ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 40-2
เมื่อสั่งงานให้คนทั้งกลุ่มแล้วก็เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน เว่ยฉางอิ๋งออกแรงกัดแขนเสื้อหนหนึ่ง ยังมิทันคิดได้ว่าต่อไปจะกดดันผู้ใดอีก ก็พลันได้ยินซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยเสียงเบาว่า “อย่างเพิ่งเรียกให้คนไปเอาผ้าร้อนมาประคบเลย เจ้ามองไม่เห็นอาการบาดเจ็บที่เอวของตน ข้าเห็นว่าล้มลงอย่างแรง มิรู้ว่าบาดเจ็บที่เนื้อหนัง หรือว่ากระดูก…” เอ่ยถึงตรงนี้นางก็นิ่งเงียบไปเกือบเค่อ แล้วเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบาลงไปกว่าเดิมว่า “อย่างไรก็ฝืนทนสักหน่อย รอให้ท่านหมอมาตรวจดูก่อนค่อยว่ากันเถิด”
เว่ยฉางอิ๋งคายแขนเสื้อออกจากปาก แล้วเอ่ยเสียงคร่ำครวญว่า “ข้าว่าคงไม่หนักถึงเพียงนั้นกระมัง? กระ…กระดูกข้าแข็งยิ่งนัก”
“รอให้ท่านหมอมาตรวจดูเถิด” ดูซ่งไจ้สุ่ยอารมณ์ยังไม่ดีนัก จึงเอ่ยออกไปอย่างราบเรียบ
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่า วันนี้ลูกผู้พี่คิดตัดช่องน้อยแต่พอตัว แม้จะถูกข้าขัดขวาง แต่ก็พลอยให้ข้าต้องได้รับบาดเจ็บ เกรงว่ายามนี้จะยังวางท่าลงมิได้ จึงมิได้ขัดนางเหมือนเช่นในยามปกติ แต่กลับตอบรับอย่างว่าง่ายว่า’ “ตกลง”
ในหนึ่งชั่วยามนั้น ลูกพี่ลูกน้องสองนางไม่เอ่ยคำใด ภายในห้องก็เงียบสงัดลง
…คุณหนูใหญ่เลือดเนื้อเชื้อไขโดยตรงของตระกูลเว่ยและว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทที่มาเป็นแขกของตระกูลเว่ยต่างพากันหกล้มบาดเจ็บอยู่บนเขาไผ่น้อย นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ เว่ยชิงขี่ม้ากลับจวน กลับไปไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยาม ก็ได้พาหมอสองท่านรีบขึ้นมาก่อน
เพียงแต่ว่าเมื่อหมอขึ้นมาบนเขาและมาอยู่ที่นอกกระท่อม เว่ยฉางเฟิงที่เฝ้ารออย่างร้อนรนอยู่ตั้งนานแล้ว ยังมิทันได้ยินดีก็กลับต้องปวดหัวอีกครา… ตำแหน่งที่เว่ยฉางอิ๋งได้รับบาดเจ็บนั้นไม่เหมาะให้คนนอกดู และหมอสองท่านนี้ต่างก็เป็นชายเสียด้วย!
บรรยากาศ พลิกไปพลิกมาเช่นนี้อยู่ครึ่งเค่อ จนเว่ยฉางอิ๋งทนไม่ไหว กัดผ้าเช็ดหน้าแล้วสั่งสาวใช้ใช้มือกดดูกระดูกตรงบั้นเอวดู เมื่อแน่ใจว่ากระดูกไม่เป็นอะไร…คุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยก็แน่ใจว่าเป็นเพียงอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อเท่านั้น เพียงต้องระบายเลือดคั่งออกเป็นพอ หมอสองคนที่มิรู้ว่าจะเข้าไปหรือถอยออกดีจึงได้โล่งใจ หลังจากที่ปาดเหงื่อจากความเครียดแล้ว จึงได้ออกใบสั่งยาระบายเลือดคั่งให้ ตามอาการที่นางอธิบายมา และกำชับกำชาว่าต้องระมัดระวังเรื่องใดบ้าง ในเมื่อแน่ใจว่าเป็นเพียงแค่รอยช้ำ เว่ยฉางอิ๋งซึ่งมีประสบการณ์ช่ำชองกลับหาได้สนใจคำของหมอไม่
ทว่า นี่กลับเป็นการตอบรับกับคำพูดที่นางเคยเอ่ยกับซ่งไจ้สุ่ยก่อนหน้านี้…แม้กระดูกจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ยามนี้กลับไม่อาจเคลื่อนไหวได้ง่ายดาย จะต้องอยู่บนเขาไผ่นอนนี้ไปสักสองสามวันจึงจะกลับเมืองได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงจะต้องเพิ่มคนมาดูแลปรนนิบัติ ทั้งข้าวปลาอาหาร ผักผลไม้ต่างๆ เสื้อผ้า ล้วนต้องนำขึ้นมาด้วย เพื่อมิให้เว่ยฉางอิ๋งอยู่อยากลำบากในขณะที่พักรักษาตัว
เมื่อเทียบกับเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งบาดเจ็บแต่เพียงที่กล้ามเนื้อและไม่ได้มีบาดแผลฉีกขาดใดๆ ผู้ติดตามทั้งหลายต่างพากันขอบคุณฟ้าดินแล้ว ส่วนเรื่องที่ต้องมีการขนย้ายกันขนานใหญ่เพื่อเตรียมการสำหรับสองสามวันนี้ ก็ถือว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
เว่ยฉางเฟิงตรวจสอบความแน่ใจกับหมอหนแล้วหนเล่าว่าพี่สาวแท้ๆ ของตนไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงใด…แม้หมอที่เว่ยชิงเชิญมานั้นจะเป็นหมอที่มีชื่อเสียงไม่เลวเลยในเฟิ่งโจว ทว่าอาการบาดเจ็บแต่ภายนอกที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเช่นนี้ แล้วอาศัยแค่เพียงการจับชีพจรผ่านเส้นด้ายหลังม่านกั้น จักมีความแม่นยำสักกี่มากน้อยกัน? ผู้ที่บอกว่ากระดูกไม่เป็นอะไรคือคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเว่ย พวกหมอเองก็ไม่กล้าให้เว่ยฉางเฟิงไปสอบถามกับเว่ยฉางอิ๋งให้แน่ชัด ทั้งยังกลัวว่าจะต้องรับผิดชอบมากขึ้นไปอีก จึงได้แต่ใช้คำศัพท์เฉพาะทางต่างๆ นานาจากตำราแพทย์มาตอบคำถาม และเว่ยฉางเฟิงเองก็ไม่ได้สันทัดในตำราแพทย์เลยแม้แต่น้อยเสียอีก กลายเป็นว่ายิ่งถามก็ยิ่งลงลึกไปเรื่อยๆ
กว่าหมอทั้งสองคนจะทุ่มเทสุดกำลังจนกลบเกลื่อนเขาได้สำเร็จ ก็เหงื่อตกจนแทบจะเปียกไปทั้งแผ่นหลัง ในขณะที่กำลังคิดว่าจะเอ่ยลาได้แล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าเว่ยฉางเฟิงกลับปาดเหงื่อที่ไหลออกมาเพราะความร้อนรน และกล่าวอีกว่า “ลูกผู้พี่ของข้าผู้นี้ เมื่อครู่ก็หกล้มไปพร้อมกัน ไม่รู้ว่าตื่นตกใจเพียงใดหรือไม่ ยังต้องขอให้ท่านทั้งสองตรวจอาการดูสักหน่อย”
หมอทั้งสองคนต่างก็เป็นคนท้องถิ่นของเฟิ่งโจว แม้ไม่ใช่คนของตระกูลเว่ยแต่ก็เคยได้ยินมาว่าว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทซึ่งเป็นแขกของบ้านเว่ยผู้นี้ มีฐานะสูงส่งยิ่งกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยเสียอีก จึงพากันตอบรับอย่างระมัดระวัง
เดิมทีเว่ยฉางเฟิงนึกว่าซ่งไจ้สุ่ยไม่เป็นอะไร เพราะอย่างไรเสียยามที่นางหกล้มนั้นก็เป็นเว่ยฉางอิ๋งที่เอาตัวรองรับนางไว้ อย่างมากคงเพียงแค่ตื่นตกใจ เพียงให้ยาต้มกล่อมประสาทก็คงจะสิ้นเรื่องแล้ว ที่เขาเรียกให้หมอตรวจดูอาการให้ซ่งไจ้สุ่ยก็เพียงเพราะไม่ต้องการจะทำให้บ้านตระกูลซ่งเสียหน้า… จะอย่างไรนางก็เป็นลูกผู้พี่ แม้ในใจยังคงคิดว่าซ่งไจ้สุ่ยทำให้เว่ยฉางอิ๋งพลอยรับเคราะห์ไปด้วย แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะบาดเจ็บแค่เพียงที่เนื้อหนัง แต่ก็มิอาจทำให้เขาไม่มองลูกผู้พี่ผู้นี้อย่างอริได้
ที่ให้หมอไปตรวจอาการครานี้ ก็เพราะต้องการจะชดเชยที่เขาจงใจเมินเฉยกับนางก่อนหน้านี้ด้วย
เดิมทีคิดว่าไม่ต้องให้หมอตรวจอาการก็คงไม่เป็นอะไร แต่ใครเล่าจักคิดว่า เมื่อไปตรวจ และเพียงบอกให้ซ่งไจ้สุ่ยยื่นข้อมือออกมาจากม่านเพื่อให้หมอตรวจดูชีพจร ชุนจิ่งที่อยู่ข้างในก็เอ่ยพร้อมเสียงสะอื่นไห้ว่า “แขนของคุณหนูหลุดแล้ว!”
เว่ยฉางฟงตื่นตกใจ เว่ยฉางอิ๋งที่หลังม่านก็ตกใจเช่นกัน พลันกล่าวว่า “หลุดมานานเท่าใดแล้ว? เหตุใดจึงไม่บอกกล่าว?”
จึงได้ยินชุนจิ่งเอ่ยว่า “เมื่อคระ…” ทันใดนั้นซ่งไจ้สุ่ยพลันใช้น้ำเสียงที่อ่อนแรงทว่าเย็นเฉียบขัดจัดหวะนาง เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “เมื่อครู่ตกใจเกินไป ข้าเองก็ไม่รู้ว่าหลุดแต่เมื่อใด ก่อนหน้านี้ตัวชา เมื่อครู่เพิ่งจะรู้สึกได้ หากมิใช่ชุนจิ่งเตือนข้าว่าแขนห้อยลงดูไม่ปกติ ข้าก็หาได้สังเกตเห็นไม่”
จริงอยู่ว่านางเอ่ยวาจาไปเช่นนั้น ทว่าผู้ใดเล่าจะไม่รู้ว่าความเจ็บปวดจากแขนที่หลุดนั้นมีหรือจะเพิ่งมารู้สึกได้หลังเกิดเรื่องไปหนึ่งหรือสองชั่วยาม? นี่จักต้องเป็นเพราะซ่งไจ้สุ่ยรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกผู้น้องต้องลำบากไปด้วย จึงได้ฝืนทนไม่ยอมเอ่ย ความเจ็บปวดเช่นนี้หากเป็นเว่ยฉางอิ๋งแล้วไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ แต่สำหรับคุณหนูแสนบอบบาง ที่เหนื่อยหอบเมื่อปีนเขาลูกเตี้ยๆ เพียงสามสิบจั้งเช่นซ่งไจ้สุ่ยแล้ว…ความอดทนเช่นนี้ แม้แต่เว่ยฉางฟงที่เคยไม่พอใจนางมาก่อนหน้านี้ยังรู้สึกสงสาร พลันเอ่ยเสียงต่ำๆ ว่า “อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย…รีบจัดแขนของท่านพี่เข้าที่เร็ว!”
…ซ่งไจ้สุ่ยไม่เพียงแต่แขนหลุดเท่านั้น ตอนที่ล้มลงมา เข่าของนางไปชนกับหินแตกเข้าพอดี สวรรค์โปรดที่ไม่มีเลือดออก ทว่าก็ชนจนเป็นรอยฟกช้ำขนาดใหญ่ เป็นเหตุให้ยามที่ลงจากยอดเขามา นางจึงไร้เรี่ยวแรงใดๆ ต้องอาศัยพวกสาวใช้ประคองตัวนางเดินลงมา เพียงแค่ชุนจิ่งและเซี่ยจิ่งไม่กล้าส่งเสียงใดยามเมื่อถูกนางทิ้งแรงทั้งตัวมาใส่เท่านั้นเอง…
เมื่อเห็นว่าอาการบาดเจ็บของนางหาได้เบากว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ เว่ยฉางเฟิงทั้งร้อนใจทั้งกังวล จึงรีบสั่งการให้หมอหนึ่งในสองคนซึ่งมีอายุมากกว่ารีบจัดกระดูกแขนให้ซ่งไจ้สุ่ย และจ่ายยาระบายเลือดให้อีกชุดหนึ่ง หลังจากตรวจชีพจรและแน่ใจว่านอกจากอาการบาดเจ็บภายนอกทั้งสองแห่งนี้ ซ่งไจ้สุ่ยไม่ได้มีอาการใดอื่นอีก…เมื่อจัดการทุกอย่างหมดแล้ว ผ้าเช็ดหน้าในมือของเว่ยฉางเฟิงก็ถูกเช็ดเสียจนเปียกไปหมด กำลังจะเอ่ยความ กลับได้ยินเสียงเอะอะจากภายนอก ที่แท้เป็นฮูหยินซ่งให้คนพามาที่นี่!
_________________________