกใจจนหน้าถอดสีจึงประคองซ่งไจ้สุ่ยกลับเข้ามาในห้องโถง ท่านหมอจี้ซึ่งดูแลอาการเจ็บป่วยให้เว่ยฮ่วนและคนในครอบครัวได้เห็นเหตุการณ์และยังได้สอบถามรายละเอียดอีกสักพัก… เพราะชีพจรของซ่งไจ้สุ่ยนั้นปกติดี และท่านหมอจี้ผู้นี้ก็นับว่าเป็นแพทย์มีชื่อในเฟิ่งโจว แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเลยว่าคุณหนูตระกูลใหญ่เช่นซ่งไจ้สุ่ยจะโกหก ไต่รตรองไปมา จึงได้วินิจฉัยว่าอาการวูบซึ่งเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนของซ่งไจ้สุ่ย เป็นเพราะที่หกล้มเมื่อวานและทำให้มีลิ้มเลือดอุดตันอยู่ภายใน
ชุนจิ่งรีบนำยาสลายลิ่มเลือดที่หมอที่เว่ยชิงเชิญมาเป็นผู้สั่งให้ก่อนหน้านี้มาให้
ยาสลายลิ่มเลือดธรรมดาๆ เช่นนี้ไม่ได้ดูยากเย็นอะไร ท่านหมอจี้และหมอที่มาเมื่อวานต่างก็รู้จักกัน ทั้งยังสนิทสนมกันพอสมควร เมื่อเห็นว่าตัวยาไม่ผิด จึงได้ส่งคืนให้แล้วว่า “ยานี้ไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไร” แล้วแนะนำให้ซ่งไจ้สุ่ยทานยาอีกสักสองสามวัน เมื่อเห็นว่ายาออกฤทธิ์แล้วก็ถือว่าใช้ได้”
แม้แม่นมซือจะเป็นห่วงว่าคุณหนูตระกูลซ่งที่เดิมทียังดีๆ อยู่ แล้วเหตุใดจู่ๆ แม้จะยืนยังยืนได้ไม่มั่นคง แต่เมื่อได้ยินการวินิจฉัยของท่านหมอจี้ว่าเป็นเพราะมีลิ่มเลือดออกก็รู้สึกโล่งใจ
ท่านหมอจี้เข้าไปข้างในอีกครั้ง ตรวจชีพจรให้เว่ยฉางอิ๋งผ่านกระโจมกั้น แล้วจึงสั่งยาบำรุงให้อีกชุดหนึ่ง… เมื่อเสร็จแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ช่วยได้อีก
แม่นมซือสั่งความตามที่ฮูหยินซ่งและแม่เฒ่าซ่งกำชับมาถึงคุณหนู และคุณชาย แล้วสั่งความกับพวกบ่าวไพร่อีกสองสามประโยค จึงรีบกลับไปรายงานที่รุ่ยอวี่ถังอย่างรวดเร็ว
รอจนนางไปแล้ว ลูกพี่ลูกน้องสองนางก็สั่งให้พวกบ่าวออกไป แล้วกระซิบกันเสียงเบาว่า “ท่านหมอจี้ผู้นี้น่าสนใจจริงๆ”
“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า ด้วยชื่อเสียงดีงามของท่านพี่ ผู้ใดจะระแคระคายได้ว่าท่านพี่พูดเรื่อยเปื่อย?” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะพลางกล่าวเสียงต่ำ “ที่เขาวินิจฉัยวันนี้กลายเป็นช่วยพวกเราได้มาก ท่านหมอจี้ผู้นี้เป็นหมอที่ท่านปู่เรียกใช้เป็นประจำ วิชาแพทย์ของเขาเป็นที่ยอมรับของคนในตระกูลมาก เมื่อเขาเริ่มให้เช่นนี้ ต่อไปก็ให้ท่านพี่เดินไม่มั่นคงเข้าไว้… ก็นับว่ามีหนทางออกแล้ว”
ซ่งไจ้สุ่ยถอนหายใจ “ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินที่วันนี้ทุกอย่างราบรื่น!”
“ล้มเพียงแค่หนเดียว ยังไม่ทันสำเร็จ…” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเตือน
“ข้ารู้ อีกประเดี๋ยวขาจะทำเป็นล้มต่อหน้าพวกสาวใช้อีกครา…” ซ่งไจ้สุ่ยกรอกตา แล้วบอกว่า “จะล้มให้เฉพาะแม่นมซือดูเท่านั้นได้อย่างไร”
วันนี้ซ่งไจ้สุ่ยเสียหลักล้มไปสามหน ทุกครั้งล้วนโชคดีมีคนรับไว้ทัน
เพราะได้รับการวินิจฉัยจากท่านหมอจี้ แม้ทุกคนจะรู้สึกห่วง แต่ก็ไม่ได้กังวลเกินไปนัก ต่างพากันคิดในแง่ดีว่าอีกวันสองวันก็จะหายเอง คนที่น่าเป็นห่วงจริงๆ ก็ยังคงเป็นเว่ยฉางอิ๋งที่จนยามนี้แล้วก็ยังลุกจากเตียงไม่ได้
_________________________________