ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 59.1 ลอบสังหาร (1)
นอกเมืองเฟิ่งโจวไปสิบลี้มีศาลายาวหนึ่งศาลา ห้าลี้มีศาลาสั้นหนึ่งศาลา เพราะราชองครักษ์อี้และซ่งไจ้เถียน เว่ยฉางเฟิงล้วนมีชาติกำเนิดในตระกูลสูงส่ง แม่ก่อนนี้จะเคยมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบนเขาไผ่น้อย แต่นอกจากเว่ยฉางเฟิงและตวนมู่อู๋ยิวแล้ว ทุกคนต่างก็ขจัดความบาดหมางไปในงานเลี้ยงขอบคุณแล้ว เดินทางร่วมกัน พูดคุยยิ้มแย้ม มิทันรู้ตัวก็ผ่านศาลาทั้งสองมาแล้ว กระทั่งมาถึงศาลายาวแห่งที่สาม กู้อี้หรานและซ่งไจ้เถียนต่างก็ดึงม้าให้หยุด เพื่อเชิญให้คนตระกูลเว่ยหยุดเดินทางต่อ
มาส่งถึงสามสิบลี้ก็พอสมควรแล้ว เว่ยฉางเฟิงเร่งสั่งให้คนไปจัดเตรียมสุราและที่นั่งไว้ในศาลายาวเพื่อเลี้ยงส่งทุกคน ทั้งยังสั่งให้นำนางระบำและนักดนตรีมาร่ายรำและบรรเลงเพลงด้วย แล้วคารวะอวยพรด้วยสุราอีกคราในฐานะเจ้าบ้านเพื่อเป็นการส่งแขกที่ต้องอำลากัน… ดังนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกว่าหนึ่งชั่วยาม ธรรมเนียมการอำลาของตระกูลเลื่องชื่อ ซึ่งยึดแบบแผนตามประเพณีโบราณที่สืบทอดกันมาจึงนับว่าเสร็จสมบูรณ์
จากนั้นเว่ยฉางอิ๋งซึ่งสวมหมวกคลุมหน้าก็ลงมาจากรถม้าของซ่งไจ้สุ่ย นาง พร้อมด้วยเว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวนส่งทุกคนด้วยสายตาด้วยความเป็นห่วงจนจากไปไกล
เมื่อเห็นว่าฝุ่นดินบนถนนหลวงค่อยๆ จางลง ทั้งคนและม้าต่างก็เดินทางไปจนมองไม่เห็นแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยกับน้องชายทั้งสองด้วยความรู้สึกใจหายว่า “พวกเรากลับกันเถิด”
เว่ยฉางเฟิงพยักหน้า พลันมีคนลากเอารถม้าเปล่าที่ก่อนนี้อยู่ท้ายขบวนเข้ามา แล้วเชิญเว่ยฉางอิ๋งขึ้นรถ ต่อมาก็มีคนจูงม้าที่เว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวนขี่มาแล้วช่วยส่งคนทั้งสองขึ้นม้า
ยามมาส่งอำลา เพื่อเป็นการแสดงความอาลัยอาวรณ์ต่อแขก แน่นอนว่าจะต้องค่อยๆ เดินทางช้าๆ ยามเมื่อเดินทางกลับเพราะแขกได้เดินทางไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องจงใจเดินทางช้าๆ อีก เพียงแต่ แม้ม้าที่เว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวนขี่นั้นจะเป็นม้าพันธุ์เลิศ แต่กลับยังต้องคอยดูแลรถที่เว่ยฉางอิ๋งนั่ง จึงเดินทางได้รวดเร็วกว่าขามาส่งแขกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
…และด้วยเหตุนี้เอง เมื่อมองเห็นศาลายาวแห่งที่สองซึ่งเคยผ่านตอนขามา บนถนนพลันมีเชือกพันขาม้า[1]ขึงขึ้นมา และทำให้องครักษ์สองนายที่อยู่หน้าสุดของขบวนสะดุดล้ม องครักษ์ที่อยู่ทางด้านหลังแม้จะตกใจ แต่กลับเป็นเพราะมิได้ควบม้ามาเต็มกำลัง จึงสามารถหลบเลี่ยงจากบทลงเลยที่ถูกเชือกพันขาม้าขึงดึงจนสะดุดล้มไปได้อย่างฉิวเฉียด
“ผู้ใดบังอาจเช่นนี้!” ในขณะที่องครักษ์ทั้งตื่นตกใจทั้งบันดาลโทสะปนเป มีคนเผลอตะโกนออกมาด้วยโทสะ แต่แล้วยังมิทันจะสิ้นเสียงคนผู้นั้น กลับมีเสียงตะโกนขึ้นมาดังลั่นว่า “ระวัง! มีคนหมายทำร้ายคุณชายและคุณหนู!”
ดังเป็นการพิสูจน์คำกล่าวนี้…สองข้างของถนนหลวงพลันบังเกิดเสียงปล่อยสายธนูดังขึ้นขนานใหญ่! จากนั้นก็มีลูกธนูสาดเข้าหาดังห่าฝน และพุ่งมายังเหล่าองครักษ์ตระกูลเว่ยที่ยังมิทันได้ตั้งตัว!
“คุ้มครองคุณชาย!” เจียงเจิงซึ่งเป็นคนตะโกนเตือนทุกคนครั้งก่อนนี้ ตะโกนเตือนเสียงดังขึ้นมาอีกครา!
เว่ยชิงหน้าซีดจนเขียว นับว่าเขาตั้งตัวได้ปราดเปรียวว่องไง แทบจะในทันทีหลังจากที่เจียงเจิงตะโกน ในวินาทีที่เสียงธนูดังขึ้นหนแรก เขาถีบตัวเองออกจากหลังม้า หมุนตัวกลางอากาศดึงเว่ยฉางเฟิงลงจากม้า ยามนี้ทั้งสองคนอาศัยอานม้ามาบังลูกธนูเอาไว้ได้พอดี ได้ยินเสียงพึบพับดังมาจากในป่าไม่ขาดสาย ด้วยอายุยังน้อย ในชั่วเวลาที่พี่ชายและน้องชายคนละบ้านเอาชีวิตรอดจากความตายมาได้จึงรู้สึกยินดีและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน!
เพียงแต่ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่อึดใจ ก็ถูกสถานการณ์วุ่นวายทั้งม้ากระทืบเสียงคนร้องทำลายเสียสิ้น ยามนี้ทั้งสองคนก็ไม่กล้าจะยื่นหัวออกไป ในขณะที่เว่ยชิงกำลังจะสั่งการให้องครักษ์ที่อยู่ใกล้ๆ ทั้งหมดลงจากม้าแล้วมาคุ้มครองเว่ยฉางเฟิง กลับเห็นว่าแม้องครักษ์ข้างกายเว่ยเกาชวนซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจะกรูกันเข้ามาหาเขา แต่เขากลับไม่รู้จักลงจากม้ามาหาที่กำบัง ยังคงกวัดแกว่งดาบปัดป้องลูกธนูที่พุ่งเข้าหาเว่ยเกาชวน ดูท่าแล้วคงคิดจะอาศัยม้าที่ตนขี่หนีเอาตัวรอด จึงได้รีบเตือนไปว่า “คุณชายสี่รีบลงจากม้า!”
แต่กลับได้ยินเว่ยเกาชวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายจะร้องไห้ว่า “หะ…เหตุใตจึงมีคนลอบทำร้าย?! ที่นี่มันถนนหลวงนะ!”
ไม่เพียงเป็นถนนหลวง ยิ่งไปกว่านั้นยังห่างจากตัวเมืองเฟิ่งโจวเพียงแค่ยี่สิบลี้เท่านั้น ในสถานที่เช่นนี้ บุตรหลานของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวกลับถูกลอบโจมตี นัยยะที่แฝงอยู่ภายในนั้นคิดเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจได้แล้วว่า…ไม่ใช่พวกโจรชั่วแห่งเขาเฟิ่งฉีมาแก้แค้นธรรมดาๆ เพียงเท่านั้น หากแต่จะต้องเป็นแผนการร้ายอันใหญ่หลวง!
เว่ยเกาชวนนั้นมิเท่าใด จะต้องเป็นผู้ที่รู้ว่าเว่ยฉางเฟิงไม่เพียงเป็นหลานชายสายเลือดตรงเพียงคนเดียวของเว่ยฮ่วน ลำพังเพียงเรื่องที่เขามีฐานะสูงส่งทั้งเปี่ยมด้วยความสามารรถ ในรุ่นหลานของฝั่งเว่ยฮ่วนก็จะต้องเป็นผู้มีความสำคัญในลำดับต้นๆ! หากไม่มีอะไรผิดคาด เขาจะต้องเป็นประมุขรุ่นต่อไปของรุ่ยอวี่ถัง… มาลอบสังหารประมุขรุ่นต่อไปของตระกูลเว่ยที่นอกเมืองเฟิ่งโจว ท่ามกลางแสงอาทิตย์ส่องยามกลางวันแสกๆ ลงมือถึงขั้นนี้แล้ว หากตระกูลเว่ยไม่มอดม้วยไปทั้งหมดก็คงไม่ยอมหยุดแน่!
…กระทั่งราชสำนัก ยังไม่กล้าทำเช่นนี้!
เว่ยชิงใคร่ครวญอย่างรวดเร็วถึงที่มาของผู้ลอบทำร้าย แล้วสั่งให้องครักษ์ที่ลงจากอานม้ามาแล้วเช่นกันรีบเข้าไปคุ้มครองเว่ยฉางเฟิง “เจ้าออกไปห่างสักหน่อยแล้วตะโกนสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินทั้งตำแหน่งหน้าที่ ขอเพียงพวกมันไม่ทำร้ายคุณชายและคุณหนู ว่ามาจะรับคำทุกสิ่ง! ต่อหน้าประมุข ข้าจะรับผิดชอบเพียงผู้เดียว!”
องครักษ์ผู้นั้นเข้าใจแล้ว จึงอาศัยจังหวะที่ทั้งคนและม้ากำลังวุ่นวาย มุ่งหน้าไปยังทางเบี่ยงข้างๆ เว่ยชิงหันหน้าไปบอกเว่ยฉางเฟิงด้วยความเคารพว่า “พวกโจรนั้นมิอาจเชื่อถือได้…คุณชาย พวกเราจะต้องออกไปจากถนนหลวง บนถนนหลวงนี้ไร้ที่กำบัง ในยามนี้ยังพอจะอาศัยม้าหลบเลี่ยงลูกธนูได้ แต่หากม้าตายหมด คงไม่แคล้ว…”
เว่ยฉางเฟิงมีสีหน้าขาวซีดขึ้นมา แขนที่ถูกเขาลากไปนั้นสั่นไม่หยุด แต่กลับถามขัดขึ้นมาว่า “ท่านพี่เล่า? ไปหาท่านพี่!” ทางหนึ่งเขาร้องตะโกนสอบถามเสียงดัง ทางหนึ่งก็คิดจะลุกขึ้นมองหารถม้าของเว่ยฉางอิ๋ง
“ยามนี้ลูกธนูดังห่าฝนยังไม่หยุดลง หากโผล่หัวไปสุ่มสี่สุ่มห้าจักต้องลูกธนูบาดเจ็บเอาได้” เว่ยชิงรีบออกแรงกดตัวเขาลง พลางกล่าวอย่างเร่งร้อนว่า “รถม้าของคุณหนูใหญ่สร้างจากไม้ถงมู่[2]ชั้นดี แข็งแกร่งทนทานยิ่งนัก ขอเพียงหลบอยู่ในมุมก็จักไม่เป็นไร… อีกประการคุณหนูใหญ่ร่ำเรียนวรยุทธตั้งแต่เล็ก วันนี้เจียงเจิงก็มาด้วยและอยู่ข้างๆ รถม้านั่นเอง เจียงเจิงถนัดการซัดดาวกระจายมาแต่ครั้งก่อน มีประสบการณ์ในยุทธภพอย่างเต็มเปี่ยม ยามนี้เกรงว่าคงจะพาคุณหนูใหญ่ถอยออกไปหลบในที่ลับตาข้างทางเรียบร้อยแล้วขอรับ!”
คำพูดของเว่ยชิงมีเหตุผล เมื่อคิดถึงพี่สาวของตนที่ไม่เคยต้องให้เป็นกังวลผู้นี้ แต่เล็กมารำเพลงทวน ฝึกกระบอง ฝึกวิชาธนู ทั้งยังห้าวหาญ สถานการณ์เช่นในวันนี้ กลับไม่มีทางไปรบกวนจิตใจดังเช่นลูกผู้พี่ซ่งไจ้สุ่ยที่อ่อนโยนบอบบาง…เว่ยฉางเฟิงตั้งสติคิดได้ดังนั้น ทั้งยังคิดถึงเจียงเจิงว่า เท่าที่ได้ยินมาเหตุที่องครักษ์เจียงผู้นี้สามารถมาเป็นครูฝึกวรยุทธให้เว่ยฉางอิ๋ง ก็ด้วยอาศัยวรยุทธที่เกี่ยวข้องกับการเป็นองครักษ์สร้างตัวขึ้นมาทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นเจียงเจิงไม่เพียงมีวรยุทธ ตระกูลของเขาสืบทอดการเป็นครูวิชาดาวกระจาย และเป็นดังคำของเว่ยชิงว่าเขามีประสบการณ์ในยุทธภพอย่างล้นเหลือหาตัวจับยาก
เมื่อมีคนเช่นนี้อยู่ข้างกายเว่ยฉางอิ๋ง บวกกับความหลักแหลมปราดเปรียวที่มีอยู่ในตัวของเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางเฟิงจึงลอบโล่งใจไป กำลังจะพูดต่อ หางตากลับมองไปเห็นเว่ยเกาชวนเหวี่ยงไปมาอยู่บนม้าแล้วก็ล้มลงมา!
เขาตื่นตกใจอย่างหนักจนหน้าถอดสี แล้วร้องออกไปอย่างไม่ทันรู้ตัวว่า “พี่สี่!”
—————————————————————-
[1] เขือกพันขาม้า เป็นเชือกยาวที่มีตุ้มถ่วงสองข้าง เมื่อโยนออกไปจะหมุนพันกัน ใช้คล้องขาม้าเพื่อทำให้ม้าของข้าศึกล้มลง
[2] ถงมู่ เป็นไม้เนื้อแข็งชั้นดีของจีน มีชื่อภาษาอังกฤษว่าพอโลเนีย (Paolownie)