เปลี่ยนชีวิต พลิกชะตารัก - ตอนที่ 118: ให้เครดิตได้หรือไม่?
จนถึงวัน เฉินเยี่ยนตามเฉินจงออกจากบ้านไป
หวางนิวมองเบื้องหลังของเฉินจงและเฉินเยี่ยนย่ำเท่าเดินตามกันไป ปากก็บ่นเฉินเยี่ยนไม่หยุด ทำไม? เพราะว่าเธอให้เฉินเยี่ยนใส่ชุดที่ตัดใหม่ แต่เฉินเยี่ยนไม่ยอม ยังใส่ชุดเดิมอยู่ หวางนิวให้เธอใช้แผ่นชาดทาปากแดง แล้วยังจุดฟืนให้เฉินเยี่ยนมาทาคิ้ว บอกให้เฉินเยี่ยนแต่งตัวดีหน่อย แบบนั้นเวยหลายชุนเห็นเธอ จะต้องชอบแน่นอน ต่อไปมีอะไรจะได้คุยง่ายขึ้น
เฉินเยี่ยนไม่ยอมอยู่แล้ว พวกครีมบำรุงผิวกลิ่มหอมฟุ้งพวกนั้นในยุคหลังเธอยังไม่ชอบใช้เลย ประสาอะไรกับใช้ฟืนมาวาดคิ้วในยุคนี้? แค่คิดเฉินเยี่ยนก็รู้สึกกลัวแล้ว เส้นดำๆ สองเส้น สวยตรงไหน?
แผ่นชาดที่ทำให้ปากแดง เหมือนดื่มเลือดมาเลย ตีเธอให้ตาย เธอก็ไม่ใช้ ดังนั้นเฉินเยี่ยนแค่ล้างหน้าให้สะอาด สวมเสื้อตัวเก่าที่เธอใส่เป็นประจำแล้วออกไป ส่วนอีกฝ่าจะชอบเธอหรือไม่ เธอไม่ได้สนใจ ถ้าทั้งสองคนชอบพอกับ ก็คบกัน ส่วนจะพัฒนายังไง ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าเห็นแล้วไม่ถูกชะตา เธอก็จะไม่บังคับตัวเอง อย่างมากก็แค่อยู่คนเดียวทั้งชีวิต ไม่มีคนดูแล ก็เป็นอิสระดี ไม่จำเป็นต้องแต่งงานแล้วทำให้ตัวเองลำบาก
“ลูกสาว วันนี้ถ้าพวกเราดูแล้วชอบก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว แต่ถ้าไม่ชอบ แค่ลูกบอกพ่อมา บ้านเราสู้บ้านเขาไม่ได้ แต่พ่อรู้ว่าเรื่อแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องของทั้งชีวิต ถ้าลูกไม่ชอบจริงๆ เราก็ไม่ต้องฝืนใจตัวเอง อีกหน่อยยังมีคนที่ดีเข้ามาอีก”
เฉินจงพูดเสียงเบากับลูกสาว เขากลัวว่าเฉินเยี่ยนจะกดดัน เมื่อวานหวางนิวบ่นกับเขาทั้งคืน บอกว่าวันนี้ให้เขาดูดีๆ ทางที่ดีให้ตกลงไปเลย เรื่องแต่งงานของลูกสาวกลายเป็นเรื่องที่หวางนิวกังวลใจมาก ตอนนี้คนที่มาพูดเรื่องแต่งงาน ไม่มีที่ดีเลยสักบ้าน พวกเขาไม่ชอบ อย่าว่าแต่ลูกสาวเลย ถึงแม้จะรีบยังไง ก็ไม่สามารถให้ลูกสาวซี้ซั้วแต่งงานไม่ได้ ถ้าลูกสาวไม่มีความสุข ในใจของพ่อแม่อย่างพวกเขาก็ทุกข์ใจไปด้วย
“พ่อ ถ้าหนูไม่แต่งงานเลย หนูจะอยู่ที่บ้านไปตลอดชีวิตได้ไหม? หรือว่า หนูซื่อบ้าน สร้างบ้าน แล้วอยู่เอง พ่อแม่จะคิดว่าหนูน่าขายหน้าหรือเปล่า?”
เฉินเยี่ยนคิดแล้วถามเฉินจง ในหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะแต่งานเร็วมาก มีน้อยคนที่จะบรรลุนิติภาวะแล้วแต่งงาน มีไม่น้อยที่ตอนที่จดทะเบียนสมรสลูกโตหลายขวบแล้ว ถ้าบ้านไหนมีลูกสาวที่ไม่แต่งงานเลยทั้งชีวิต นั่นเป็นเรื่องน่าอาย ลูกสาวอายุมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนยังไงก็ต้องแต่งงาน ถึงแม้ว่าครอบครัวครั้งที่แล้วที่ลุงกับอาหาให้พี่ชาย ผู้หญิงเป็นหญิงที่ดี ขยันมีความสามารถ ตัวเธอก็มีความรับผิดชอบ เพราะว่าที่บ้านขัดไว้ แม่เธอเลยไม่สนฐานะของฝ่ายชายแล้ว ขอแค่ไม่แย่ก็พอแล้ว
ตอนนั้นลุงกับอาบอกว่าจะให้แต่งกับพี่ชาย แต่ตอนนั้นพี่ชายยังไม่หย่ากับช่างเหลียน ดังนั้นลุงกับอาเลยตอบกลับเขาไป รอจนพี่ชายกับช่างเหลียนหย่ากันก่อน ตอนที่หวางนิวจะไปคุยเรื่องนี้อีกรอบ ลุงกับอาก็บอกว่าลูกสาวบ้านนั้นหาอีกครอบครัวให้แล้ว หย่ามาเหมือนกัน ที่บ้านยังมีลูกสาวอายุขวบกว่า ภรรยาเป็นโรคตายไปแล้ว สถานะแบบนี้ไม่ถือว่าดีอะไร แต่แม่ของผู้หญิงคนนั้นตกลง กลัวว่าถ้าลูกสาวเลือกอีกต้องได้ชายโสดที่อายุสามสี่สิบประเภทนั้นแน่ ดังนั้นเลยตอบตกลงให้ลูกสาวไป
ผู้หญิงคนนั้นเพิ่งอายุยี่สิบสาม ในยุคหลังนี่นับว่าอ่อนมาก แต่ในยุคนี้แต่งงานลำบากแล้ว ส่วนเฉินเยี่ยนปีนี้สิบเก้า อายุยังไม่นับว่าโตมาก แต่เธอมีเรื่องยกเลิกงานแต่ง มีเรื่องในสวนผลไม้ ชื่อเสียงไม่ถือว่าดี ดังนั้นสถานการณ์แบบนี้จะหาคนที่ดีแต่งด้วยยาก พ่อแม่เธอเลยร้อนรน ส่วนเฉินเยี่ยนไม่อยากทรมานตัวเอง ถ้าใจเธอไม่คิดแต่งก็ไม่แต่ง ไม่มีอะไรสำคัญ แต่พ่อแม่ไม่คิดแบบนั้น
เฉินจงโดนเฉินเยี่ยนพูดจนอึ้งไป เขามองเฉินเยี่ยนสักพัก เฉินเยี่ยนมองเฉินจงนิ่งๆ ไม่หลบสายตา แสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่
เฉินจงมองออกว่าลูกสาวจริงจัง ไม่ได้แค่พูดเฉยๆ
“ถ้าลูกไม่อยากแต่งจริงๆ พ่อก็ไม่บังคับ พ่อกับแม่อยู่กับลูกอีกไม่กี่ปี หู่จื่อก็เป็นเด็กดี เขาไม่มีทางไม่ดูแลลูกหรอก ลูกแก่แล้ว ให้ลูกชายหู่จื่อเผากระดาษให้ พ่อไม่คิดว่ามีอะไรน่าขายหน้า ตัวเองเป็นคนใช้ชีวิตเอง เยี่ยนจื่อ พ่อไม่บังคับให้ลูกแต่งงาน แต่พ่อจะบอกว่า คนเราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเลือก อะไรที่พวกลูกเลือก ขอแค่ไม่เสียใจภายหลังก็พอแล้ว”
เฉินจงทอดถอนใจ เขาพอเข้าใจความรู้สึกลูกสาวบ้าง แต่ไม่เขาอยากจะฝืน เหมือนที่เขาไม่บังคับเฉินกุ้ย ลูกโตแล้ว ให้พวกเขาเลือกเอง
“ขอบคุณค่ะพ่อ”
เฉินเยี่ยนบีบจมูก วางใจแล้ว เฉินจงถือว่าหัวสมัยใหม่แล้ว ถ้าเจอพ่อแม่ที่ควบคุมทุกอย่างอะไรก็จะควบคุม ตั้งธงไว้ว่าทำเพื่อลูก ให้ลูกแต่งงาน นั่นถึงน่ากลุ้มใจ
มาถึงสหกรณ์ เฉินเยี่ยนมองดู เฉินจงไปหาลุงป่าวเอิน
ลุงป่าวเอินชี้ให้เฉินจงดู เฉินจงไม่ได้ให้ลุงป่าวเอินเรียกเขามาคุยด้วย แต่ตัวเขาเดินไปหน้าเคาน์เตอร์ที่เวยหลายชุนรับผิดชอบอยู่ ทำเป็นดูของเหมือนลูกค้าคนหนึ่ง
เวลานี้คนในสหกรณ์ไม่มาก เฉินเยี่ยนก็เข้าใจเฉินจง เธอเดินไปอีกเคาน์เตอร์หนึ่ง แอบมองสถานการณ์ฝั่งนี้
เวยหลายชุนสูงประมาณ 175 เซนติเมตร รูปร่างพอใช้ได้ ไม่อ้วนและไม่ผอม ท่อนบนสวมชุดทำงานสีน้ำเงิน สวมปอกแขนสีน้ำเงิน ท่อนล่างสวมกางเกงผ้าโพลีเอสเตอร์ ใบหน้าเรียวยาว คิ้วดกดำ ดวงตาไม่ถือว่าโต แต่ก็ไม่เล็ก สีผิวค่อนข้างคล้ำ แต่ยิ้มแล้วดูอบอุ่น เหมือนพี่ชายข้างบ้านเลย
ใช้ได้ นี่เป็นการประเมินของเฉินเยี่ยนต่อเวยหลายชุน
เฉินจงชี้ถามไปที่ของมากมาย เวยหลายชุนตอบทีละคำถาม ไม่เหมือนพนักงานขายของคนอื่นที่ทำหน้าบึ้ง น้ำเสียงเป็นกลาง ฟังแล้วไม่มีความรู้สึกอึดอัดใจ
“วันนี้ผมไม่ได้เอาตั๋วมา สหาย ของนี้ให้เครดิตผมได้หรือไม่? ครั้งหน้าผมมาต้องคืนคุณแน่”
ฝั่งเฉินจงถามตั้งนาน แล้วค่อยชื่อไปที่ของสิ่งหนึ่ง บอกเวยหลายชุนว่าต้องการ แต่ไม่ได้เอาเงินมา ขอให้เครดิตได้หรือไม่
เฉินเยี่ยนเกือบหัวเราะออกมา พ่อเล่นตลกเกินไปแล้ว ยุคนี้มีให้เครดิตกันทีไหน
พนักงานขายผู้หญิงตรงเคาน์เตอร์ที่เฉินเยี่ยนอยู่ อายุสามสิบกว่า แสดงออกว่าได้ยินที่พ่อเฉินพูด เลยเบะปากพูด “ลุงบ้านนอก ไม่มีเงินก็ไม่ต้องมา ยังจะขอเครดิตอีก ลุงเป็นใครจะรู้จักไหม”
เฉินเยี่ยนเหลือบมองเธอ สายตาฝ่ายตรงข้ามเต็มไปด้วยความดูถูก เฉินเยี่ยนอยากจะถามเธอมาก หรือว่าเธอก็ไม่ใช่คนบ้านนอก? เพราะว่าเป็นพนักงานในสหกรณ์ก็สามารถดูถูกคนอื่นได้งั้นเหรอ? แต่เฉินเยี่ยนไม่ได้พูด เธอมองเวยหลายชุน
“คุณลุง ขอโทษด้วย ที่นี่พวกเราไม่มีขายแบบให้เครดิต ถ้าลุงต้องการ ครั้งหน้ามีตั๋วแล้วค่อยมาก็ได้ครับ”
ท่าทีของเวยหลายชุนดูปกติ พูดจาไม่ทำร้ายน้ำใจ
“งั้นสหาย คุณช่วยเก็บอันนี้ไว้ให้ผม อย่าเพิ่งขายให้คนอื่นได้ไหม?”
เฉินจงพูดต่อ
“ต้าชุน ไปสนใจเขาทำไม แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่มีปัญญาซื้อ อย่าเสียแรงเลย ไม่ว่างขนาดนั้นมาสนใจเขา”
พนักงานหญิงที่อายุสามสิบกว่าตะโกนเรียกเวยหลายชุน ให้เขาอย่าไปสนใจเฉินจง
“คุณลุง ของนี้ยังมีอีกเยอะ ลุงมาครั้งหน้าก็น่าจะยังมีอยู่ แต่อันนี้ผมเก็บให้ลุงไม่ได้ พวกเราที่นี่มีกฎ ขอโทษด้วยนะครับ”
เวยหลายชุนไม่ได้ฟังผู้หญิงคนนั้น พูดกับเฉินจงอย่างจริงจัง สายตาไม่มีแววรังเกียจเลยสักนิด
ถ้าเวยหลายชุนไม่รู้เรื่องที่วันนี้จะมีคนมาดูตัวเขา ถ้าอย่างนั้นคนนี้ก็ถือว่าใช้ได้เลย เฉินเยี่ยนคิดในใจ
—————–