ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 61.1 วิกฤตหลายชั้น (1)
“ท่านพี่ ในป่าข้างหน้านั่นคือ…” แม้เว่ยฉางเฟิงจะถูกเว่ยชิงทั้งประคองทั้งลากให้วิ่งมาตลอดทาง ใบหน้าก็มิรู้ว่าถูกกิ่งไม้ข่วนขีดไปกี่มากน้อยแล้ว ทำเอาทั้งร่างของเว่ยฉางเฟิงที่ถูกประคบประหงมเป็นอย่างดีมาแต่ไหนแต่ไรจักไม่มีแห่งใดเลยที่ไม่ เจ็บปวด แต่กลับมิอาจบดบังความยินดีบนใบหน้าของเขาได้ “เป็น ‘ปี้อู๋ ’ หรือ?”
“หากเป็น ‘ปี้อู๋’ มาถึงแล้ว พวกเรายังต้องวิ่งอยู่เช่นนี้รึ?” ในน้ำเสียงของเว่ยฉางอิ๋งไม่มีระดับขึ้นลงเลยแม้แต่น้อย หากแต่สงบนิ่งจนน่าแปลก “นั่นเป็นท่านลุงเจียง เมื่อฝนลูกธนูระลอกแรกสาดลงมา เขาก็ถีบรถม้าจนล้ม แล้วใช้ใต้รถที่ไม่มีหน้าต่างประตูเป็นที่กำบังลูกธนูให้ข้า เมื่อครู่นี้อาศัยช่วงชุลมุนมาบอกข้าว่า เขาจะเข้าไปในจัดการกับพวกพลธนูในป่าให้เรียบร้อยเสียก่อน หาไม่วันนี้พวกเราคงไม่มีสักคนจะหนีเอาชีวิตรอดไปได้! ยามนี้ดูไปแล้ว ท่านลุงเจียงคงจะอาศัยจังหวะหลังจากที่พวกคนชุดดำออกมาแล้วไปสังหารพวกพลธนูจนหมดแล้ว!”
เมื่อได้ยินว่าคนที่สังหารพลธนูของอีกฝ่ายจนราบ ทั้งยังใช้ธนูของฝ่ายตรงข้ามลอบโจมตีพวกคนชุดดำบนถนนหลวงระลอกหนึ่งนั้นกลับเป็นเจียงเจิงเพียงผู้เดียว ความยินดีที่เว่ยฉางเฟิงมีอยู่ก่อนนี้ก็พลันถูกเผาเป็นจุนในทันใด เขาโพล่งถามอย่างไม่ทันรู้ตัวว่า “แล้วท่านลุงเจียงเล่า?”
“ไม่รู้สิ เขาให้พวกเราไปก่อน” น้ำเสียงของเว่ยฉางอิ๋งแสนจะสงบราบเรียบแต่ก็เย็นเฉียบ ดูแปลกประหลาดยิ่ง เว่ยชิงไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับนาง ทั้งยังรู้สึกนับถือในความสุขุมของนาง แต่กลับมิได้รู้สึกถึงสิ่งใด แต่เว่ยฉางเฟิงกลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่เหมือนเดิม เขาขบคิดด้วยความฉงนว่า ‘เหตุใดท่านพี่จึงได้ดูแปลกไปเช่นนี้?’
เพียงแต่ในตอนนี้ยังไม่พ้นจากอันตราย ถึงแม้เว่ยฉางเฟิงจะรู้สึกเป็นห่วงพี่สาว แต่ก็ไม่มีเวลาจะมาพูดมาก ทำได้เพียงวิ่งสุดแรง ตามเว่ยชิงเข้าไปในป่าอย่างทุลักทุเล
เขา ลวี่อีและลวี่ฉือล้วนเป็นเพียงคนธรรมดา อีกทั้งลวี่อีและลวี่ฉือยังเป็นหญิง พาพวกเขาสามคนหนี ไม่เพียงไม่อาจจะไปได้เร็ว เสียงดังที่เกิดขึ้นขณะวิ่งก็ยังทำให้พวกนกที่อยู่ใกล้ไกลพากันแตกตื่นขึ้นมา ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจักต้องควระวังว่ามีใครไล่หลังมาหรือไม่… หรือแม้จะมี เพียงคนร้ายที่ตามมาไม่ได้ร้องตะโกนเสียงดัง เมื่อถูกรบกวนด้วยเสียงฝีเท้าดังๆ รอบตัว พวกเขาก็จะไม่อาจรู้ได้เลย
เช่นนั้น ทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่ามีคนชุดดำไล่ตามมาหรือไม่ จึงยิ่งไม่กล้าหยุดพัก ทำได้เพียงพยายามวิ่งต่อไป!
พวกเขาวิ่งอย่างเต็มแรงเช่นนี้อยู่ในป่าหนึ่งเค่อเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นเว่ยฉางเฟิงหรือเว่ยชิงต่างก็รู้สึกอ่อนล้า ในขณะที่ไม่อาจไม่ลดความเร็วลงได้นั้น กลับเห็นว่าข้างหน้าห่างออกไปไม่ไกลมีร่างคนชุดสีเทาคนหนึ่งปรากฏขึ้น! คนทั้งกลุ่มต่างตกใจยกใหญ่จนหน้าถอดสี เว่ยชิงตั้งท่าจะหวดดาบเข้าหา…เคราะห์ดีที่เว่ยฉางอิ๋งสายตาแหลมคม ทั้งยังรู้สึกคุ้นเคยกับผู้ที่โผล่มา จึงร้องเรียกอย่างยินดีว่า “ท่านลุงเจียง!”
เป็นเจียงเจิง
องครักษ์สูงวัยผู้นี้สมกับที่เคยให้การอารักษ์ขามาหลายชั่วอายุคน แม้แต่ผู้นำของตระกูลเว่ยก็ยังเล็งเห็นถึงวรยุทธที่เขาได้รับการถ่ายทอดมาและประสบการณ์ในยุทธภพที่เขาเคยได้สั่งสมมาหลายยุคหลายสมัย และตั้งใจทาบทามให้เขาเข้ามาทำงานในตระกูลเว่ย…ในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญอย่างไม่ทันคาดคิด เขาไม่เพียงเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ทัน ทั้งยังถีบรถม้าจนล้ม เพื่อใช้ปกป้องเว่ยฉางอิ๋งที่อยู่ในรถให้ไม่ต้องลูกธนูจนบาดเจ็บ ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ต้นจนจบก็มิได้เห็นตัวเขาเลย ชั่วเวลาสั้นๆ ขณะฝนลูกธนูกระหน่ำมาหลายระลอกนั้น เขากลับหลบเข้าไปอยู่ในป่าเรียบร้อยแล้ว!
ไม่เพียงเท่านี้ ในเวลาสั้นๆ ที่เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยชิงกำลังรับมือกับพวกโจรอยู่นั้นเจียงเจิงก็รู้ชัดว่าพลธนูทั้งหมดนั้นหลบซ่อนอยู่ที่ใด ทั้งยังสังหารพวกมันทั้งหมด โดยที่พวกโจรที่อยู่ภายนอกป่ามิทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ…
ยิ่งไปกว่านั้น…นี่เป็นชั่วเวลาเพียงหนึ่งเค่อ ยังมิต้องเอ่ยเจียงเจิงได้ข้ามถนนหลวงมายังป่าข้างทางนี้แล้วมาเจอพวกเขา ตอนนี้ยังเดินนำหน้าพวกเขาไปอีก!
องครักษ์ที่มีประสบการณ์เปี่ยมล้นทั้งความสามารถสูงส่งเช่นนี้ ดูเสื้อผ้าของเขาแม้จะมิได้หมดจดเหมือนใหม่ แต่กลับเรียบร้อยยิ่ง แม้แต่เว่ยฉางเฟิงก็มีความรู้สึกประหนึ่งว่าได้เห็นบุคคลสำคัญ รีบร้อนเข้าไปไถ่ตามว่า “ท่านลุงเจียง คนพวกนั้น…”
คำพูดของเขาถูกเจียงเจิงตัดบทอย่างรวดเร็ว เจียงเจิงขมวดคิ้วเข้มของเขา กล่าวเสียงหนักว่า “ข้าน้อยมิใช่บอกกับคุณหนูใหญ่ว่าหลังจากข้าน้อยจัดการเรียบร้อยแล้ว และใช้ธนูดึงดูดความสนใจพวกโจร ก็ให้คุณหนูใหญ่ฉวยโอกาสรีบหนีเข้าป่าแล้วไปให้ไกลเท่าใดได้ยิ่งดีหรอกหรือ? ในป่าแห่งนี้ข้าน้อยมีวิธีของตนที่จะไล่ตามคุณหนูใหญ่ไปทัน ในเวลาเดียวกันก็จักได้คอยระวังหลัง และปกปิดร่องรอยให้คุณหนูใหญ่ด้วย… เหตุใดคุณหนูใหญ่จึงไม่พังคำของข้าน้อย แล้วยังหยุดรั้งรออยู่ที่นี่เล่า?!”
คำพูดนี้กล่าวออกมาเสียจนทุกคนตื่นตกใจกันหมด เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังถึงกับนิ่งเหม่อไป แล้วกล่าวไปทันควันว่า “พวก…พวกข้าวิ่งมาตลอดหนึ่งเค่อแล้ว! มิใช่ว่าท่านลุงเจียงเดินมาก่อนหน้าพวกข้าหรอกหรือ?”
“อะไรกัน?!” เจียงเจิงตะลึงงัน แล้วจึงพลันเข้าใจทันใด พร้อมกับมีสีหน้าเปลี่ยนไปพลางว่า “คงเพราะคุณหนูใหญ่ไม่รู้ทาง ต้นไม้ในป่านี้หนาทึบ คุณหนูใหญ่จึงได้หลงเดินเป็นวง!”
“…” อารมณ์ของทุกคนในยามนี้ไม่รู้จริงๆ ว่าควรบรรยายออกมามาอย่างไรดี เว่ยฉางอิ๋งไร้อารมณ์จะมาหงุดหงิดกับเรื่องนี้ ถามอย่างร้อนใจไปว่า “ที่แห่งนี้อยู่ห่างจากถนนหลวง…”
เจียงเจิงก้าวมาข้างหน้าเงียบๆ แล้วคว้าตัวเว่ยฉางเฟิงเข้ามา ยามนี้หาได้มาคำนึงถึงว่าใครเป็นนายใครเป็นบ่าวแล้ว จากนั้นก็แบกเว่ยฉางเฟิงขึ้นหลัง กล่าวว่า “ยังคงเป็นพื้นที่ในระยะธนู… ไม่อาจหยุดอยู่ที่นี่ รีบไป รีบไปขอรับ!”
เมื่อมีเจียงเจิงบอกทาง ทุกคนย่อมไม่ต้องหลงเดินเป็นวงอยู่ภายในป่าอีก… หรือกระทั่งไม่ต้องหลงเดินผิดกลับออกไปยังถนนหลวงให้พวกโจรพบเห็น
เว่ยฉางเฟิงมีเจียงเจิงคอยแบกอยู่บนหลัง ลวี่อีและลวี่ฉือกลับไม่อาจให้เว่ยชิงและเว่ยฉางอิ๋งแบกพวกนาง ทว่าต้นไม้ในป่าแน่นทึบ แม้เจียงเจิงจะเดินไม่เร็วนัก แต่ลวี่อีและลวี่ฉือรู้ดีว่ายามนี้มีภัยร้ายแรง ยามที่เว่ยฉางอิ๋งดึงเว่ยฉางเฟิงให้หลบเข้าไปในป่าก่อนหน้านี้ ยังไม่ลืมที่จะถีบพวกนางเข้าเสียก่อน พวกนางก็ซาบซึ้งในบุญคุณของนายตนอย่างมากแล้ว ตอนนี้จึงไม่อาจให้การเดินทางล่าช้าเพราะพวกนางได้อีก… หากถูกทิ้งเอาไว้แล้วถูกพวกโจรจับได้ เพียงฟังที่พวกมันกล้าแทะโลมเว่ยฉางอิ๋งต่อหน้าเมื่อครู่นี้ ประสาอะไรกับสาวใช้สองคนเช่นพวกนาง?
ภายใต้ความหวาดกลัว สาวใช้ทั้งสองนางยกชายกระโปรงขึ้น แล้วเร่งฝีเท้าเร็วบ้างช้าบ้างเดินไปตลอดทาง แม้จะทุลักทุเลแต่ก็เกาะกลุ่มไปได้!
เจียงเจิงเดินไปถึงต้นไม้แก่ที่สูงใหญ่มากต้นหนึ่ง วางเว่ยฉางเฟิงลง แล้วก้มตัวแนบหูลงกับพื้นอยู่เกือบเค่อ จึงลอบผ่อนลมหายใจ กล่าวว่า “พวกมันมิได้ตามมาชั่วคราว พวกเราสามารถพักได้สักพัก”
เมื่อกล่าวความนี้ออกมา ทุกคนรวมทั้งเว่ยฉางอิ๋งต่างก็ขาอ่อนแรงลงทันใด…การเดินทางภายในป่าลึกรกทึบเช่นนี้ลำบากลำบนยิ่ง โดยเฉพาะในยามที่กำลังถูกตามไล่สังหาร ทั้งยังต้องคอยเอาใจจดจ่อ บั่นทอนทั้งแรงกายและแรงใจเป็นที่สุด
เมื่อถึงยามนี้ ทุกคนก็พลันรู้สึกขึ้นมาว่าท้องว่างเปล่า ทั้งหิวทั้งกระหาย เพียงแต่รอบกายก็ไร้บ่อน้ำ ทั้งไม่มีผลไม้ป่า จะหาเวลานั่งพักในตอนนี้ก็ยังแทบไม่ทันแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าเดินออกไปหาของกินในที่ไกลๆ เลย ลำพังเรื่องโชคไม่ดีได้มาเจอกับพวกโจร อยากจะร้องไห้ก็ยังไม่ทันแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงได้แต่พักผ่อนอยู่เงียบๆ ไม่ส่งเสียง พยายามให้แรงกายกลับคืนมาโดยเร็ว
แรกเริ่มเว่ยฉางเฟิงถูกเว่ยชิงลากไป ต่อมาก็ถูกเจียงเจิงดึงตัวแบกขึ้นหลังเขาอีก จึงมิได้สูญเสียแรงกายไปนัก และตอนนี้ก็ถูกวางลงมาแล้ว ซึ่งคนที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดก็ย่อมเป็นพี่สาวของตน แต่กลับเห็นเว่ยฉางอิ๋งมีสายตาสงบอยู่เนิ่นนาน ใบหน้าก็ซีดขาวจนน่าตกใจ สีหน้าของนางในยามนี้ยิ่งขับให้ดวงตาของนางดูสว่างชัดจนน่าประหลาด
แม้จะอยู่ในภายในป่าใต้ต้นไม้ที่มีกิ่งใบหนาจนทำให้มืดทึบ แต่ดวงตาทั้งคู่นั้นยังคงสุกสว่างเช่นดวงดาว…ว่าไปแล้วหลังจากที่เร่งร้อนวิ่งกันมาเช่นนี้ แม้โดยปกติคนที่มีใบหน้าซีดเผือด ที่สองแก้มก็ควรจะสีม่วงหรือกระทั่งแดงระเรื่อจึงจะถูก เหตุใดสีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งยังคงขาวซีดเช่นนี้? ความผิดปกติเยี่ยงนี้ทำให้เว่ยฉางเฟิงหนักใจเหลือล้น อดจะถามไปไม่ได้ว่า “ท่านพี่ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำแล้วหันมองเขาคราหนึ่ง แววตาเฉยชาและสงบนิ่ง พลางค่อยๆ ส่ายหัว เพียงแต่ส่ายหัวไปได้เพียงครึ่งเดียว ไม่รู้ว่าเว่ยฉางอิ๋งคิดถึงสิ่งใดสีหน้าจึงได้เปลี่ยนไปทันที เอื้อมมือขึ้นมาปิดปากแล้วลุกขึ้นยืน
คนที่เร็วกว่านางก็คือเจียงเจิง เขายกมือขึ้นทันทีแล้วกดไปที่หัวไหล่ของนางหลายแห่งด้วยความเร็วดังสายฟ้าแลบ แล้วกล่าวเสียงหนักว่า “ห้ามอาเจียน! คุณหนูใหญ่ถูกประคบประหงมเป็นอย่างดีมาตลอด เพิ่งเคยจะได้มาเห็นความเป็นความตายเป็นครั้งแรก จึงได้มีอาการขวัญผวา ทั้งเมื่อครู่ก็ได้ลงมือสังหารคน… ยามนี้รู้สึกกระอั่กกระอ่วนเอาการก็เป็นเรื่องธรรมดา! ทว่ายามนี้พวกเรายังไม่รอดพ้นจากอันตราย ทั้งในตัวก็ไม่มีน้ำไม่มีอาหาร หากคุณหนูใหญ่อาเจียนออกมายามนี้ เรื่องที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้นั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่กำลังที่ถูกบั่นทอนลงนั้นเป็นเรื่องใหญ่! ดังนั้นแล้วห้ามอาเจียนออกมาเป็นอันขาด! อย่างไรต้องขอให้คุณหนูใหญ่อดทนเข้าไว้!”
เมื่อได้ฟังคำเขา เว่ยฉางเฟิงถึงได้กระจ่าง… การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวันนี้ แม้เว่ยชิงจะเป็นผู้ที่เว่ยฮ่วนประเมินว่าเป็นผู้ที่เคยฝึกฝนมาอย่างดีทั้งยังสุขุมรอบคอบ ก็ยังมีหลายครั้งที่ทำอะไรไม่ถูก! แล้วประสาอะไรกับเว่ยฉางอิ๋งที่เคยอยู่แต่ในจวนและมีชีวิตสุขสบายมาโดยตลอด?
เว่ยฉางอิ๋งถูกฮูหยินซ่งเอาอกเอาใจ จนถึงขั้นเคยโยนอัญมณีทั้งคันรถลงมาจนแตกพัง เพียงเพื่อให้ได้คำชมจากบุตรสาวประโยคหนึ่งว่าเสียงมันไพเราะ… ไม่ว่าจะมีวรยุทธล้ำเลิศเพียงใด วันนี้ก็เพิ่งจะได้เห็นเลือดเป็นคราแรก! เกรงว่าแม้เป็นผู้มีประสบการณ์ได้มาพบเห็นความโหดร้ายบนถนนหลวงก็ยังต้องหน้าถอดสี… ส่วนเว่ยฉางอิ๋งที่ต้องการปกป้องน้องชาย พอออกจากรถมาได้ก็เข้าสังหารหัวหน้าคนชุดดำด้วยมือตนเองทีเดียว!
แล้วจากนั้นก็ได้สังหารคนไปอีกคน…
ดวงตาของเว่ยฉางอิ๋งเคยเห็นเพียงผ้าจิ่นซิ่วสีสดใส ไม่ก็สวนป่าที่จัดแต่งงดงาม ชั่วชีวิตนี้อย่าว่าแต่สังหารคน แม้แต่ฆ่าไก่นางก็ยังไม่เคยเห็น… แล้ววันนี้ต้องได้มาเห็นองครักษ์บ้านตนรวมทั้งม้าถูกสังหารจนหมดไปต่อหน้าต่อตา ภายหลังยังถูกบังคับให้ลงมือสังหารศัตรูอีก โดยเฉพาะคนชุดดำที่สังหารไปภายหลังผู้นั้น เลือดสดๆ ของคนผู้นั้นยังคงเหนียวติดอยู่บนแขนเสื้อของเว่ยฉางอิ๋ง…เว่ยฉางอิ๋งยังคงรักษาท่าทีให้สงบอยู่ได้ ทั้งสิ้นก็เพราะนางพยายามข่มความรู้สึกเอาไว้อย่างสุดความสามารถเพื่อเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวและขยะแขยง!