ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 44.2 คนไร้มารยาท (2)
“ไปหลังกระท่อมเถอะ” เว่ยฉางอิ๋งหยุดคาดเดา แล้วเอ่ยพลางพยักหน้า
ด้านหลังกระท่อมเป็นพื้นที่ว่างเปล่ากว้างใหญ่ ไม่เพียงแค่ต้นไผ่ที่เคยทอดยาวมาตลอดทางจะถูกตัดออกแล้ว แม้แต่ต้นหญ้าก็ยังถูกถอนออกจนหมด จึงดูโล่งมาก ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีพวกงูและแมลงต่างๆ มาอาศัยอยู่บริเวณนี้ และอาจจะเข้าไปภายในบ้านได้
วันแรกบนเขา เว่ยฉางอิ๋งเคยมาดูที่หลังกระท่อมเป็นเพื่อนซ่งไจ้สุ่ยแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าทัศนียภาพที่เคยเห็นเมื่อสองวันก่อน ไม่ห่างออกไปนักกลับมีศาลาไม้ไผ่หลังหนึ่งเพิ่มขึ้นมา?
เว่ยฉางอิ๋งเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง จึงค่อยชี้ไปยังศาลาที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะสร้างขึ้นมาจากต้นไผ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป แล้วว่า “นี่คือ?”
สองสามวันมานี้ พวกของลวี่ฝางทั้งสี่นางมัวแต่สาละวนอยู่รอบกายเว่ยฉางอิ๋ง ทั้งยังเป็นกังวลว่าเมื่อกลับเข้าเมืองแล้วฮูหยินซ่งจะลงโทษพวกนางเช่นไร หรือจะมีใจไปใส่ใจเรื่องอื่น ยามนี้จึงกลับประหลาดใจถึงการปรากฏขึ้นมาของศาลาไผ่เช่นเดียวกับเว่ยฉางอิ๋ง
สิ่งนี้กลับเป็นเรื่องประหลาดเหนือการคาดเดา บ่าวชราที่ฮว่าผิงสั่งให้ตามมาด้วยก่อนเว่ยฉางอิ๋งจะออกมารู้เรื่อง ยามนี้จึงได้ขึ้นมารายงานว่า “ศาลานี้สร้างขึ้นเมื่อวาน เพราะคุณชายบอกว่าที่แห่งนี้มีทิวทัศน์งดงาม หากสร้างศาลาสักหลังไว้ก็จักยิ่งดี เมื่อฮูหยินได้ยิน จึงเรียกช่างขึ้นมาสร้างเจ้าค่ะ”
ไผ่ที่นำมาสร้างศาลาเป็นต้นไผ่ที่ตีนเขาไผ่น้อย ใช้วัสดุในท้องที่ และภูเขาก็มิได้สูง เพียงแค่เตรียมตัดไผ่ที่ตีนเขาเอาไว้ เมื่อขนส่งขึ้นมาแล้ว กำหนดที่จะปลูกสร้างในจุดที่เว่ยฉางเฟิงเลือกไว้ ใช้เวลาไม่นานก็สามารถสร้างจนเสร็จ ทั้งรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องวุ่นวายเกินไป…และแน่นอนว่าแบบของศาลาก็มิได้ซับซ้อน นั่นเพราะกระท่อมที่อยู่ด้านหน้าของศาลาก็เรียบง่าย ทั้งศาลาและตัวกระท่อมจึงเข้ากันได้พอดิบพอดี
เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยถามพลางหัวเราะว่า “เมื่อคืนนี้หรือ? ข้าคล้ายได้ยินเสียงเอะอะอยู่บ้าง”
บ่าวชราตกใจ กล่าวว่า “รายงานคุณหนู มิใช่เมื่อคืน หากแต่สร้างเสร็จตั้งแต่เที่ยงวานแล้ว เมื่อสร้างเสร็จ คุณชายห้ายังมานั่งอยู่สักพัก และกล่าวชมเชยพวกช่างด้วยเจ้าค่ะ”
“โอ้” เว่ยฉางอิ๋งเหมือนจะครุ่นคิดถึงบางสิ่ง “เช่นนั้นเสียงเอะอะเมื่อคืนนี้เป็นเรื่องใดกัน?
ครานี้แม้แต่บ่าวชราก็ยังตอบไม่ได้ พลางกล่าวอย่างละอายว่า “บ่าวนอนหลับสนิท กลับไม่ได้ยินสิ่งใดเจ้าค่ะ”
“สองสามวันนี้ก็ลำบากพวกเจาแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเห็นนางไม่รู้เรื่องจริงๆ จึงไม่ได้คาดคั้น แล้วว่า “ฉางเฟิงสั่งให้คนมาสร้างศาลานี้ ว่าไปก็สะดวกดี พวกเราไปนั่งเล่นข้างในเถิด ข้ากำลังรู้สึกเหนื่อยอยู่พอดี”
เมื่อได้ยินนางว่าเหนื่อย ทุกคนต่างตื่นเต้นขึ้นมา บ่าวชราสองนางรีบกรูเข้าไปในศาลาและเช็ดถูกรอบหนึ่ง…ศาลาเพิ่งสร้างใหม่ มีเพียงเว่ยฉางเฟิงที่มานั่งเล่นครู่เดียว ทั้งยังอยู่กลางเขาใต้ต้นไผ่ ฝุ่นดินแม้จะไม่มาก แต่มีฝนตกทั้งคืน รอบศาลามิได้มีฝากั้น มิต้องเอ่ยถึงน้ำฝนที่ซัดเข้ามาจนเปียก ยังมีใบไผ่ร่วงลงกองเต็มไปหมด
เมื่อเก็บกวาดเสร็จแล้ว จึงได้เชิญเว่ยฉางอิ๋งเข้าไปนั่ง ศาลาไผ่นี้เป็นศาลาแปดเหลี่ยม หันหน้าเข้าหาข้างลำธาร บังเกิดภาพหญิงงามที่พอดีไปสะท้อนอยู่บนผิวหน้าลำธาร เหมือนคำที่ว่าลมพัดน้ำกระเพื่อม ซึ่งบรรยายถึงภาพงดงามที่บังเอิญเกิดขึ้นอย่างพอเหมาะพอเจาะในชั่ววินาที
ลวี่ฝางหันมองไปรอบทิศ จึงเอ่ยในเชิงขอขมาว่า “ออกมาก็ลืมนำน้ำชาและของว่างสักหน่อยมาด้วย ข้าน้อยจะไปลองดูในครัว”
ห้องครัวอยู่ข้างๆ เรือนตะวันออกซึ่งเคยเป็นที่พักของเด็กรับใช้ เดินไปไม่จำเป็นต้องผ่านห้องโถงจึงไม่เป็นการรบกวนเว่ยฉางเฟิงรับแขก เว่ยฉางอิ๋งจึงได้พยักหน้า “เจ้าไปเถิด”
ลวี่ฝางนำชาร้อนและปอเปี๊ยะกลับมาอย่างรวดเร็ว เว่ยฉางอิ๋งทานไปสองชิ้น และดื่มน้ำชาหนึ่งจอก คิดในใจว่าคนที่เว่ยชิงพามาไม่รู้ว่าจะเมื่อใดจะกลับไป?
กำลังจะส่งคนเข้าไปสอบถามดู กลับเห็นว่าหลังกระท่อมห่างออกไปไม่ไกลปรากฏมีร่างของคนผู้หนึ่ง…คราแรกยังนึกว่าเป็นเว่ยฉางเฟิงส่งแขกกลับไปแล้ว จึงส่งคนออกมาเรียกตน แต่คิดไม่ถึงว่ามองอย่างละเอียดแล้ว คนที่นำหน้ามากลับคือเว่ยชิง!
และข้างหลังเขา ก็คือคนที่เพิ่งขึ้นเขามาก่อนหน้านี้!
เว่ยฉางอิ๋งตกใจ ก่อนนี้เพราะดื่มชาจึงได้พับแพรปิดหน้าขึ้นและลืมเอาลงมา พลางเอ่ยเสียงต่ำกับตนเองว่า “เว่ยชิงพาคนมาข้างหลังนี่ทำไม?”
ว่าไปแล้วเว่ยฮ่วนเลือกคนมีความสามารถมาดูแลหลานแท้ๆ ทั้งยังเป็นพี่น้องตระกูลเว่ย ไม่นับว่าเป็นเรื่องไม่ดีต่อตระกูลเว่ย ยิ่งไปกว่านั้นก็หาได้มีเสียงเอะอะดังมาจากทางกระท่อมไม่…ข้างกายเว่ยฉางเฟิงไม่เพียงมีองครักษ์นายอื่น แต่ยังมีสาวใช้เช่นพวกซินลี่ด้วย!
แต่ในเมื่อเขาไม่มีเจตนาร้ายใด แล้วจักพาคนนอกมาที่นี่ทำไมกัน?
เว่ยฉางอิ๋งกำลังเกิดความสงสัย เว่ยชิงที่อยู่ทางโน้นเองก็ดูมีอาการตื่นตระหนกเล็กน้อยเช่นกัน เขารู้ว่าวันนั้นคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยหกล้มได้รับบาดเจ็บจนลุกไม่ขึ้น แม้วันนี้จะเดินได้แล้ว แต่ก็เกรงว่าจะไม่ขยับกายไม่สะดวกนัก มิเช่นนั้นแล้วยามเมื่อได้พบกันที่ริมธาร เว่ยฉางอิ๋งก็จะไม่ได้พบกับคนแปลกหน้า ดึงแพรคลุมหน้าลง แต่กลับหยุดยืนกับที่
เมื่อพิจารณาได้ว่าคนที่ตนพามากำลังจะไปพบเว่ยฉางเฟิง และกำลังขวางทางกลับกระท่อมของคุณหนูท่านนี้ เขาไผ่น้อยก็ใหญ่เพียงเท่านี้ เกรงว่าเว่ยฉางอิ๋งจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเพราะไร้ที่จะไป กังวลใจว่ายามกลับจะยังเห็นเว่ยฉางอิ๋งยังอยู่ที่เดิม แล้วจักทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าคุณหนูตระกูลเว่ยได้พบกับชายแปลกหน้าแต่กลับไม่ยอบหลบเลี่ยง
ดังนั้นเมื่อครู่ตอนเว่ยชิงออกจากกระท่อม จึงได้บอกเป็นนัยกับคนทั้งสองว่าหลังกระท่อมมีถนนสายเล็กๆ ซึ่งมีทิวทัศน์ไม่เลว… และที่ว่าทิวทัศน์ไม่เลวนี้แน่นอนว่าเพียงพูดไปลอยๆ เท่านั้น ความจริงแล้วถนนเล็กๆ สายนี้เพิ่งจะทำเสร็จในสองวันมานี้เอง…ซึ่งก็เพื่อใช้สร้างศาลาไผ่
แม้คนทั้งสองจะเดาได้ว่าเว่ยชิงต้องการให้หลบเลี่ยงไม่ให้พวกเขาได้เจอกับนายหญิง แต่ก็ยังทำทีตอบรับคำเชิญของเจ้าบ้าน
แต่ปรากฏว่า….
กลับได้เจอกับเว่ยฉางอิ๋งอีกครั้ง!
ยิ่งไปว่านั้นครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเว่ยฉางอิ๋งดูตกใจไม่เบา ทั้งยังลืมว่าแพรปิดหน้านั้นอยู่บนหมวกครึ่งหนึ่ง แม้เมื่อปล่อยแพรนี้ลงมาจะยาวถึงอก เมื่อม้วนขึ้นครึ่งหนึ่งจึงยังปิดถึงปลายจมูก ทว่าก็ยังเผยใบหน้าครึ่งหนึ่งออกมา… หากเอ่ยถึงฐานะของคนในตระกูลใหญ่แล้ว นี่ถือว่าเป็นการถูกล่วงเกินเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นว่ามีความตกใจอยู่ในแววตาของเว่ยชิง เว่ยฉางอิ๋งจึงได้สติกลับคืนมา พลางรีบดึงเอาแพรคลุมหน้าลงมาแล้วสั่งความเสียงต่ำๆ ว่า “นางเฟิงเจ้ามาข้างหน้าข้า”
นางเฟิงเป็นบ่าวชราที่คอยติดตามคนหนึ่ง เดิมทีนางหันหลังให้กับกระท่อมอยู่ จึงไม่รู้ว่ามีคนเดินผ่านมา เมื่อได้ยินคำจึงได้หันกลับไปมองโดยมิได้ตั้งใจหนหนึ่ง และเข้าใจทันที พลางรีบก้าวเท้าขยับเข้ามา และทุกคนจึงได้พากันขยับตำแหน่งของตนโดยมิได้นัดหมาย เพื่อบังตัวเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้
แม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับรู้สึกร้อนใจเป็นหนักหนา ลอบคิดว่าอีกสักประเดี๋ยวจักต้องไปถามเอาความกับฉางเฟิงให้จงได้ จะพักฟื้นทั้งทีเหตุใดจึงอยู่สงบไม่ได้ ยังมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่นำคนที่ใดก็ไม่รู้ขึ้นเขามา แล้วไม่ว่าจะเป็นหน้ากระท่อมหลังกระท่อมก็ยังให้ได้พบกับตนอีก?
ขณะที่นางกำลังบีบถ้วยชาอย่างขัดเคืองอยู่นั้น กลับเห็นว่าคนทั้งสามที่เดิมทีเดินผ่านไปแล้วหันกลับมาและตัดสินใจจะลงเขาตามเส้นทางเดิม ชายชุดฟ้าอมเขียวก็กลับหันมามองอีกครั้ง…การกระทำนี้เว่ยฉางอิ๋งลอบมองเห็นจากใต้แขนเสื้อของนางเฟิง ยิ่งทำให้นางโกรธขึ้นไปอีก แต่ไม่คิดว่าที่ชายชุดฟ้าอมเขียวหันกลับมามองหนนี้ ไม่ได้รีบหลบตาแล้วเร่งตามพวกพ้องไปในทันทีเช่นคราวก่อน หากแต่เขามีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด แล้วตะโกนเสียงดังว่า “อย่าขยับ!”
เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง แต่กลับเห็นว่าในมือของเขามีแสงสว่างวาบ และพุ่งตรงเข้ามาบนศีรษะของตน!
___________________________