ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 27
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งตัดสินใจจะลองพนันตามแบบของหลานสาวสักครั้ง และยังกล่าวว่าเสิ่นจั้งเฟิงกับเว่ยฉางอิ๋งยังอายุน้อยทั้งคู่ ต่อให้เสิ่นจั้งเฟิงไม่ถูกใจเว่ยฉางอิ๋ง เมื่อแต่งงานไปแล้วเสียเปรียบไปบ้างแล้วค่อยเปลี่ยนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทันการ อย่างไรตระกูลทั้งสองฝ่ายก็ยังอยู่ ตอนนี้เว่ยฮ่วนและฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเองก็ยังอยู่ อยากจะทำให้เว่ยฉางอิ๋งต้องลำบากก็ไม่ง่ายอย่างนั้น
แม้ว่าฮูหยินซ่งจะรู้สึกว่าพนันเรื่องใหญ่อย่างนี้จะเหลวไหลเกินไปหน่อย แต่ว่าหนึ่งคือฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเองก็หาวิธีอื่นมาไม่ได้แล้ว สองก็คือไม่แน่ใจว่าหากเสิ่นจั้งเฟิงชอบเว่ยฉางอิ๋งที่เผ็ดร้อนอย่างนี้ แล้วการที่ครอบครัวไปบีบคั้นให้เว่ยฉางอิ๋งเปลี่ยนแปลงตนจะไม่ใช่การทำร้ายนางหรือ
อย่างไรการแต่งงานไปเป็นภรรยาก็คือการไปใช้ชีวิตกับสามี แม่สามีเอ็นดูอย่างไรภรรยาพี่ชายน้องชายสามียอมขนาดไหน แต่หากภรรยาไม่ได้รับความพึงพอใจความรักจากสามี…ไม่ใช่ว่ามีเพียงเกียรติยศเพียงผิวเผินเท่านั้นหรือ
เดิมในใจของแม่สามีลูกสะใภ้ทั้งสองคนต่างก็หวังว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งแต่งงานไปแล้วจะยอมใช้ชีวิตตามที่ตนว่า แต่เมื่อจิตใจเอนเอียง ยิ่งทำให้คิดว่าที่เฉินหรูผิงคาดคะเนอาจจะเป็นไปได้ ฮูหยินซ่งคิดไปคิดมาก็ลังเล ความคิดที่จะตักเตือนเว่ยฉางอิ๋งให้เป็นผู้ฉลาดมีเมตตามีคุณธรรมก็ไม่ได้หนักแน่นอย่างนั้นแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งเป็นคนที่รู้สึกไวต่อท่าทีผู้ใหญ่ที่สุด เมื่อรู้สึกได้ว่าท่านแม่เริ่มลังเลแล้ว นางจึงอารมณ์ดีมาก และยิ่งทุ่มเทกับการฝึกวิชายุทธ์มากขึ้น ทั้งหมัดมวยเตะต่อย ฮูหยินซ่งได้ยินแล้วก็รู้สึกปวดหัว จึงไม่ไปสนใจนางเลยดีกว่า
วันเวลาผ่านไปอย่างนี้
…ก่อนหน้านี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งบีบให้เว่ยฮ่วนเขียนจดหมายเรียกบุตรภรรยาเอกทั้งสองของบ้านสองกลับมาเพื่อปรนนิบัติท่านปู่ท่านย่า แม้ว่าจดหมายจะเป็นเว่ยฮ่วนที่เขียน แต่ว่าในเฟิ่งโจวบ้านสองก็มีหูตาอยู่บ้าง รู้ว่าที่เรียกเว่ยฉางอวิ๋นกับเว่ยฉางซุ่ยกลับมานั้นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง
เว่ยเซิ่งอี้กับภรรยานางตวนมู่รู้ถึงความร้ายกาจของแม่ใหญ่คนนี้ดีมาก และครั้งนี้เพราะอะไรถึงเรียกบุตรทั้งสองกลับไป ในใจเว่ยเซิ่งอี้เองก็รู้ดี เว่ยฮ่วน ท่านพ่อช่วยเขาพูดอยู่หลายครั้งแต่ก็ทำได้เพียงลดจำนวนบุตรจากสองกลายเป็นหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าบุตรคนไหนกลับไป ต่างก็ต้องไปเป็นตัวประกัน ไม่ต้องพูดถึงความกังวลหวาดกลัวของเว่ยเซิ่งอี้และนางตวนมู่ ในบุตรชายทั้งสองยังไม่ได้กล่าวว่าต้องเป็นคนไหนอีก นี่เหมือนจะเป็นเพียงจุดเล็กๆ เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วก็มีความหมายแฝงว่าต้องการจะทำให้ความสัมพันธ์ของเว่ยฉางอวิ๋นและเว่ยฉางซุ่ยห่างกันอยู่
แต่ว่าแม้บ้านสองจะมองสถานการณ์ชัดเจนอย่างไร แต่คำสั่งของพ่อแม่ ก็ไม่กล้าไม่ทำตาม
ถ่วงเวลาแล้วถ่วงเวลาอีก หลังจากที่เว่ยฉางอิ๋งได้รับของล้ำค่าจากว่าที่แม่สามีได้สามวัน ไม่ว่าเว่ยฉางซุ่ยจะยินดีหรือไม่ ก็ยังต้องกลับมาที่รุ่ยอวี่ถังอย่างเคารพนบนอบ และมาคุกเข่าคารวะต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง
เว่ยฉางซุ่ยคือบุตรคนรองของบ้านสอง คุณชายสามเว่ยคนนี้มีหน้าตาหล่อเหลา บุคลิกราวกับบัณฑิต ใบหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลา ทำให้คนมองแล้วรู้สึกดีด้วยได้ง่าย แม้ว่าเขาจะรู้ว่าคราวนี้ถูกท่านย่าเรียกกลับมาไม่ใช่เรื่องดี แต่ว่าอยู่ต่อหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งแล้วเขากลับมีท่าทีเคารพสนิทสนมมาก กับเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางเฟิง น้องสาวและน้องชายทั้งสองก็แสดงท่าทีออกมาอย่างระมัดระวังมาก เห็นได้ชัดว่า เขากลัวฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมาก
ความกลัวนี้แม้ว่าเว่ยฉางซุ่ยจะปิดบังไว้อย่างไร แต่กลับไม่สามารถปิดบังสายตาของเหล่าผู้ใหญ่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งปฏิบัติกับหลานชายคนนี้อย่างราบเรียบตลอด นางไม่ชอบเว่ยเซิ่งอี้ แน่นอนว่าจึงไม่มีความรู้สึกดีๆ กับบ้านของเว่ยเซิ่งอี้ด้วย นอกจากนี้นับตั้งแต่ที่เว่ยเซิ่งอี้แนะนำกับเว่ยฮ่วนลับๆ ว่าจะยกเว่ยฉางซุ่ยให้กับเว่ยเจิ้งหงที่ตอนนั้นยังไร้บุตรชาย ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็รู้สึกไม่ชอบหลานชายคนนี้จากส่วนลึกในใจ
ยิ่งไม่ต้องพูดว่า คราวนี้ที่เรียกเขากลับมาเดิมก็เพราะต้องการจำกัดเว่ยเซิ่งอี้และระบายโทสะ
ดังนั้นแม้ว่าเว่ยฉางซุ่ยจะพยายามเอาใจอย่างไร ก็ยังไม่สามารถทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งใจอ่อนได้ เพียงแต่ว่าเขาเพิ่งจะมาถึงวันแรก คนกลับมาแล้ว อยากจะทำอะไรฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพูดออกมาคำเดียวก็พอ ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงไม่รีบร้อนทำอะไรใหญ่โตตั้งแต่แรกพบหน้า และให้เขาปรนนิบัติรับใช้ทานอาหารค่ำอย่างระวัง แล้วถึงได้เหลือบตามองแล้วถามฮูหยินซ่งว่า “เว่ยฉางซุ่ยกลับมาคราวนี้ต้องอยู่ยาว เรือนของเขาจัดเตรียมไว้แล้วหรือยัง?”
“เป็นเรือนที่แต่ก่อนบ้านน้องรองอยู่ ข้าให้คนทำความสะอาดไว้หลายห้อง สักครู่ให้ฉางซุ่ยไปเลือกได้” ฮูหยินซ่งแน่นอนว่าไม่มีทางมีความรู้สึกดีๆ กับบ้านสองที่วางแผนเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวตนกับคนภายนอกฟังแน่ นางกล่าวเสียงเรียบ
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวรับ แล้วกล่าวกับเว่ยฉางซุ่ยว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ”
เว่ยฉางซุ่ยรีบทิ้งมือลงและรีบตอบรับคำทันที
ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวต่อว่า “เดิมน้องชายของเจ้าต่างก็กำลังเรียนอยู่กับจื้อเจียว เจ้าเองก็ไปเรียนด้วยกัน เพียงแต่เจ้าอายุมากกว่าพวกเขามาก ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาเรียนคิดว่าเจ้าคงเรียนมาหมดแล้ว ไปฟังก็ไม่มีความหมาย แต่ว่าจื้อเจียวต้องศึกษาหาความรู้ ตอนนั้นที่ไปเชิญเขามาก็พูดไว้แล้ว ทุกวันจึงมีเวลาไม่กี่ชั่วยามไปสอนลูกศิษย์…”
ความหมายในคำพูดชัดเจนมาก เว่ยฉางซุ่ยถอนหายใจ เขารู้อยู่แล้วว่าท่านย่าจะต้องไม่ใจดีอย่างนี้แน่ จะให้ตัวเขาไปเรียนกับท่านลุงจื้อเจียวอะไรด้วย เพื่อจะได้ฐานะว่าเป็นศิษย์ในสำนัก ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งทำอย่างนั้นจริงๆ ก่อนหน้านี้เขากับพี่ชายอย่างเว่ยฉางอวิ๋นเริ่มเรียนศึกษาก็คงได้กราบเว่ยซือกู่เป็นอาจารย์แล้ว
ต้องรู้ว่าเว่ยซือกู่มาช่วยงานที่รุ่ยอวี่ถังตั้งแต่ตอนที่เว่ยฉางเฟิงเริ่มเรียนหนังสือ…พูดไปแล้วเว่ยเกาชวนเองก็อาศัยว่าอายุพอๆ กับเว่ยฉางเฟิงจึงได้ไปเรียนด้วย รวมกับที่พรสวรรค์ของเขาสู้เว่ยฉางเฟิงไม่ได้ ถึงได้สามารถไปฟังเว่ยซือกู่บรรยายบทเรียนได้
เดิมเว่ยฉางซุ่ยเองก็รู้สึกว่าครั้งนี้แม้ว่าจะต้องถูกท่านย่าตักเตือน แต่ว่าเว่ยซือกู่อยู่ในรุ่ยอวี่ถัง ตนเองยังเป็นผู้ชาย อย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ไม่มีทางที่จะดึงตนเองมาอยู่ต่อหน้าได้ตลอด อย่างไรก็ต้องมีโอกาสได้ร่ำเรียนบ้าง
กลับคิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาเพิ่งจะกลับมา ยังไม่ทันจะได้พบหน้าเว่ยซือกู่ ท่านย่าก็บอกเป็นนัยแล้วว่าเขาอย่าคิดไปเองเลย
ตอนนี้เขาไม่กล้าคิด ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งสงสัยบ้านสองมาตลอดว่าจะมาแย่งชิงของของเลือดเนื้อเชื้อไขนาง ก่อนที่เว่ยฉางซุ่ยจะมาท่านพ่อท่านแม่ก็เตือนเขาแล้ว อยู่ที่เฟิ่งโจวห้ามไปหาเรื่องกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเด็ดขาด ฮูหยินผู้เฒ่าคนนี้ผ่านอะไรมามากมาย และสิ่งที่มีแน่นอนเลยก็คือความเด็ดขาด…
โดยเฉพาะบ้านสองที่ถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมองว่าเป็นอุปสรรคขวางบ้านใหญ่ด้วยแล้ว…
นางยังเป็นท่านย่าใหญ่ด้วย อย่าว่าแต่เว่ยฉางซุ่ยเลย ต่อให้เป็นเว่ยเซิ่งอี้ หากว่าฮูหยินผู้เฒ่าอยากจะให้เขาตาย เว่ยเซิ่งอี้ก็ไม่กล้ากล่าวว่าตนจะมีชีวิตต่อไป
ดังนั้นแม้ว่าเว่ยฉางซุ่ยจะเสียดายที่ไม่สามารถไปเรียนกับเว่ยซือกู่ได้ แต่ว่าใบหน้าก็ยังแสดงท่าทีเคารพนบนอบ “ท่านย่ากล่าวได้ถูกต้อง น้องชายทั้งสองเดิมก็เรียนอยู่กับท่านลุงจื้อเจียวอยู่แล้ว ไม่สามารถให้การที่หลานกลับมาไปทำให้การเรียนของพวกเขาล่าช้าได้ พูดไปแล้วหลานเป็นก็อกตัญญู หลายปีมานี้อยู่ที่เมืองหลวงมาตลอด ไม่เคยได้มาปรนนิบัติรับใช้ท่านปู่ท่านย่า คราวนี้กลับมา แน่นอนว่าต้องชดเชย นอกจากนี้ก่อนที่หลานจะกลับมา อาจารย์ก็ได้ให้การบ้านเอาไว้มากมาย ให้หลานทำให้เสร็จเพียงลำพัง ห้ามให้คนอื่นช่วยเหลือ”
“อาจารย์ก็ดั่งบิดา” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพยักหน้าน้อยๆ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ในเมื่ออาจารย์ของเจ้ากำชับมา ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ทำการบ้านก่อนเถอะ” นี่คือไม่อนุญาตให้เว่ยฉางซุ่ยเรียนกับเว่ยซือกู่ และไม่คิดจะเชิญอาจารย์คนอื่นมาให้ด้วย…แม้ว่าตอนนี้เว่ยฉางซุ่ยเข้าพิธีสวมหมวกแล้ว ไม่ต้องเรียนทุกวันอย่างเว่ยฉางเฟิง แต่ว่าเว่ยฉางซุ่ยอาศัยตระกูลเป็นขุนนาง ไม่ได้อาศัยความรู้ทั้งหมด การจะมีอาจารย์ชื่อดังหรือไม่ก็ไม่ใช่ปัญหากับเขามากนัก
แต่ว่าจากการระวังของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ทำให้เว่ยฉางซุ่ยหนักใจ เขาคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งแน่นอนว่าไม่มีทางไม่รู้ว่าตอนนี้ไม่ให้เขาเรียนกับอาจารย์มีชื่อก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ว่าก็ยังทำอย่างนี้ จากความร้ายกาจของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง การทำอย่างนี้คงไม่ใช่เพียงแค่ทำให้เขาผิดหวังและไม่มีความสุขเท่านั้น
อย่างไรฐานะอย่างฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง แค่ต้องการทำให้หลานชายไม่มีความสุขก็ไม่คุ้มที่จะต้องเอ่ยปากเอง
คิดแล้วแน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะต้องมีแผนอื่นแน่ ความเป็นไปได้นี้ก็ยังไม่แน่ อย่างเช่น ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจงใจแสดงท่าทีเข้มงวดออกมาอย่างนี้เพื่อไม่ให้เขาไปขอเรียน ไม่แน่ว่าอาจจะไปกล่าวกับเว่ยฮ่วน ท่านปู่ของตนว่าเป็นเขาที่ไม่อยากเรียนเองก็ได้ ในเรือนมีเว่ยซือกู่อาจารย์มีชื่ออย่างนี้ก็ยังไม่ไปเรียน…
แม้ว่าเว่ยฮ่วนจะให้ความสำคัญกับบ้านสอง แต่เขาก็เสียดายมากกว่าที่บุตรชายภรรยาเอกร่างกายไม่แข็งแรง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้บ้านใหญ่ยังมีเว่ยฉางเฟิงที่มีพรสวรรค์และฉลาดเฉลียวอีก ตัวเว่ยฮ่วนคือบุตรอนุภรรยา แต่อย่างไรเขาก็ยังให้ความสำคัญกับสายเลือดภรรยาเอกมากกว่า…
ในใจของเว่ยฉางซุ่ยมีความคิดมากมายในพริบตา แล้วกล่าวรับไปอย่างเคารพและถ่อมตน ในใจกลับหนาวยะเยือกมาก คิดถึงคำเตือนของท่านพ่อที่แอบลอบเตือนเขาก่อนเดินทางมา ก็แอบถอนหายใจ เขาลอบมองไปยังเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงที่อยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง พี่น้องทั้งสองคือดวงใจของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง คือไข่มุกบนฝ่ามือที่ล้ำค่าที่แท้จริง
เว่ยเซิ่งอี้กล่าวกับบุตรชายคนรองว่าหากเขาอยากจะอยู่ในเฟิ่งโจวอย่างดี หวังการคุ้มครองจากท่านปู่อย่างเว่ยฮ่วนก็ยังไม่พอ สู้เขาไปทุ่มเทกับพี่น้องทั้งสองคนนี้ยังคุ้มค่ากว่า อย่างไรอายุของน้องชายน้องสาวก็ยังน้อย ได้ยินทางข่าวจากรุ่ยอวี่ถังที่ส่งไปถึงเมืองหลวง พี่น้องทั้งสองนี้ ไม่ใช่คนที่มีความคิดชั่วร้ายโหดเหี้ยม กลับยังมีนิสัยคล้ายเด็กอยู่บ้าง
เด็ก ทั้งยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองอย่างไรก็เอาใจง่ายกว่าฮูหยินซ่งและฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง
เว่ยฉางซุ่ยเพิ่งจะอายุถึงพิธีสวมหมวก ท่านพ่อยังเป็นขุนนางสำคัญของราชสำนักอีก ในเมืองหลวงคุ้นชินกับการมีบ่าวรับใช้ห้อมล้อมแล้ว กลับมาที่เฟิ่งโจวครั้งนี้กลับต้องคอยก้มหัว ฟังคำแนะนำของท่านพ่อไปคอยเอาใจน้องสาวน้องชายก็ไม่ค่อยยินดีนัก ดังนั้นตอนแรกที่ฟังคำแนะนำของบิดาเขาจึงไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ว่าแม้ในใจเขาจะมีความเย่อหยิ่งแต่ก็ยังรู้กาละเทศะ ตอนนี้กลับมาเป็นวันแรก ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่ปิดบังความประสงค์ร้ายอีกแล้ว หากว่ายังแสดงท่าทีเป็นพี่สามไม่รู้ว่าจะต้องถูกทำอย่างไร ตอนนี้รุ่ยอวี่ถังต้องการเว่ยเซิ่งอี้แต่ไม่แน่ว่าจะต้องการเว่ยฉางซุ่ยนี่…
ต่อให้เป็นเว่ยเซิ่งอี้ แต่ว่าเขายอมฆ่าพ่อแม่เพื่อบุตรชายคนรองหรือ ศักดิ์ฐานะก็เห็นกันอยู่ หากว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยังอยู่ เว่ยเจิ้งหงยังอาการไม่ดีนัก บ้านสองก็ได้แต่ต้องทำตนเป็นสุนัขต้อยต่ำ ห้ามโอหังอวดดี
เว่ยฉางซุ่ยคิดคำนวณเงียบๆ รู้สึกว่าแม้เว่ยฉางอิ๋งจะเป็นน้องสาว แต่ว่าอายุรุ่นนี้ชายหญิงก็ต่างกันแล้ว ไปเข้าใกล้เว่ยฉางเฟิงจะสะดวกกว่า แต่ว่าเขาวางแผนอย่างนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเดาความคิดออกไหม นับตั้งแต่เขาอาศัยอยู่มา นอกจากไปคารวะแล้ว ก็ไม่มีโอกาสได้เจอกับเว่ยฉางเฟิงเลย
แน่นอนว่าเขาก็สามารถไปเยี่ยมที่เรือนใหญ่อย่างเรือนหลิวหวาได้ หรือเชิญเว่ยฉางเฟิงไปที่บ้านสอง ทว่าเว่ยฉางซุ่ยปรึกษากับบ่าวไพร่ของตนแล้วก็หยุดความคิดนี้ไป
บ่าวรับใช้เก่าแก่กล่าวว่า “เดิมฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ไม่ชอบคุณชายอยู่แล้ว ทั้งยังรักใคร่คุณชายห้าขนาดนั้น ตอนนี้นางทั้งไม่เชื่อใจคุณชายอีก หากว่าไปมาหาสู่กับคุณชายห้าก็ไม่ค่อยเหมาะสมนัก บางทีหากว่าด้านการเรียนเกิดสะดุดไปบ้าง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคงได้สงสัยคุณชายอีก ยิ่งทำให้คุณชายยากจะทำตัวต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง”
เว่ยฉางซุ่ยคิดแล้วก็เป็นอย่างนี้จริงๆ เขาจึงอดถอนใจไม่ได้ว่า “แต่ท่านย่าเรียกข้ากลับมาไม่มีทางยอมอยู่เฉยๆ อย่างนี้แน่ ข้าเองก็ไม่สามารถจะอยู่ที่เฟิ่งโจวตลอดไปได้ หากว่าไม่สานสัมพันธ์กับน้องหญิงสามและน้องห้าดีๆ ไม่มีใครช่วยพูดให้ข้า ภายหลังจะทำอย่างไร?”
เขาเงียบไปแล้วถามว่า “ทางท่านปู่…”
“ไม่ได้เด็ดขาด!” บ่าวชราได้ยินก็รีบกล่าว “ตอนนั้นที่คุณชายห้ายังไม่เกิด ฮูหยินผู้เฒ่ามองว่าตำแหน่งหัวหน้าตระกูลและของทั้งหมดเป็นของบ้านใหญ่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายห้ายังมีพรสวรรค์และฉลาดเฉลียวอีก ตอนนี้หากว่าคุณชายไปหาหัวหน้าตระกูล จะต้องทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งระแวงขึ้นมาแน่ และเกรงว่าจะไม่เป็นผลดีกับคุณชายห้า!”
ก่อนหน้านี้เว่ยฉางซุ่ยยอมก้มหัวทำตนเป็นสุนัขเพื่อเอาใจแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ยังไม่มีท่าทีดีกับเขา หากว่าเห็นเขาไปทำเรื่องอะไรที่ ‘ไม่เป็นผลดีกับเว่ยฉางเฟิง’ เว่ยฉางซุ่ยจะมีจุดจบอย่างไร ไม่ต้องถามก็รู้
“หรือว่าข้าได้แต่ต้องนั่งรอความตายอย่างนี้หรือ?” ในใจของเว่ยฉางซุ่ยทั้งขัดเคืองทั้งคับแค้น แล้วกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง แต่อย่างไรข้าก็ยังเรียกนางว่าท่านย่า!”
บ่าวชรานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะระแวงบ้านสอง แต่ว่าหลายปีนี้ก็ไม่เคยเรียกคุณชายและคุณชายรองกลับมาปรนนิบัติที่เฟิ่งโจว พูดไปแล้ว ก็ยังเพราะงานเลี้ยงตระกูลเสิ่นครั้งที่แล้ว ฮูหยินซูเอาสร้อยลูกปัดไม้กฤษณามอบให้กับคุณหนูของจือเปิ่นถัง…”
“นี่มันคือแผนการทำลายความสัมพันธ์ของจือเปิ่นถัง” แววตาของเว่ยฉางซุ่ยมีประกายโทสะแล้วกล่าวเสียงเข้มว่า “ท่านย่าแข็งกร้าวอย่างนี้ บ้านใหญ่ยังมีน้องห้าอีก หลายปีนี้ท่านพ่อหวาดกลัวมาตลอด…ยิ่งไปกว่านั้นพี่หญิงใหญ่ก็ออกเรือนไปแล้ว ยังจะทิ้งบ้านสามีมาแต่งงานกับเสิ่นจั้งเฟิงอีกครั้งหรือ ต่อให้เพื่อให้น้องห้ามีปีกเพิ่มขึ้น…แต่ว่ามีท่านย่าอยู่ การช่วยเหลือจากเสิ่นจั้งเฟิงคนเดียวจะเทียบได้อย่างไร บ้านของพวกเราไม่จำเป็นต้องไปวางแผนเรื่องการแต่งงานของน้องหญิงสามเลย! พูดไปแล้วเป็นเรื่องที่จือเปิ่นถังก่อขึ้นทั้งนั้น และเพราะท่านแม่อ่อนข้อไม่เด็ดขาดกับบ่าวไพร่ ทำให้พวกเขาไม่ระวังคำที่ไม่ควรกล่าว!”
บ่าวชรากล่าว “เดิมท่านหัวหน้าตระกูลก็กล่าวแล้วว่า คุณชายกลับมาครั้งนี้เพื่อมาอธิบายเรื่องนี้ แต่ว่าหลายวันนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่เคยถามเรื่องนี้เลย นี่…”
เว่ยฉางซุ่ยพลันตกใจไป!
……………………………………………