เปลี่ยนชีวิต พลิกชะตารัก - ตอนที่ 245: คุกเข่าหรือไม่คุกเข่า?
“ได้ ฉันจะจำไว้ วางใจได้”
เฉินเยี่ยนพยักหน้ากับซินหลาน แสดงความขอบคุณ
ซินหลานดีใจเป็นพิเศษ รู้สึกว่าตัวเองได้ช่วยพี่สะใภ้ ถือว่าเป็นประโยชน์
“อีกหน่อยมีเรื่องแบบนี้เธอต้องบอกฉันมากหน่อย ฉันเพิ่งแต่งเข้าบ้านมามีอีกหลายเรื่องที่ฉันไม่รู้”
เฉินเยี่ยนรู้ความคิดของสาวน้อย เธอต้องการทำให้เธอรู้สึกว่ามีคุณค่า
“อืม พี่สะใภ้วางใจได้ ฉันจะคอยเตือนพี่ค่ะ”
สาวน้อยพยักหน้ารับปาก
เฉินเยี่ยนยิ้มให้เธอ ภายในชั่วเวลาหนึ่งความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ใกล้ชิดกันขึ้นมามาก
ถึงวันที่ทำความรู้จักญาติ พี่สะใภ้ในครอบครัวชื่อเหลียนจือพาเฉินเยี่ยนไปทำความรู้จักญาติ ทุกคนที่บ้านซินไม่สามารถตามไปด้วยได้ เลยรออยู่ที่บ้าน
มาถึงบ้านป้ารองที่อยู่ใกล้บ้านซินมากที่สุด
ป้ารองกระตือรือร้นมาก จูงเฉินเยี่ยนไปแล้วชวนคุยมากมาย จากนั้นให้เฉินเยี่ยนมาห้าสิบสตางค์
เฉินเยี่ยนยิ้มขอบคุณ จากนั้นก็ตามพี่สะใภ้ไปอีกบ้าน
ทำแบบนี้หลังจากครบสิบบ้าน ด้านหลังเฉินเยี่ยนไม่ได้มีแค่พี่สะใภ้เหลียนจือคนเดียวแล้ว ยังมีตามมาอีกสี่ห้าคน ตามมาดูให้ครึกครื้น
พี่สะใภ้เหลียนจือพาเฉินเยี่ยนมายืนอยู่หน้าประตูบ้านหนึ่ง
ประตูใหญ่ของบ้านนี้ดูชำรุดทรุดโทรม กำแพงก็ไม่ดี ตัวบ้านก็ดูเก่ามาก
เฉินเยี่ยนเห็นพี่สะใภ้เหลียนจือขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบคนบ้านนี้
หรือว่านี่คือบ้านของอาเฉิยวเฟิ่ง
เฉินเยี่ยนเดาในใจ
“หรือว่าพวกเราค่อยมาบ้านอาเฉียวเฟิ่งของเธอตอนขากลับดีกว่าไหม?”
ในใจของพี่สะใภ้เหลียนจือรู้สึกกลัว เธอกลัวว่าวันนี้อาเฉียวเฟิ่งจะทำให้เฉินเยี่ยนเสียหน้า แบบนี้เธอคนที่พาเฉินเยี่ยนมาก็ดูไม่ดีเช่นกัน
“ฉันแล้วแต่พี่สะใภ้ค่ะ”
เฉินเยี่ยนไม่สนใจ
“อย่าเลย คนนี้เดิมทีก็ชอบคิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว ชอบหาเรื่อง ถ้าข้ามเธอไป แล้วมาตอนสุดท้าย ไม่แน่เธออาจจะว่าอะไรก็ได้ ต้องทำให้เจ้าสาวคนใหม่เสียหน้าแน่”
มีคนข้างๆ พูดขึ้นมา ไม่เห็นด้วยกับคำพูดพี่สะใภ้เหลียนจือ
พี่สะใภ้เหลียนจือคิดดูแล้ว เป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอมองเฉินเยี่ยน จากนั้นสูดลมหายใจแล้วเคาะประตู ในใจกลับแอบบ่น รู้ว่าวันนี้จะมีคนมาหา บ้านอื่นเขารีบเปิดประตู หรือไม่ก็รออยู่ที่หน้าประตู อาเฉียวเฟิ่งนี่จริงๆ เลย จะต้องปิดประตูบ้าน ทำอะไรให้เรื่องมาก
“พี่สะใภ้ พี่สะใภ้เปิดประตูหน่อย”
พี่สะใภ้เหลียนจือเคาะประตูไปก็เรียกไป
เฉินเยี่ยนรู้สึกว่าพี่สะใภ้เหลียนจือเหมือนกำลังเข้าเครื่องประหาร น่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ?
“ใครน่ะ”
ผ่านไปสักพัก ตอนที่พี่สะใภ้เหลียนจือกำลังจะถอดใจ ก็มีเสียงตอบกลับมา
“ฉันเอง เหลียนจือ”
พี่สะใภ้เหลียนจือตอบ แล้วยังมองเฉินเยี่ยน เฉินเยี่ยนรู้สึกได้ถึงความสับสนในแววตาเธอ
“มาแล้ว ไม่ต้องเคาะแล้ว ประตูเสียหมดแล้วเนี่ย”
คนด้านในพูดตอบ พร้อมกับเปิดประตู
ฟังจากเสียงแล้วดูเป็นคนเคร่งขรึมจริง เฉินเยี่ยนคิดในใจ
ประตูเปิดออก เห็นผู้หญิงที่เดินออกมา เฉินเยี่ยนเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงได้กลัวอาเฉียวเฟิ่งคนนี้
อาเฉียวเฟิ่งหน้าตาไม่แย่ แต่โหนกแก้มเธอสูงมาก รูปหน้าเลยดูเด่นขึ้นมา
อีกอย่างหางตาเธอเลิกขึ้นเล็กน้อย ทำให้แลดูเป็นคนร้ายกาจ
อีกทั้งเธอผิวคล้ำ พอจ้องก็ดูน่าตกใจ
คนนี้น่าจะไม่ค่อยชอบยิ้ม เฉินเยี่ยนเห็นร่องแก้มลึกของอาเฉียวเฟิ่ง
อาเฉียวเฟิ่งมองคนที่อยู่หน้าประตู สีหน้ายิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่
“คุณอา นี่คนจากบ้านซินมาทำความรู้จัก คนบ้านซิน เร็วเข้า นี่คืออาเฉิยวเฟิ่ง เรียกเธอเร็ว”
พี่สะใภ้เหลียนจือฝืนฉีกยิ้มออกมา
เฉินเยี่ยนรู้สึกได้ถึงสายตาของอาเฉียวเฟิ่งที่ประเมินมองดูเธอ
“คุณอา”
เฉินเยี่ยนเรียกเธอ ไม่ขวยเขิน และยิ้ม นี่อยากจะขู่ให้ตัวเองกลัวหรือ? ไม่มีทาง
อาเฉิยวเฟิ่งพยักหน้าแบบขอไปที จากนั้นก็ยืนอยู่ตรงนั้นไม่พูดอะไร
“คุณอา ดูสิ เดี๋ยวพวกเราต้องไปบ้านอื่นต่อนะ”
ความหมายของพี่สะใภ้เหลียนจือคือให้เธอรีบให้เงินมา พวกเราจะได้ไป สองฝ่ายไม่ต้องเคืองกัน
“รีบอะไร เธอยังไม่ได้คุกเข่าทำความเคารพเลยไม่ใช่หรือ? เด็กวัยรุ่นสมัยนี้นี่นับวันยิ่งไม่รู้จักมารยาทเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อน มีหรือต้องมาเตือน?”
อาเฉียวเฟิ่งทำหน้าไม่พอใจ สายตาที่จ้องเฉินเยี่ยนนั้นทำให้รู้สึกอึดอัด
“นี่สมัยไหนแล้ว คุณอา ดูสิ ไปมาตั้งหลายบ้าน ไม่เห็นมีบ้านไหนเรียกให้คุกเข่าเลย”
พี่สะใภ้เหลียนจือโอดครวญในใจ ทำไมถึงต้องมีบ้านนิสัยแบบนี้นะ
“ฉันไม่สนใจคนอื่น มาบ้านฉันก็ต้องคุกเข่าคำนับ ไม่อย่างนั้นฉันไม่ยอมรับ”
อาเฉียวเฟิ่งพูดจริงจังมาก น้ำเสียงเฉียบขาด ไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนข้อเลยสักนิด
พี่สะใภ้เหลียนจือมองเฉินเยี่ยนอย่างลำบากใจ
เฉินเยี่ยนยิ้ม ไม่รีบร้อนเลย และไม่โกรธด้วย คนในโลกมีมากมาย มีครบหมดทุกประเภท ไม่แน่ว่าเวลาไหนคุณจะได้เจอคนที่ไม่เหมือนใคร คนข้างหน้าก็แค่อีกคนหนึ่ง แต่เธอเจอคนมาไม่น้อย แม้แต่เรื่องเกิดใหม่ยังผ่านมาแล้วเลย ประสาอะไรกับเรื่องอื่น
“ไม่อย่างนั้น…”
พี่สะใภ้เหลียนจือกระซิบพูดกับเฉินเยี่ยน
เฉินเยี่ยนรู้ความหมายประโยคที่เธอพูดไม่จบ เธอจะให้ตัวเองคุกเข่าคำนับน่ะสิ
“พี่สะใภ้ พวกเราไปเถอะ”
เฉินเยี่ยนยิ้มพูดแทรกเหลียนจือขึ้นมา เธอไม่ใช่ว่าไม่มีมารยาท แต่เธอไม่อาจคุกเข่าได้
พี่สะใภ้เหลียนจืออึ้งไป อาเฉียวเฟิ่งก็ขมวดคิ้วมองเฉินเยี่ยน
“ยังต้องไปบ้านอื่นอีกไม่ใช่เหรอ? อาเฉียวเฟิ่งฉันรู้จักแล้ว แล้วก็ทักทายแล้ว ถือว่ารู้จักกันแล้ว ไปเถอะ”
เฉินเยี่ยนยิ้มอีกครั้ง เธอไม่จำเป็นต้องคุกเข่า ทำแบบนี้ ก็จะไม่มีใครเสียหน้า
“แต่เงินที่ทำความรู้จัก?”
พี่สะใภ้เหลียนจือไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเฉินเยี่ยน แต่ธรรมเนียมคือต้องได้เงินค่าทำความรู้จักถึงจะถือว่าเสร็จพิธี
“ไม่เป็นไร แค่เรารู้จักคุณอาก็พอแล้ว”
เฉินเยี่ยนไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องเงิน ไม่ว่าอาเฉียวเฟิ่งจะให้เงินค่าทำความรู้จักเท่าไร เธอก็จะไม่คุกเข่า
“คิดว่าฉันจะให้หนึ่งสตางค์ เลยไม่ยอมคุกเข่าคำนับฉัน?”
อาเฉียวเฟิ่งเดินเข้ามาขวางทางเฉินเยี่ยน สีหน้ายิ่งเคร่งขรึมขึ้นไปอีก เฉินเยี่ยนคิดว่าถ้าเป็นเด็กน้อยเห็นเธอ ต้องร้องไห้ตกใจแน่
“ไม่ใช่ค่ะ เพียงแต่นอกจากพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่แล้ว ฉันจะไม่ยอมคุกเข่าคำนับใคร วันนี้มาทำความรู้จัก ฉันรู้จักคุณอาก็พอแล้ว เงินค่าทำความรู้จักคุณอาให้ฉันก็จะรับไว้ ไม่ให้ฉันก็ไม่ว่าอะไร”
เฉินเยี่ยนยืนเผชิญหน้ากับเธอ พูดไม่ช้าไม่เร็ว แต่ก็เข้าใจ ก้มคำนับ ไม่มีทาง
“ฉันอายุมากกว่าเธอนะ”
สายตาอาเฉียวเฟิ่งเย็นชามาก
“หึหึ”
เฉินเยี่ยนตอบเธอหึหึ ในหมู่บ้าน คนที่อายุมากกว่าเธอมีมากมาย แม้แต่ซุนหม่านเซียงเธอยังไม่ยอมคุกเข่าก้มหัวคำนับเลย ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น
“เด็กสมัยนี้ แต่ละคนยิ่งไม่มีมารยาท เอาไป เอาไป เอาไป แล้วไปซะ เห็นแล้วหงุดหงิด”
อาเฉียวเฟิ่งโกรธมากเอาเงินสิบสตางค์ที่เตรียมไว้ในมือโยนลงพื้น เพราะเธอมองออกว่า เฉินเยี่ยนไม่มีทางคุกเข่าคำนับเธอแน่นอน
“ขอบคุณค่ะคุณอา”
เฉินเยี่ยนขอบคุณ แต่เธอไม่ได้ก้มลงไปเก็บเงิน เงินนี้เธอไม่คิดจะเอาอยู่แล้ว เพราะถ้าเธอก้มลงเก็บ แปลว่าเธอแพ้
อาเฉียวเฟิ่งเห็นเฉินเยี่ยนไม่เก็บเงินเธอ เธอโกรธจนตัวสั่น
พี่สะใภ้เหลียนจือเห็นก็รีบก้มลงเก็บขึ้นมา “ขอบคุณพี่สะใภ้นะ”
จากนั้นเธอเข้าไปยืนแทรกตรงกลางระหว่างเฉียวเฟิ่งและเฉินเยี่ยน ให้สองคนอยู่ห่างกัน
“ไป ไป เห็นแล้วขัดลูกตา”
ป้าเฉียวเฟิ่งโบกมือ เหมือนกำลังไล่แมลงสาบอยู่
สีหน้าพี่สะใภ้เหลียนจือก็ไม่สู้ดีนัก เฉินเยี่ยนกลับไม่เป็นอะไรเลย คนนอกหนึ่งคน มาโกรธกับเธอ ไม่คุ้มค่าเลย