เนตรเซียนทะลุสมบัติ - ตอนที่ 198
ตอนที่ 198 สะสมของปลอม
หยางโปยืนอยู่ด้านหนึ่ง ฟังคำพูดของหลิวเจียจวิ้นแล้ว ก็สบตากับตาอ้วนหลิวแวบหนึ่ง ทั้งสองคนต่างก็ขมวดคิ้ว เพราะพวกเขาแน่ใจว่า หลิวเจียจวิ้นโดนต้มเสียแล้ว
แต่ว่าคำพูดประเภทนี้ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ในเวลานี้
ตาอ้วนหลิวหัวเราะแหะแหะ หันไปถามหลิวเจียจวิ้นว่า “อาครับ ผมกับหยางโปมาเยอรมันครั้งนี้ ก็เพราะเรื่องถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วที่อาว่านั่นแหละครับ”
หลิวเจียจวิ้นประหลาดใจมาก “ในข่าวบอกว่า มหาเศรษฐีจีนคนนั้นวิ่งมาทางนี้เพื่อคุยเรื่องเครื่องเคลือบนั่นโดยเฉพาะ หรือว่าพวกเธอก็คือคนที่มากับเขา?”
ตาอ้วนหลิวพยักหน้า “พวกผมก็คือคนที่มากับมหาเศรษฐีคนนั้นครับ หยางโปเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมิน ส่วนผมนับว่าเป็นครึ่งหนึ่ง”
หลิวเจียจวิ้นหมุนกายมองไปทางหยางโป จ้องอยู่พักใหญ่ ก่อนจะส่ายหน้าพลางพูดว่า “ไม่ใช่ล่ะมั้ง เด็กขนาดนี้เนี่ยนะ?”
“อาครับ อาเอาถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วใบนั้นมาให้พวกเราดูสักหน่อย อาอย่าเห็นว่าหยางโปอายุไม่เยอะ ฝีมือการประเมินของเขาไม่เลวเลยสักนิดนะครับ” ตาอ้วนหลิวถือโอกาสเอ่ยปาก
หลิวเจียจวิ้นใคร่ครวญเล็กน้อย หันไปพูดกับทั้งสองคนว่า “อย่างนี้ก็ดี พวกเธอพามหาเศรษฐีคนนั้นไปซื้อของจากคนต่างชาติ แถมยังแพงขนาดนั้น ไม่สู้มาซื้อใบนี้ของฉัน พอดูเสร็จแล้ว ก็ต้องช่วยแนะนำและรับรองให้ฉันด้วยล่ะ!”
ตาอ้วนหลิวรีบพยักหน้า “อาวางใจได้เลย ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พวกเราต้องช่วยแนะนำและรับรองให้อาแน่!”
หยางโปไม่ได้เอ่ยคำ ในใจกอดความหวังเส้นหนึ่งไว้ หากหลังจากนี้ประเมินออกมาแล้วเป็นของจริง ก็ดีไป ถ้าไม่ ตาอ้วนหลิวเพิ่งจะได้เจออา เกรงว่าจะต้องเจ๊งเสียแล้ว
หลิวเจียจวิ้นรีบหมุนกายเดินออกไปยกเก้าอี้ ถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่ววางไว้ด้านบนสุด หยิบลงมาไม่ได้ ได้แต่ต้องยืนบนเก้าอี้ถึงจะหยิบได้
ตาอ้วนหลิวหันมามองหยางโป “อีกเดี๋ยวต้องไว้หน้าด้วยนะ!”
หยางโปพยักหน้า “วางใจเถอะ ผมเข้าใจ เพียงแต่เป็นอย่างนี้แล้ว ฝันก็จะกลายเป็นฟองที่แตกสลาย คุณคิดว่าอาคุณจะรับได้เหรอ? หรือต้องพูดว่าร่างกายของเขาจะสามารถรับเรื่องนี้ได้ไหวเหรอ?”
ตาอ้วนหลิวลังเลขึ้นมาทันที แต่หลิวเจียจวิ้นยกเก้าอี้ย้ายมาเรียบร้อยแล้ว ขณะจะปีนขึ้นไปอย่างงกๆ เงิ่นๆ ก็ยังไม่ลืมหันกลับมาบอกทั้งสองคนว่า “พวกเธอช่วยแนะนำฉันให้เขาหน่อย อีกเดี๋ยวพอขายไป ฉันก็ไม่อยากได้ราคาสูง คนอื่นเขาเอาสามร้อยล้าน เราเอาแค่สองร้อยล้านก็พอแล้ว ถ้าขายออกไปได้จริงๆ ฉันจะให้พวกเธอสิบเปอร์เซ็นต์!”
ตาอ้วนหลิวชะงักไปในทันที เขาคาดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างนี้ อาการบ้าบอของหลิวเจียจวิ้นไม่เบาเลยจริงๆ!
หยางโปดึงหลิวเจียจวิ้นไว้ บอกเขาว่า “เรื่องนี้ให้ตาอ้วนหลิวทำเถอะครับ คุณอายุมากแล้ว เดี๋ยวจะตกลงมาได้”
ตาอ้วนหลิวตอบรับ รีบขึ้นไปบนเก้าอี้ ใช้กุญแจเปิดตู้ติดผนังด้านบนตู้หนึ่ง หยิบถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วออกมา
ตาอ้วนหลิวหยิบถ้วยลายไก่ลงมาอย่างระมัดระวัง หยางโปถึงสังเกตเห็นว่าด้านนอกถ้วยลายไก่มีกล่องใส่อยู่
หลิวเจียจวิ้นรีบบอกว่า “ช้าหน่อยๆ อย่าทำตกล่ะ”
ตาอ้วนหลิวถือกล่องไว้ ก่อนจะวางลงที่โต๊ะชาด้านหนึ่ง หลิวเจียจวิ้นรีบรับมา แล้วเปิดออกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหันไปบอกทั้งสองคนว่า “จะให้พวกเธอเปิดหูเปิดตากันสักหน่อย นี่ก็คือถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่ว!”
ตอนนี้หยางโปไม่ค่อยจะอยากประเมินของเสียแล้ว เพราะว่าเขาคิดว่าโอกาสที่จะเป็นของจริงนั้นน้อยมาก เขาดึงตาอ้วนหลิวหนึ่งที “ไป รีบดูเลย!”
ตาอ้วนหลิวลังเลเล็กน้อย “พวกเราดูด้วยกันดีกว่า มาดูด้วยกันเถอะ!”
หยางโปดึงตาอ้วนหลิวหนึ่งที มองไปทางถ้วยเคลือบลงสีลายไก่ตรงหน้า ถ้วยลายไก่ตรงหน้ามีสีที่แก่และสด โดยเฉพาะที่หงอนไก่ตัวผู้ เป็นสีแดงแสบตา ขีดอักษรที่จารึกหยาบและหนัก เรียงห่างกัน หยางโปดูสองจุดนี้แล้ว ก็วางถ้วยลายไก่ลง เขาแน่ใจอย่างยิ่งว่าการคาดเดาของเขาได้รับการพิสูจน์แล้ว นี่เป็นของปลอม และไม่ใช่ของที่ทำเลียนแบบขึ้นในสมัยโบราณ แต่เป็นของที่ทำเลียนแบบมาเมื่อไม่กี่ปีนี้!
ตาอ้วนหลิวรับมาจากมือหยางโป มองอยู่ครู่หนึ่ง ก็วางลง ทั้งสองคนมองตากันพลางยิ้มฝืด
หลิวเจียจวิ้นเห็นสีหน้าท่าทางของทั้งสองคน ในใจก็ลนลาน “ทำไมเหรอ?”
เวลานี้ตาอ้วนหลิวคิดอะไรไม่ออก จึงนิ่งค้างไป เขาคาดไม่ถึงว่าของชิ้นนี้จะปลอมได้สุดยอดขนาดนี้
หยางโปหันไปถามหลิวเจียจวิ้นว่า “คุณซื้อถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วใบนี้มาเท่าไหร่เหรอครับ?”
หลิวเจียจวิ้นเองก็เหมือนจะตระหนักถึงปัญหาของทั้งสองคน ในใจก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ยังคงเอ่ยปากตอบกลับไปว่า “สามหมื่นยูโร”
หยางโประบายลมหายใจเฮือก ราคานี้ไม่นับว่าสูง แต่คิดอีกทีของทั้งห้องนี้ มีราคาหลายแสนดอลล่าร์ มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเงินเก็บทั้งชีวิตของหลิวเจียจวิ้น หยางโปจึงยินดีไม่ออก
“ยังมีใบเสร็จอยู่ไหมครับ?” หยางโปถาม เขาจำได้ว่าการซื้อขายวัตถุโบราณของต่างประเทศกับจีนไม่เหมือนกันอยู่บ้าง ในประเทศจีนเมื่อซื้อไปแล้วก็จะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น แต่ต่างประเทศจะเป็นการซื้อที่ผ่านช่องทางที่เป็นมาตรฐาน สามารถที่จะขอคืนของได้
หลิวเจียจวิ้นพยักหน้า “ราคาของของชิ้นนี้สูงที่สุด ฉันเลยยังเก็บใบเสร็จเอาไว้”
พูดแล้ว หลิวเจียจวิ้นก็เอาแผ่นกันกระแทกที่อยู่ด้านล่างกล่องออกมา ด้านล่างมีใบเสร็จอยู่จริงๆ
หยางโปได้ยินหลิวเจียจวิ้นพูดว่าของชิ้นนี้ราคาสูงที่สุด ก็ตะลึงตาค้างไปทันที เพราะด้วยถ้วยลายไก่ใบนี้ เขาก็สามารถดูออก ว่าอีกฝ่ายไม่มีพื้นฐาน แม้แต่พื้นฐานการประเมินของก็ไม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้ ของที่เหลือนั้นแค่คิดก็รู้แล้ว
ตาอ้วนหลิวรับไป หยางโปชี้ไปที่ของที่เหลือในตู้ติดผนังพวกนั้นก่อนถามว่า “ของพวกนี้ยังมีใบเสร็จอยู่ทั้งหมดไหมครับ?”
เวลานี้หลิวเจียจวิ้นเครียดจนร่างสั่นระริก แม้ว่าจะยังไม่คุ้นเคยกับตาอ้วนหลิวหลานชายคนนี้ แต่เขาก็เบิกตากว้างมองตรงไปที่ตาอ้วนหลิว “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
ตาอ้วนหลิวรีบประคองหลิวเจียจวิ้น เห็นร่างชายแก่สั่นระริก ก็ตกใจจนสะดุ้ง ตอนนี้ไม่มีคนในบ้านของหลิวเจียจวิ้นอยู่เลย อาการของหลิวเจียจวิ้นอยู่เหนือการคาดเดาไปแล้วจริงๆ พวกเขาล้วนพูดไม่ชัดเจนเอง
เมื่อประคองชายแก่นั่งลงแล้ว ตาอ้วนหลิวก็รีบบอกว่า “อาครับ อาใจเย็นๆก่อน อย่าร้อนใจไป”
ตอนนั้นเอง ด้านนอกก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น “ตาเฒ่า แกไปตายที่ไหนแล้ว?”
ใบหน้าตาอ้วนหลิวปรากฏสีหน้ายินดี ตอบรับออกไปทันทีว่า “อาสะใภ้ครับ พวกเราอยู่นี่ครับ!”
ไม่นาน ประตูของห้องสะสมก็เปิดออก หญิงสูงอายุผมขาวคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอจ้องมองพวกหยางโปทั้งสองคน ดวงตาปรากฏแววระแวดระวัง “ตาเฒ่า พวกเขาเป็นใคร?”
“อาสะใภ้ อาไม่รู้จักผมแล้วเหรอ? ผมคือเจ้าอ้วนน้อยไง!” ตาอ้วนหลิวกล่าว
หญิงชราขยับแว่นตา มองไปทางตาอ้วนหลิว ผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงจะนึกออก “โอ๊ะ เป็นเจ้าอ้วนน้อยนี่เอง พริบตาเดียวก็ผ่านไปยี่สิบห้ายี่สิบหกปีแล้ว เธอเองก็แก่ขึ้นเยอะเลยนะ!”
ใบหน้าตาอ้วนหลิวปรากกฎความกระอักกระอวน ปีนั้นเขายังเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปี ตอนนี้ก็อายุแค่สี่สิบกว่าปี ก็ไม่นับว่าแก่นะ
หญิงชราถามว่า “ทำไมเธอมานี่ได้ล่ะ?”
“ได้ยินข่าวของอา แล้วผมมาทำธุระที่เยอรมันอยู่พอดี ที่บ้านก็เลยให้ผมมาเยี่ยมอา ทุกคนต่างก็คิดถึงพวกอานะ!” ตาอ้วนหลิวบอก
หญิงชราเองก็พยักหน้า “ตอนที่พวกเราจากมาก็เกือบห้าสิบแล้ว ตอนนี้ก็เจ็ดสิบกว่าแล้ว นี่วางแผนกันเอาไว้ว่าอีกสองปีจะกลับไปเยี่ยมบ้านกันด้วยล่ะนะ!”