ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง - ตอนที่ 44.1 คนไร้มารยาท (1)
ขณะที่เว่ยฉางอิ๋งคาดเดาสถานของคนสองคนที่ขึ้นมาบนเขากับเว่ยชิงอยู่นั้น คนทั้งสองก็สังเกตเห็นนางแล้ว…บนเขาไผ่น้อยสีเขียวมรกตนี้ เสื้อคลุมยาวสีแดงทับทิมที่เว่ยฉางอิ๋งสวมทับอยู่เป็นที่สังเกตยิ่งนัก ข้างกายนางยังมีสาวใช้คอยปรนนิบัติอีกสี่นาง ล้วนมิได้แต่งกายอย่างสามัญชน เห็นได้ว่ามิใช่หญิงสาวทั่วไป
แม้เมื่อได้ยินเสียงกระแอมแล้ว เว่ยฉางอิ๋งไม่ทันรู้ตัวก็ดึงผ้าแพรคลุมหน้าลงในทันใด แต่ลมภูเขาที่พัดโชย ยามนางมองไปตามเสียง ผ้าแพรปิดหน้าก็ถูกพัดขึ้นอีกครา เว่ยฉางอิ๋งรีบยกมือขึ้นกดทับลงมา ในแขนเสื้อกว้างพลิ้วไหว เผยให้เห็นนิ้วงามดังหยกของนางตัดกับผ้าสีแดงทับทิมฉูดฉาด ช่างงามผุดผ่องอ่อนโยน หากแต่มือไม้ของนางไวนัก ทว่าแม้ผ้าแพรคลุมหน้าที่บางเบาจะถูกกดเอาไว้แล้ว ก็กลับปลิวม้วนขึ้นไปบนใบหน้า ยังคงเผยให้เห็นข้างแก้มและปลายคางขาวราวหิมะ
ผิวผ่องดังหิมะ อาภรณ์สีแดงสด รอบกายกลับเป็นป่าไผ่สีเขียวมรกต เพราะมีฝนตกเมื่อคืน จึงทำให้มีหยดน้ำสะท้อนดังมรกตส่งประกาย
ร่างในชุดแดงท่ามกลางสีเขียวที่แวดล้อมอยู่ อาภรณ์ปลิวไหวดังจะลอยขึ้นไปตามลมในป่าไผ่
แม้มิได้เห็นใบหน้าทั้งหมด แต่ยามนางปรายตามาอย่างตื่นตระหนกเพียงครั้ง ก็ได้ลอบเห็นความงามของนางจากมุมนี้แล้ว และเพราะมุมนี้จึงยิ่งทำให้สามารถจินตนาการไปได้ว่าใบหน้าที่แท้จริงภายใต้ผ้าแพรคลุมหน้านั้นงดงามประหนึ่งเทพธิดาในสวรรค์ชั้นใด การเผชิญหน้าครานี้เป็นดังตำนานแห่งป่าเขา ราวกับจะทำให้คนเคลือบแคลงใจว่าได้พบกับเทพธิดาที่ลงมากินดื่มเมฆหมอกบนเขาจริงๆ
ภาพที่แจ่มแจ้งเพียงนี้ ช่างน่าประทับใจเสียเหลือเกิน
คนทั้งสองที่ตามเว่ยชิงขึ้นมาบนเขาต่างอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสักหลายหน
เพียงแต่สายตาประหลาดใจที่มองมาครานี้ ก็ต้องสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้แล้ว…เมื่อลวี่ฝางสังเกตได้ว่ามีคนนอกเข้ามาใกล้ จึงรีบก้าวมาข้างหน้าบังตัวเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ ลวี่ฉือและลวี่ปิ้นก้าวมาจัดแจงผ้าแพรปิดหน้าของนายอย่างรวดเร็ว
ความจริงแล้ว…
สาเหตุที่เว่ยชิงกระแอมไอในตอนแรก นอกจากจะเป็นการเตือนให้เว่ยฉางอิ๋งเอาแพรปิดหน้าลงแล้ว ก็ต้องการจะส่งสัญญาณให้เว่ยฉางอิ๋งกลับไปที่กระท่อมด้วย แต่ยามนี้แม้เว่ยฉางอิ๋งจะเดินเหินได้ ทว่าแต่ละก้าวก็ยังไม่มั่นคง หากมีเพียงเว่ยชิงคนเดียว นางกลับมิได้ใส่ใจใดๆ แต่สถานะของสองคนที่ขึ้นเขามากับเว่ยชิงนั้นไม่แน่ชัด นางจึงไม่ยอมให้คนแปลกหน้าเห็นท่าทางเดินแข็งทื่อของตน หลังจากจัดแพรคลุมหน้าเรียบร้อยแล้วจึงกลับไม่ได้เดินไปไหน
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ คนที่ตามเว่ยชิงขึ้นเขามา จึงได้ลองสอบถามดู “ผู้ที่อยู่ริมธาร จักสะดวกให้เข้าไปคราวะหรือไม่?”
คำกล่าวนี้หาได้เป็นการล่วงเกินไม่ เพราะแม้เว่ยฉางอิ๋งจะสวมเสื้อผ้าสีฉูดฉาด สาวใช้ข้างกายก็ยังอายุเยาว์ และสวมหมวกคลุมหน้า มองไม่เห็นว่านางเกล้าผมแบบใด และไม่รู้ว่านางออกเรือนแล้วหรือไม่…เมื่อคืนเว่ยชิงบอกพวกเขาว่าบนเขามีนายผู้หญิงอยู่ แม้แต่เว่ยฉางเฟิงยังต้องพักอยู่นี่เพราะนายหญิงผู้นี้ ยามนี้เห็นได้ชัดว่าหญิงผู้นี้เห็นว่ามีคนมา แต่กลับไม่ได้จากไป ผู้ใดเล่าจะรู้ว่านายหญิงผู้นี้จะใช่ผู้อาวุโสของตระกูลเว่ยหรือไม่? ที่รั้งรออยู่เช่นนี้ อาจกำลังรอให้พวกเขาเข้าไปคารวะและต้องการสอบถามก็เป็นได้?
แต่เว่ยชิงกลับรู้ว่าเป็นเว่ยฉางอิ๋ง จึงได้ส่ายหน้า “นั่นคือคุณหนูของบ้านข้า คาดว่าคงตื่นเช้าและเห็นว่ารอบๆ นี้ไม่มีคน จึงได้มาพักผ่อนที่ริมธาร”
ในเมื่อมิใช่ผู้อาวุโส ทั้งยังเป็นหญิงสาว จึงไม่ควรจะเข้าไป ผู้ที่เอ่ยถามก่อนหน้านี้จึงรีบคำนับขอขมา “อี้หรานล่วงเกินแล้ว”
“คุณชายกู้เกรงใจเกินไปแล้ว” เว่ยชิงยิ้มอย่างอ่อนโยน คิดในใจว่าคนพวกนี้มาขอหลบฝนบนเขาไผ่น้อยเมื่อคืน แต่กลับถูกองครักษ์ตระกูลเว่ยกันไว้ หลังจากเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย จึงมีคนขึ้นเขามารายงาน ตนเองกับเว่ยฉางเฟิงลงไปจัดการ… ตอนนั้นน่าจะเป็นยามเค่อชู[1] จำได้ว่าในห้องนอนต่างดับไปจนมืดหมดแล้ว คิดว่าคุณหนูทั้งสองเขานอนเร็ว จึงยังไม่รู้เรื่องนี้
มิเช่นนั้น เว่ยฉางอิ๋งจะต้องไม่ออกมายืนเหม่อที่ริมธารซึ่งอยู่ติดกับทางเดินบนเขาในเวลานี้เป็นแน่
เดิมทีหากกู้อี้หรานผู้นี้ไม่ได้เอ่ยปาก เพราะเว่ยฉางอิ๋งและพวกเขานั้นอยู่ห่างกันระยะหนึ่ง เว่ยชิงจึงตัดสินใจจะเดินผ่าน แต่ในเมื่อยามนี้เขาเอ่ยปากถามแล้ว เว่ยชิงจึงไม่อาจทำเป็นมองไม่เห็นเว่ยฉางอิ๋งอีกต่อไป พลันประสานมือโค้งตัวไปทางริมธารเป็นการคราวะอยู่ไกลๆ
เมื่อเห็นเขาทำเช่นนั้น กู้อี้หรานและคนอีกคนจึงได้คารวะอยู่ไกลๆ ตามไปด้วย
เว่ยฉางอิ๋งเห็นดังนั้นจึงยิ่งแน่ใจว่าคนทั้งสองเป็นคนนอก นางประคองหมวกคลุมหน้าเอาไว้ แล้วคารวะกลับไปหนหนึ่ง น่ารำคาญที่ยามนี้ตนเองเดินได้ไม่เร็ว อยากจะกลับไปที่กระท่อมก่อนคนทั้งสามก็ทำไม่ได้ จึงทำได้เพียงลอบถอนใจ แล้วเอ่ยกับคนที่อยู่สองข้างว่า “พวกเราไปเดินเล่นทางด้านหลังสักหน่อย เว่ยชิงพาสองคนนั้นขึ้นมาบนเขา จะต้องไปหาฉางเฟิงเป็นแน่ รอให้พวกเขาไปเสียก่อนค่อยกลับกระท่อม”
ในกระท่อมมีประตูที่ห้องโถงเพียงประตูเดียว หากเป็นในยามปกติเว่ยฉางอิ๋งคงมีความคิดจะปีนเข้าทางหน้าต่าง แต่ตอนนี้บาดเจ็บ จึงทำได้แต่หลบเลี่ยงเอาเท่านั้น
…เพียงแต่คนนอกสองคนนี้ มาหาฉางเฟิงแต่เช้าเช่นนี้เพราะเหตุใดกัน? เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ อาศัยหมวกปิดหน้าบังเอาไว้ และคอยสังเกตพวกเขาอย่างละเอียดผ่านแพรปิดหน้า
ผู้ที่พูดจากับเว่ยชิงสองประโยคนั้นสวมชุดเซินอีที่เป็นชุดยาวติดกันสีเขียวไผ่ ท้องแขนเสื้อกว้างผ้าคาดเอวใหญ่ บนศีรษะสวมหมวกสีเขียวไผ่ กลับเข้ากันกับเขาไผ่น้อยแห่งนี่เอามากๆ เพราะมีแพรปิดหน้ากั้นอยู่ กอปรกับเว่ยฉางอิ๋งก็เกรงใจที่จะเอาแต่จ้องมองเขา จึงได้แต่รีบเบือนเฉพาะใบหน้าไป ดูเผินๆ จึงคล้ายกับยังมองตรงมา
ผู้ที่ไม่ได้พูดจากคนนั้นมิได้เป็นข้าราชสำนัก รูปร่างคล้ายกับเว่ยชิง สวมเซินอีชุดยาวติดกันสีฟ้าอมเขียว มีหยกโค้งรัดมวยผม คนแปลกหน้าสองคนนี้ดูมีสง่าราศีไม่ธรรมดา เสื้อแขนกว้างรองเท้าพื้นสูงเดินไปบนเขาที่มีใบไม้ร่วงอยู่เต็ม ดูมีท่วงทีสง่าอย่างขุนนางชั้นสูงที่มาท่องเที่ยวบนเขายิ่งนัก
เนื่องจากตอนที่เว่ยฉางอิ๋งถูกทำให้ตกใจนั้น นางหันไปมองเว่ยชิงก่อน เห็นคนชุดสวมเสื้อตัวยาวสีเขียวไผ่พูดกับเว่ยชิงทั้งยังมองมา…ครานี้จึงไม่กล้ามองไปทางชายชุดฟ้าอมเขียวผู้นั้นแล้ว และมิทันได้เห็นหน้าตาของเขาอย่างถนัดตา
แล้วชายชุดฟ้าอมเขียวนั้นดูคล้ายคุณชายสูงศักดิ์ แต่ท่าทางกลับดูไม่สำรวม แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยคำใดยามได้เห็นเว่ยฉางอิ๋ง แต่กลับดูสนใจเว่ยฉางอิ๋งเป็นพิเศษ กระทั่งเมื่อเดินผ่านไปยังเหลียวหลังกลับมาดูอีกครา พอดีกับที่เว่ยฉางอิ๋งเองก็มองไปทางพวกเขาด้วยความใคร่รู้เหลือล้น สายตานี้ ทำให้ทั้งสองต่างตื่นตระหนก แล้วต่างหันเหสายตาไปในทันใด…
เว่ยฉางอิ๋งตั้งสติ แล้วเมื่อมองไปอีกครา กลับเห็นเว่ยชิงได้พาพวกเขาเข้ากระท่อมแล้ว
‘ดูการแต่งกายและกริยาของเว่ยชิงแล้ว สองคนนี้จะต้องเป็นคนในตระกูลใหญ่ไม่ก็ตระกูลขุนนาง’ เว่ยฉางอิ๋งนึกสงสัยอยู่ในใจ ‘เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องใดกันที่คนของตระกูลใหญ่พวกนี้กลับไม่ไปเข้าพบท่านอาหรือท่านปู่ มาหาฉางเฟิงด้วยเหตุใด? ดูพวกเขาก็ไม่เหมือนจะมีเรื่องเร่งร้อนอันใด…หากไม่มีเรื่องเร่งร้อน บนเขาลูกนี้ในยามนี้ก็มีข้าและท่านพี่พักรักษาตัวอยู่ ทั้งพวกเขาก็ไม่คุ้นหน้ายิ่งนัก เหตุใดฉางเฟิงและเว่ยชิงจึงอนุญาตให้พวกเขาขึ้นมาเล่า?”
ลวี่ฝางเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งบอกจะไปหลบที่หลังกระท่อม แต่นางกลับยืนอยู่กับที่ไม่ส่งเสียงใด รออยู่เกือบเค่อจึงได้เอ่ยถามเบาๆ “คุณหนู?”
[1] ยามเค่อชู เป็นเวลาประมาณ 21.00 น.