Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ - ตอนที่ 90
บทที่ 90 เมื่อบทเพลงเศร้าบรรเลง (5)
อุณหภูมิภายในรถสูงขึ้นรุนแรงจนแทบจะทำให้ทั้งสองคนหลอมละลาย หลอมละลายจนกลายเป็นของกันและกัน หลอมละลายจนไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้น หลอมละลายอย่างแนบแน่น หลอมละลายกลายเป็นร่างเดียวกัน เธอมีฉัน ฉันมีเธอ ร่างทั้งสองนั้นแนบชิดผสานเป็นหนึ่งเดียวไร้ช่องว่างใดๆ สวยงามจนทำให้แทบหยุดหายใจและคุ้มคลั่ง
ลั่วจื่อหานผละออกจากปากของอี้เป่นเฉิน ในดวงตาเต็มไปด้วยความรักลึกซึ้ง มือวาดผ่านแก้มของเธอทีละน้อยๆ เด็กหญิงที่ดวงตาเหม่อลอยส่งเสียงหัวเราะคิกคัก เหมือนแสงอาทิตย์แรกอันอบอุ่นสดใสครั้งเมื่อโลกเพิ่งถูกสร้าง
เธอยื่นมือออกไปสำรวจ ยังคงหายใจไม่เป็นจังหวะแต่ก็ยังมีความแน่วแน่ที่จะมองหารสหวานที่ได้ลิ้มลองก่อนหน้านี้ ริมฝีปากน้อยๆ ประทับลงบนริมฝีปากบางๆ ยื่นลิ้นออกมาลิ้มรสอย่างละเอียดด้วยความไร้เดียงสา ถูกอะไรบางอย่างนุ่มๆ ห่อพันไว้แผ่วเบา เธอหาที่มาของน้ำผึ้งนั้นเจอแล้ว
“อือ แข็งจัง” อี้เป่ยซีขยับตัวอย่างอึดอัด ราวกับได้ยินเสียงซี่โครงเมื่อหลายร้อยปีก่อนกลับเข้าที่ ชัดเจนและสมบูรณ์
“ปังๆๆ…” ผู้ช่วยเคาะกระจกด้านข้างด้วยความตื่นตระหนก เนื่องด้วยฟิล์มป้องกันชั้นพิเศษ เสียงและฉากที่คลุมเครือภายในรถจึงถูกห่อหุ้มอยู่ภายในชั้นสีเทา บุคคลที่สามไม่สามารถสอดรู้สอดเห็นได้
ในที่สุดเสียงเคาะกระจกก็ทำให้ลั่วจื่อหานกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เขาลูบหัวของอี้เป่ยซี จัดแจงเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยของทั้งสองคนและพาคนที่ยังพูดจาเหลวไหลไปนั่งที่เบาะหลัง ผู้ช่วยนั่งลงที่เบาะคนขับอย่างกระวนกระวายใจ ฉากที่กั้นขึ้นมาทำให้เขารู้สึกวางใจเล็กน้อย
นั่นคือ…ที่แท้ท่านประธานมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ไม่น่าล่ะ
ราวกับว่าได้สอดรู้สอดเห็นความลับอะไรบางอย่างเข้า เขาจึงระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าเสียงที่ดังมาจากด้านหลังเป็นครั้งคราว ทำให้ขนชั้นบางๆ ลุกชัน
“เป่ยซี พอแล้ว” ลั่วจื่อหานล็อคตัวเธอไว้อีกทาง ลมหายใจหนักหน่วงเล็กน้อย
อี้เป่ยซีเหมือนสัตว์ร้ายตัวเล็กๆ ที่ถูกกักขังมาเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะพูดอะไร จะผิดหรือถูก จะดีหรือเลว ก็ต่างไม่ยอมรับดังเช่นตนคือกบฏ
“อย่านะ อย่านะ นายเอาลูกอมไปซ่อนไว้ที่ไหน” พูดพลางทั้งสองมือก็ยิ่งควานหาบนตัวของลั่วจื่อหานอย่างไม่เกรงใจ ไม่สนใจสีหน้าของเจ้าตัวเลย เส้นเลือดสีเขียวเส้นตุบอยู่บนหน้าผาก เหงื่อที่ไหลอยู่ข้างๆ ราวกับว่ากำลังแพร่กระจายด้วย ลั่วจื่อหานจับมือของเธอไว้
“อย่าเสียงดัง ไม่งั้นเธอรับไม่ไหวแน่”
อาจเป็นเพราะในคำพูดนี้มีพลังการข่มขู่เพียงพอ อี้เป่ยซีจึงพิงอยู่ด้านข้างอย่างไร้ชีวิตชีวา สีหน้าที่ไร้เดียงสาเหมือนเด็กในตอนแรกหายไปแล้ว ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่าและอ้างว้างที่แม้แต่ลั่วจื่อหานก็ไม่เคยเห็นมาก่อน วินาทีต่อมาก็กลายเป็นความสิ้นหวัง เธอยืนอยู่บนขอบหน้าผา ขุดสุสานของตัวเองทีละน้อยๆ
“เป่ยซี” เขารู้สึกว่าคนในอ้อมกอดของตัวเองสั่นเทาเล็กน้อย ขดตัวเล็กอยู่ด้วยกัน กระดูกหัวไหล่กระทบอยู่บนหน้าอกของเขา สิ่งที่อยู่ในอกก็เจ็บปวดจางๆ เช่นกัน
“ฉันอยากร้องเพลง ร้องเพลงร้องเพลง” คนในอ้อมอกเริ่มไม่เชื่อฟังขึ้นมาอีกครั้ง ตะโกนร้องเพลงเสียงดัง แผดเสียงจนสามารถทำลายโครงสร้างที่ราบรื่นของตัวอักษรจีนทุกตัว “นายก็ร้องสิ ร้องเพลงสิร้องสิ ร้องพร้อมกัน”
ลั่วจื่อหานนิ่งเงียบ ตบเธอเบาๆ ฮัมเพลงพื้นบ้านต่างถิ่นอย่างสงบนิ่ง โน้ตแต่ละตัวไหลเข้าหูอย่างช้าๆ เหมือนไข่มุกที่เคาะอยู่บนเครื่องปั้นลายครามแผ่วเบา จู่ๆ อี้เป่ยซีรู้สึกเงียบสงบมาก เธอซบอยู่บนหน้าอกของเขาราวกับเจอเปลในวัยเด็กที่นอนสบาย มือที่อบอุ่นแกว่งไกวและปลอบประโลมอย่างละมุนละม่อม ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวสุกใสและเยือกเย็น มุมปากยกยิ้ม ในที่สุดก็หลับตาลง
เมื่อมาถึงบ้านของลั่วจื่อหาน ผู้ช่วยก็จากไปโดยไม่พูดอะไร ลั่วจื่อหานอุ้มอี้เป่ยซีออกจากรถด้วยความระมัดระวัง วางลงบนเตียงที่อ่อนนุ่มในห้องนอน สองมือน้อยๆ เกาะเสื้อแน่น เขาก็ไม่ต้องการจะแกะมือคู่นั้นเช่นกัน เอนตัวลงข้างกายเธอแล้วกอดเธอเข้าสู่ความฝันด้วยกัน
อี้เป่ยซีตื่นขึ้นเพราะความเจ็บปวด เธอรู้สึกเหมือนกับว่าหัวของเธอไม่ใช่ของตัวเอง ทั้งปวดและเวียนหัวมาก พอลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองเป็นเหมือนกับปลาหมึก มือและเท้าวางเต็มพื้นที่ร่างกายของลั่วจื่อหาน เธอตกใจ เก็บมือและเท้าของตัวเองกลับมาเบาๆ
เสื้อผ้ายังเป็นของเธอ เธอถอนหายใจโล่งออก
แต่ว่าทำไมถึงมาโผล่ที่บ้านของลั่วจื่อหานได้ล่ะ ก่อนหน้านี้ไม่ได้ร้องเพลงอยู่ที่คาราโอเกะหรอกหรือ จากนั้น จากนั้นเกิดอะไรขึ้น?
เหมือนกับว่าฝันถึงลูกอมหวานๆ เหมือนกับว่าฝันถึงเสียงธรรมชาติอันเงียบสงบ?
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับลั่วจื่อหาน?
“ตื่นแล้วเหรอ” ลั่วจื่อหานลุกขึ้นนั่ง อี้เป่ยซีมองเขาด้วยความงุนงงเล็กน้อย มองไปยังริมฝีปากของเขาโดยไม่รู้ตัว แล้วส่ายหัวของตัวเองอย่างแรง
“ปวดหัวเหรอ?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า
“ดูซิว่าครั้งหน้าเธอยังจะดื่มเหล้าอีกไหม”
“ฉัน มาอยู่ที่ได้ได้ยังไง?” อี้เป่ยซีเอ่ยปาก น้ำเสียงแหบแห้ง
ลั่วจื่อหานหรี่ตา “ฉันพาเธอมา เธอเอะอะโวยวายว่าไม่อยากกลับบ้าน ฉันก็เลยพาเธอมานี่ที่นี่ก่อน”
“ฉันมีอะพาร์ตเมนต์ของตัวเองไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงพามาที่บ้านนาย”
“นอนเตียงเธอมันไม่ชิน”
หน้าของอี้เป่ยซีแดงไปชั่วขณะ “ใคร ใครให้นายมาชินกับเตียงของบ้านฉันล่ะ ฉัน ฉันก็แค่พูด”
“เอาล่ะ รู้แล้วว่าเธออยากจะพูดอะไร ดื่มน้ำชาหน่อยเถอะ” ลั่วจื่อหานยื่นชาให้อี้เป่ยซี เธอรับมาดื่มอึกๆ จนหมด น้ำชารสหวานขมไหลผ่านลำคอ อ่อนนุ่มกลมกล่อม
เธอเหลือบมองเวลาบนโต๊ะ ตีหนึ่งครึ่ง
ดึกป่านนี้แล้วเหรอ? ถ้างั้นให้เขาส่งเธอกลับไปดีกว่า
“คือว่า…” อี้เป่ยซีรวบรวมความกล้าเอ่ยปาก ประโยคต่อไปของลั่วจื่อหานทำให้เธอพูดไม่ออก
“ตรงนี้ยังมีเสื้อผ้าให้เธอเปลี่ยน อาบน้ำก่อนแล้วค่อยนอนดีไหม?” รอยยิ้มที่ไร้พิษสง อี้เป่ยซีพยักหน้า เดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเชื่อฟัง
ไหนๆ ก็ไม่ใช่ครั้งแรก อีกอย่างดึกป่านนี้แล้วก็ไม่ควรรบกวนคนอื่นตลอดเวลา เธอยืนครุ่นคิดอยู่หน้ากระจก ถอดเสื้อออกช้าๆ บนตัวยังคงมีกลิ่นเหล้าหึ่ง
จะดื่มเยอะแบบนี้อีกไม่ได้แล้ว มันแปลกเกินไปแล้ว
ทั้งๆ ที่รู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น แต่ว่ากลับนึกไม่ออก ทุกอย่างล้วนเลือนลาง อีกทั้งยังมีสิ่งกีดขวางทางเดินของตัวเอง ไม่อนุญาตให้ก้าวไปข้างหน้า
แต่ก็เหมือนรู้สึกว่ามีฝนตกพรำในพื้นที่แตกระแหงบางแห่ง แล้วก็รู้สึกเหมือนไม่มี แต่กลิ่นหอมสดชื่นของฝนที่เพิ่งตกใหม่ๆ ลอยอยู่ในอากาศ
กลิ่นที่จางๆ ที่เงียบสงบนั้นหอมเป็นพิเศษ
“คืนนี้เธอนอนที่นี่เถอะ พรุ่งนี้เช้าฉันจะส่งเธอกลับมหา’ลัย” เสียงของลั่วจื่อหานดังขึ้นนอกห้องอาบน้ำ
อี้เป่ยซีตอบว่าอือ ได้ยินเสียงฝีเท้าข้างนอกไกลออกไปเรื่อยๆ
เธอเอนตัวอยู่บนเตียงตามลำพัง แสงดาวเล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่าง บทเพลงยามราตรีดังขึ้นข้ามผ่านกาลเวลา เธอที่ไร้ซึ่งความง่วงหลับตาลง ลมหายใจแผ่วเบากลายเป็นจังหวะต่อเนื่อง
ลั่วจื่อหานนั่งอยู่ในห้องหนังสือของตัวเอง มีสมุดภาพวางอยู่ด้านหน้า ใช้ความพยายามทั้งหมดร่างเส้นด้วยดินสอที่ไม่คุ้นเคย ท้องฟ้า ก้อนเมฆ พระอาทิตย์ รวมทั้งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่กำลังฟังเสียงจากสายน้ำ แต่ละหน้าที่พลิกผ่านมีฉากทิวทัศน์แตกต่างกัน สิ่งที่เหมือนกันคือเด็กผู้หญิงคนนั้นที่กำลังฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ แสงอาทิตย์เลือนลางโผล่ขึ้นมาจากกระดาษวาดภาพ
————