Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ - ตอนที่ 60
บทที่ 60 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (2)
ฉากอดีตที่ผ่านไปแล้วกลับมาฉายซ้ำ ไม่รู้ว่าทำไมทั้งที่เป็นคนคนเดียวกัน แต่ว่าการกระทำของพวกเขาแตกต่างกันเหลือเกิน ฉินรั่วเข่อกำมือตัวเองแน่น ตามอี้เป่ยซีไปนั่งที่นั่งเบาะหลัง อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร ได้แต่นั่งข้างอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
ทั้งสามคนบนรถไม่พูดไม่จา บรรยากาศเงียบอย่างประหลาด
รถหยุดอยู่ที่หน้าประตูหอพักของอี้เป่ยซี เธอมองอี้เป่ยเฉินด้วยความสับสน “พี่เป่ยเฉิน ไปจอดที่ตึกหอพักของฉินรั่วเข่อได้ไหม? หอพักเธออยู่ที่ไหน?”
“ไม่ต้องหรอก ฉันเดินไปเองก็ได้” ฉินรั่วเข่อท่าทีแน่วแน่อย่างมาก พูดพลางต้องการเปิดประตูลงจากรถ
“ออกไปแบบนี้ไม่ค่อยดีมั้ง” อี้เป่ยซีมองไปข้างหน้าเป็นเชิงอ้อนวอน หวังว่าพี่ชายจะพูดอะไรเพื่อรั้งไว้
อี้เป่ยเฉินขมวดคิ้วหงุดหงิด พ่นคำพูดออกมาอย่างเย็นชา “ถ้าถูกคนกล่าวหาเกินจริงโดยไม่มีหลักฐานแบบนั้นก็แย่สิ คุณว่าไง?”
ฉินรั่วเข่อรู้สึกว่านิ้วของตัวเองเย็นลงในฉับพลัน อุณหภูมิหนาวเหน็บแผ่ซ่านจากปลายนิ้วไปทั่วร่างกาย แม้ว่าภายในรถจะอบอุ่นเธอก็ยังรู้สึกหนาวจนตัวแทบสั่น ขยับเท้าโดยไม่รู้ตัว เธอยิ้มเจื่อน ดึงมือของตัวเองกลับไป “ใช่ งั้นรบกวนไปส่งที่ตึกเก้าแล้วกัน”
“พี่เป่ยเฉิน?” อี้เป่ยซีมีสีหน้าสงสัย ไม่รู้ว่าความเป็นศัตรูของพี่เป่ยเฉินต่อฉินรั่วเข่อมาจากไหน คนที่อยู่ข้างหน้าตอบรับอย่างอ่อนโยน ต่างจากน้ำเสียงก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เธอส่ายหัว ช่างเถอะ บางทีเธออาจเข้าใจผิดไปเอง
เมื่อมาถึงตึกเก้า อี้เป่ยซีลงรถกับฉินรั่วเข่ออย่างไม่วางใจ อี้เป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไร ทำตัวเหมือนปกติ บอกลากับอี้เป่ยซีเสร็จก็จากไป
“เป่ยซี…” ฉินรั่วเข่อคว้าชายเสื้อของอี้เป่ยซีไว้ ค่อยๆ คุกเข่าลงไป ท่าทางทรมานเจียนตาย ใบหน้าน้อยๆ ซีดขาวไร้สีเลือด น้ำตาเม็ดโตไหลอาบแก้มลงมา แต่ละหยดร่วงลงสู่พื้น แตกสลายไม่มีชิ้นดี
“เธอเป็นอะไรไป?” อี้เป่ยซีไม่รู้เลยว่าตอนนี้จะต้องทำอย่างไร ปกติเมื่อตัวเองตกอยู่ในสภาพนี้ ถ้าไม่หวังให้รอบด้านไม่มีใครอยู่ ก็หวังว่าพี่เป่ยเฉินจะคอยดูแล แล้วฉินรั่วเข่อล่ะ เธอต้องการอะไร? หรือว่าน้องสาวของเธอ?
“เธอไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะโทรหาฉินเยว่เข่อ ให้เขามาเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง เธออย่าโทรหาเยว่เข่อนะ” ฉินรั่วเข่อดึงแขนเสื้อของอี้เป่ยซี เหมือนกำลังขอร้องเธอ “เธออยู่กับฉันสักแป๊บได้ไหม แค่แป๊บเดียว”
อี้เป่ยซีนวดคลึงแขนของตัวเอง ลมฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวเย็นเล็กน้อย เวลาที่พัดโดนตัวก็เหมือนพัดเอาแมลงเย็นๆ ตัวเล็กจำนวนมากที่พยายามเจาะเข้าไปในรูขุมขนอย่างเอาเป็นเอาตายมาด้วย แต่เธอก็ยังพยักหน้าให้
ไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหน อี้เป่ยซีรู้สึกว่าสองขาของตัวเองไร้ความรู้สึกไปแล้ว ฉินรั่วเข่อที่เอาแต่จับแขนเสื้อของเธอตลอดเวลาจึงค่อยเงยหน้าขึ้น เอามือปาดน้ำตาตัวเอง “เป่ยซี ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไร” อี้เป่ยซีส่ายหน้า “แต่เธอรู้สึกไหมว่าฉากนี้มันเหมือนกันมากเลย?”
ฉินรั่วเข่ออึ้งไปเล็กน้อย อี้เป่ยซียังคงพูดต่อ “แต่ฉันไม่มีนิทานซินเดอเรลล่าเล่าให้เธอฟังหรอก เธอเสียใจขนาดนี้ เพราะว่าคิดถึงเจ้าชายของเธอเหรอ?”
ฉันรั่วเข่อได้ยินเช่นนั้นแล้วก็สบตาของอี้เป่ยซีโดยตรง ดวงตาสีดำบริสุทธิ์เป็นประกาย ราวกับอำพันที่พระเจ้าสรรค์สร้างขึ้นมาอย่างประณีต มีเสน่ห์จนไม่อาจละสายตา อี้เป่ยซีก็มองตาของเธอเช่นกัน บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางที่มีเมตตามาก ฉินรั่วเข่อก้มหน้าอย่างละอายใจเล็กน้อย “อืม”
“เธอก็อย่าเสียใจนักเลย เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ อีกอย่าง เจ้าชายที่เธอพูดถึงก็มีชีวิตของเขาไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าเธอจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ทำไมเธอต้องเสียใจเพื่อเขาด้วย”
แววตาของฉินรั่วเข่อสั่นไหว ยิ่งก้มหน้าต่ำกว่าเดิม อี้เป่ยซีจึงรู้ตัวว่าตัวเองพูดผิดไป “ไม่ๆๆ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ฉันหมายถึงเจ้าชายก็มีเจ้าหญิงของตัวเองต้องดูแล…”
“เป่ยซี เธอไม่ต้องพูดแล้ว ฉันเข้าใจ” ฉินรั่วเข่อลุกพรวดขึ้น รู้สึกหน้ามืด ร่างกายเธอเซเล็กน้อยถึงจะค่อยๆ ทรงตัวได้ อี้เป่ยซีก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ
“ไม่ใช่นะ โธ่เอ๊ย ฉันไม่ได้มีเจตนาจะเยาะเย้ยเธอเลย ฉันหมายถึง…” อี้เป่ยซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ในเรื่องสโนว์ไวท์ก็มีเจ้าชายของเขา ซินเดอเรลล่าก็มีบ้านให้กลับ ในเรื่องสโนไวท์ เธออาจไม่ได้เป็นแม้แต่ตัวอะไรเลย แต่ว่ามีนิทานเด็กเรื่องหนึ่งชื่อว่ารองเท้าแก้ว เรื่องนี้ต่างหากเธอถึงเป็นตัวละครเอก ทุกคนรวมถึงเจ้าชายของเธอก็ต่างหมุนรอบตัวเธอ” อี้เป่ยซีพูดเร็วมากเพราะรีบร้อน ที่ปลายจมูกก็มีเหงื่อซึมเล็กน้อย
ฉินรั่วเข่อหันมายิ้มให้เธออย่างสบายใจ “เป่ยซี ขอบคุณนะ”
อี้เป่ยซีเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็ยิ้มกลับเด๋อด๋า รู้สึกโล่งอก ครั้งนี้ตัวเองไม่ได้พูดอะไรผิดสินะ แต่ว่าเมื่อเห็นท่าทางขมขื่นของฉินรั่วเข่อก็ยังรู้สึกผิดเล็กน้อย
“ฉินรั่วเข่อ…”
“ฉันเข้าใจ เขาเข้ากันได้ดีและมีความสุขกับคนที่เขาชอบมาก ฉันเห็นแบบนี้ก็น่าจะรู้แล้ว ถ้าคิดไปมากกว่านี้ ทำอะไรไปมากกว่านี้แล้วเกิดเรื่องอะไร ผลที่ตามมาก็เป็นเพราะฉันหาเรื่องใส่ตัวทั้งนั้น จะโทษคนอื่นไม่ได้”
อี้เป่ยซีงุนงงเล็กน้อย จริงสิ เมื่อกี้ควรจะปลอบใจเธอเรื่องเมื่อเช้าไม่ใช่เหรอ? ทำไมจู่ๆ ถึงออกไปเรื่องเจ้าหญิงเจ้าชายได้ล่ะ? ดูเหมือนว่าจะเป็นเธอเองที่เปิดประเด็น แต่ว่าทำไมเมื่อกี้ถึงนึกถึงเรื่องนี้ล่ะ? เป็นเพราะรู้สึกว่าน้ำตาของเธอมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นเหรอ? คิดว่าความเข้มแข็งของเธอจะเอาชนะอุบัติเหตุเมื่อเช้านี้ได้อย่างสมบูรณ์งั้นเหรอ? อี้เป่ยซี ดูสิ เธออวดฉลาดอีกแล้ว
“ขอโทษนะ ฉันไม่ควรพูดเรื่องที่ทำให้เธอเสียใจ”
“เปล่าเลย” ฉินรั่วเข่อส่ายหัว “เสื้อตัวนี้รอฉันซักเสร็จแล้วค่อยคืนให้เธอเถอะ ถ้าเธอรังเกียจฉันจะซื้อตัวใหม่คืนให้เธอก็ได้”
เธอรีบโบกมือ “ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องหรอก”
“งั้นฉันไม่รบกวนเธอแล้ว ฉันกลับหอพักก่อนนะ” พูดจบก็หันหลังขึ้นตึกไปทันที อี้เป่ยซีมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย รู้สึกประทับใจมาก เธอทั้งเข้มแข็งและกล้าหาญมากจริงๆ
อี้เป่ยซีกลับถึงหอพัก จัดข้าวของตัวเองเสร็จเรียบร้อย จากนั้นมองดูตารางเรียน เมื่อเห็นว่าไม่มีเรียนจึงปีนขึ้นไปบนเตียงของตัวเอง ในหัวคิดถึงฉินรั่วเข่อโดยไม่รู้ตัว ท่าทางดื้อรั้น ใบหน้าขมขื่น แผ่นหลังเหยียดตรง ตอนที่อีกฝ่ายเกาะแขนของตัวเอง ฉินรั่วเข่อราวกับมีเสน่ห์บางอย่าง แม้ว่าเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง เธอก็รู้สึกประทับใจมาก อดไม่ได้ที่จะอยากเข้าใกล้
มันเกิดเรื่องอะไรกับเธอกันแน่? เจ้าชายกับเจ้าหญิง? อี้เป่ยซีนึกถึงเรื่องเปรียบเปรยนั้น นิทานแสนธรรมดาที่ฉินรั่วเข่อพูดถึง เรื่องแบบนี้มันจะเหมือนกันได้อย่างไร เธอครุ่นคิด รู้สึกว่าทั้งน่าขำทั้งน่าเศร้าใจ ความรักที่ไม่อาจพูดออกมาได้ ความรักที่ต้องซ่อนเร้นตลอดไป ความรักที่ไม่มีวันถูกค้นพบ นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นรสสัมผัสที่ลึกซึ้งล่ะมั้ง
เหมือนกับว่าเธอยกโลกทั้งใบให้เขา แต่ว่าเขาไม่แม้แต่จะมอบความรู้สึกให้เธอ เธอควักหัวใจที่เต็มไปด้วยเลือดออกมา ส่วนเขาเพียงแค่ถามตามมารยาทว่า เธอคือใคร
อี้เป่ยซีไม่อยากคิดต่อไปแล้ว เธอพลิกตัวเข้าหากำแพง มองเห็นจุดเล็กๆ บนกำแพงเห็นได้อย่างชัดเจน
น่าจะซื้อวอลเปเปอร์ที่มีสีอบอุ่นกว่านี้หน่อย เธอกะพริบตา เห็นด้วยกับความคิดนี้มาก เสียงพูดคุยดังขึ้นในทางเดินตึก ก่อนจะค่อยๆ เข้ามาใกล้ห้องพัก
……………………