เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ทั้งโรงพยาบาลถูกปิดล้อมไว้หมดแล้ว
“นายน้อย” ทุกคนทำความเคารพ หยูอันกับหลี่สือเองก็อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน
เฉิงหมิงถลาเข้ามารับจากห้องโถง “นายน้อย อาการคุณไฟไม่ดีเท่าไหร่”
เย่เซียวหน้านิ่ง “ข่ายปืนว่ายังไงบ้าง?”
“น่าจะ…เหลือเวลาไม่มากแล้ว ทุกคนต้องเตรียมใจไว้ให้ดี”
เย่เซียวหายใจหนักอึ้งเล็กน้อยไม่ตอบ
“ตอนนี้ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว รีบขึ้นไปก่อนเถอะครับ” เฉิงหมิงปรายตามองไป๋ซู่เย่อีกที “คุณไป๋ ตอนนี้อาการของคุณไฟยังไม่คงที่ ผมกังวลว่าถ้าเจอคุณจะทำให้ท่านอารมณ์พลุ้งพล่าน ฉะนั้น…รบกวนคุณรออยู่ชั้นล่างเถอะ”
เย่เซียวกุมมือไป๋ซู่เย่แน่น หันกลับไปมองเธอ “ให้หยูอันส่งคุณกลับโรงแรมก่อน โรงพยาบาลหนาว อย่ารออยู่นี่”
“ได้ คุณไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ไปดูพ่อบุญธรรมคุณสำคัญกว่า”
เย่เซียวพยักหน้ารับ หันไปสั่งหยูอันก่อนถึงค่อยเดินขึ้นไปชั้นบนตามเฉิงหมิง
………………
เย่เซียวยืนมองพ่อบุญธรรมที่นอนห้อมล้อมด้วยสายระโยงระยางบนเตียงคนไข้ในห้อง จู่ๆ ก็รู้สึกว่านี่คือจุดจบของชายผู้แกร่งกล้าหนึ่งคน ช่วงเวลารุ่งโรจน์ในอดีตหายวับไม่เหลือแม้แต่เงา นอนอยู่ตรงนั้นเป็นเพียงคนแก่แสนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
อีกทั้งยังเป็นคนแก่ขี้เหงาเสียด้วย
เย่เซียวเดินเข้าใกล้ สามารถเห็นถึงดวงตาที่อ้าออกเล็กน้อยของเขามีแสงวาวสะท้อนอยู่ ดูท่าทางน่าสงสาร
เฉิงหมิงถอนหายใจพูดเสียงเบา “ช่วงนี้คุณไฟฝันถึงคนรักเก่าของท่านบ่อยๆ สุขภาพก็แย่ลงทุกที”
เย่เซียวไม่ตอบ
“ความจริงอาจจะเพราะคุณไฟรู้สึกเสียใจไม่มากก็น้อย ตอนที่เลือกฆ่าเด็กผู้หญิงคนนั้นด้วยตัวเองท่านไม่รู้ว่าผู้หญิงท้องลูกของท่านอยู่ ถ้าตอนนั้นคุณไฟไม่เลือกลงมือ ตอนนี้คงมีลูกหลานรอบล้อมไปแล้วสินะ!”
นี่เป็นครั้งแรกของเย่เซียวเช่นกันที่รับรู้เรื่องเด็ก ใบหน้าเรียบนิ่งที่ไม่เปิดเผยความรู้สึกฉายแววตะลึงเล็กน้อย
“แต่คนเราน่ะ ต้องมีเสียสละบ้าง ถ้าตอนนั้นไม่เลือกทำอย่างนั้น ตอนนี้ความร่ำรวยเหนือกว่าใครคงไม่ใช่ของคุณไฟ” เฉิงหมิงเงียบไปอึดใจ มองเย่เซียว “นายน้อย ตอนนี้คุณยังอายุน้อย ทางเลือกในชีวิตทุกย่างก้าว คุณต้องคิดให้ดี เมื่อก่อนคุณไฟหวังอยากให้คุณเดินตามทางของท่านมากกว่า แต่ตอนนี้…เส้นทางนี้ คิดว่าตัวท่านเองยังรู้สึกลำบากแทบแย่”
เฉิงหมิงเฝ้ามองเย่เซียวเติบโตเลยรู้สถานการณ์ในขณะนี้ของเย่เซียว จึงอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนสักหน่อย
เย่เซียวทำหน้านิ่งสายตาล้ำลึก สุดท้ายกล่าวเสียงเรียบ “ผมไม่มีวันเดินตามทางพ่อบุญธรรม”
เพราะหากมีวันนั้นจริงๆ…วันที่เธอทรยศหักหลังเขาอีกครั้ง เขาจะลงนรกไปพร้อมกับเธอ!
ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ใช่อย่างพ่อบุญธรรม อยู่กับความเหงาไปตลอดชีวิต เขาไม่อาจทนไหวได้
………………
เวลาตีสี่
เมื่อเย่เซียวลงมาจากชั้นบนเห็นคนที่อยู่ที่โถงโรงพยาบาลก็ใจบีบรัด จากนั้นเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายบางอย่างตีตื้นขึ้นมาในส่วนลึกของหัวใจเขา
เวลานี้แล้วแท้ๆ อีกทั้งอากาศยังหนาวเย็นขนาดนี้เธอกลับยังอยู่
ข้างในใส่เสื้อโค้ทและข้างนอกใส่เสื้อกันหนาวที่เขาเพิ่งซื้อให้ ร่างเพรียวเดินวนไปมาอยู่ห้องโถงใหญ่ทำให้เห็นเพียงแผ่นหลังของเธอ แต่แค่ภาพแผ่นหลังนั่นเปรียบเสมือนภาพทิวทัศน์อันงดงามที่ทำเขามองไม่กะพริบตา
“ซู่ซู่” เขาอ้าปากเรียกเสียงติดแหบเล็กน้อย
ได้ยินเสียงของเขาเธอถึงหันกลับมา เห็นเขา เธอก็จุดยิ้มทั้งที่ยืนอยู่ตรงที่เดิม “ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
เย่เซียวมองเธอด้วยแววตาล้ำลึก
ห้องโถงโรงพยาบาลหนาวเย็นอย่างมาก แม้เธอจะมีผ้าพันคอพันอยู่แต่ใบหน้าก็แดงเถือกเพราะความเย็น
เย่เซียวย่ำเท้าเดินไปจับมือเธอมากุมไว้ เย็นเฉียบอย่างที่คิดไม่มีผิด
“ผมให้หยูอันส่งคุณกลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” เย่เซียวมุ่นคิ้ว “เขาทำงานยังไงกัน?”
“คุณอย่าโทษเขา แล้วก็อย่าเพิ่งโกรธ ฉันไม่ยอมไปเอง เขาจะแบกฉันไปก็ไม่ได้”
เย่เซียวมองเธออย่างล้ำลึกอีกที จับมือเธอมาซุกเสื้อเชิ้ตของเขา มือที่เย็นเฉียบของเธอแนบตัวที่ร้อนระอุของเขา ไป๋ซู่เย่กลัวทำเขาหนาวเลยชักมือกลับแต่กลับถูกเขากำไว้แน่น “นิ่งๆ อย่าขยับ”
ไป๋ซู่เย่เลยไม่ขัดขืนอีก เพียงแค่แหงนหน้าเชยตามองเขาอย่างปวดใจ
ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืน คืนนี้ก็อยู่โรงพยาบาลมาจนถึงป่านนี้ สุขภาพจะแย่เอาได้
“ทำไมไม่กลับ?”
“ยังไงฉันกลับไปคนเดียวก็นอนไม่หลับ อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนคุณดีกว่า”
“ดีอะไร? หนาวจนตัวแข็งขนาดนี้แล้ว” เย่เซียวทำหน้าไม่พอใจหน่อยๆ
ไป๋ซู่เย่สูดจมูก “เราจะยืนอยู่ตรงนี้จนฟ้าสว่างเลยเหรอ?”
“กลับโรงแรม”
ไป๋ซู่เย่ชักมือออกจากเสื้อเขาแล้วมานวดหัวเข่าตัวเอง “หัวเข่าเย็นจนไม่ฟังคำสั่ง…”
เย่เซียวไม่พูดพร่ำทำเพลงพลางช้อนตัวเธอขึ้นทันที เธอหลุดเสียงตกใจเล็กน้อยรีบโอบลำคอเขาไว้แน่น “คุณอุ้มฉันแบบนี้ ลูกน้องข้างนอกของคุณ…”
“ความจริงใจพวกเขารู้ดี”
เพียงแค่…
เรื่องพวกนี้ยังไม่มีการเปิดอกคุยกัน แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่จะเกิดในไม่ช้าก็เร็ว
ไป๋ซู่เย่แนบหน้าที่หนาวเย็นกับอกเขา คอยฟังเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะของเขา คอยสัมผัสถึงไออุ่นจากตัวเขาถึงรู้สึกว่าร่างกายกำลังค่อยๆ กลับมาอุ่นเหมือนเดิม
“คุณไฟเป็นยังไงบ้าง?” เธอถามเมื่อขึ้นรถ
เย่เซียวนั่งคาดเข็มขัดให้เธออยู่ตรงตำแหน่งคนขับ ได้ยินเธอถามเลยเชยตามองเธอแวบหนึ่ง “คุณหวังว่าท่านจะเป็นยังไง?”
ไป๋ซู่เย่รู้ว่าเย่เซียวกำลังถามตัวเธออย่างจริงจัง “ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันไม่มีทางสงสารท่าน ตอนนี้…”
เธอหยุดชะงัก มองเย่เซียวด้วยแววตาจริงจัง“ฉันไม่อยากให้ท่านเป็นอะไร เพียงเพราะเป็นพ่อบุญธรรมของคุณ ความรู้สึกที่คุณมีต่อท่าน ฉันกำลังพยายามให้รู้สึกเหมือนกันอยู่”
เย่เซียวใจสั่นวูบไหวและตาวาววับชั่วขณะ เขากุมมือเธอแน่นไล้ปลายนิ้วโป้งตรงหลังมือเธอแผ่วเบา มีสิ่งที่ต้องการพูดมากมายแต่กลับพูดไม่ออกชั่วขณะ
เขารู้ว่าเธอกำลังพยายามเอาใจเขา
เธอกำลังลองเปิดใจรับ บุคคลรวมถึงเรื่องราวที่อดีตเธอไม่เคยรับได้
หากว่า…
ทุกอย่างนี้มาจากเบื้องลึกของจิตใจเธอไม่ใช่การแสดงละครล่ะก็
“เย่เซียว?” เห็นเย่เซียวเหม่อ เธอเลยเรียกเขาที
เขาหลุดจากภวังค์ ส่ายศีรษะ “คุณพ่อยังอยู่ต่อได้อีกระยะ แต่คงยากถ้าจะอยู่นานกว่านี้”
ไป๋ซู่เย่ไม่มีคำพูดปลอบโยนใดๆ เย่เซียวผ่านเรื่องราวที่ต้องลาจากมามากเกินไป เขารู้ดีว่าควรปรับสภาพจิตใจตัวเองอย่างไร ส่วนสิ่งที่เธอทำได้มีแค่อยู่เคียงข้างเขา
——————
หลายวันต่อมาขอแค่ไป๋ซู่เย่มีเวลาว่างก็จะไปเยี่ยมไฟเรนเซ่ที่โรงพยาบาลพร้อมกับน้ำซุปที่ต้มเองกับมือ
สองวันแรกขอแค่ไฟเรนเซ่มีแรงก็จะเป็นปรปักษ์กับเธอ ปัดน้ำซุปที่เธอพกมาหกเต็มพื้น ไป๋ซู่เย่เองก็ไม่ย่อท้อ ไปเยี่ยมอย่างสม่ำเสมอ
สองวันหลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าเพราะเขาหมดแรงที่จะต่อต้านเธอหรือยอมแพ้กับความดื้อด้านของเธอ อย่างไรเสียเขาไม่ได้มีท่าทีดุดันต่อเธออีก แถมยังยอมทานซุปอย่างไว้หน้า เวลาอารมณ์ดีก็จะร้องขอเมนูน้ำซุปกับเธอด้วยตัวเอง
ไป๋ซู่เย่มีความอดทน ยอมให้เขาตำหนิและทำการปรับเปลี่ยนในอีกวันก็เพียงพอ
……………………
MANGA DISCUSSION