Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ - ตอนที่ 208
ตอนที่ 208 ฟ้าบันดาลให้เป็นคู่ชีวิต (3)
ลั่วจื่อจี้หันไปมองพี่ชายของเขา เห็นว่าคนข้างหลังกำลังมองผู้หญิงที่เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ด้วยรอยยิ้ม เอ่ยปากขึ้น “ของพี่ฉันมันไม่ใช่ของเธอนี่นา อาซ้อ อย่างกไปหน่อยเลยน่า?”
อี้เป่ยซีเห็นว่ารอบกายมีเพียงพวกเขาสามคน พูดอย่างกล้าหาญ “ฉันมีแค่ความรักที่มีให้พี่ชายนาย ต้องการเท่าไรฉันก็ให้ได้”
แบบนี้ก็ได้เหรอ? ลั่วจื่อจี้อึ้งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ยิ้มอย่างเขินอายแล้วกลับไปนั่งที่ ลั่วจื่อหานได้ยินคำตอบของอี้เป่ยซีแล้วอารมณ์ดีมาก จูงมือของเธอ ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองเธอด้วยรอยยิ้ม
“วันนี้นายอารมณ์ดีมากเหรอ?” อี้เป่ยซีนึกถึงฉากตอนที่อยู่ชั้นบนอีกครั้ง มองค้อนเขาอย่างเคืองๆ ต้องการจะชักมือของตัวเองกลับ แต่เขายังคงคว้าไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ทันใดนั้นเธอก็ยื่นมือออกมาสัมผัสหน้าผากของลั่วจื่อหาน ไม่มีไข้นี่นา ทำไมวันนี้ถึงมีพฤติกรรมประหลาดแบบนี้ ขณะที่อี้เป่ยซีกำลังอ้าปากต้องการจะถามถึงเหตุผล คุณแม่ลั่วก็ได้ลงมาจากชั้นบนอย่างเชื่องช้า กล่าวคำพูดอบอุ่นสองสามคำ งานเลี้ยงก็เริ่มต้นขึ้น
บรรยากาศของงานเลี้ยงจืดชืดมาก บ้านลั่วปฏิบัติตามกฏที่ว่าไม่คุยกันเวลากินข้าวอย่างเคร่งครัด งานฉลองดั้งเดิมที่อุดมสมบูรณ์สูญเสียสีสันไปทันใดในสายตาของอี้เป่ยซี
ทำไมเธอต้องหาเรื่องด้วยนะ หรือว่าเธอยังประเมินตัวเองสูงเกินไป คิดว่าตัวเองมีเพชรเลอค่า
อี้เป่ยซีส่ายหัวน้อยๆ รู้สึกว่ามีใครเตะขาตัวเองที่ใต้โต๊ะ เดิมทีเธอรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่แล้ว บวกกับความไม่พอใจที่มีต่อลั่วจื่อหานเมื่อเช้านี้ เมื่อเธอเตะก็กลับมีเพียงอากาศ อดไม่ได้ที่จะจ้องคนข้างๆ เขม็ง
ผีเด็กบ้า ไม่เคยเห็นผู้ชายที่ไร้สาระแบบนี้มาก่อนเลย
“เป่ยซี เดี๋ยวจะกลับบ้านกับจื่อหานหรือเปล่า?” จู่ๆ คุณแม่ลั่วเอ่ยขึ้น น้ำเสียงที่สนิทสนมทำให้อี้เป่ยซีรู้สึกไม่สมจริงเล็กน้อย จนกระทั่งเมื่อคนข้างๆ เตะเธอ เธอจึงดึงสติกลับมา
อี้เป่ยซีรีบพยักหน้า “ใช่ ใช่ค่ะ” ลั่วจื่อหานจะต้องเป็นคนบอกพวกเขาแน่ๆ ปกติก็ไม่เคยเห็นเขาปากมากแบบนี้นี่นา
ลั่วจื่อหานสังเกตเห็นสายตาของเธอ ส่ายหัว แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็ไม่รู้
“บ้านพวกเราไม่ได้จัดเทศกาลแบบนี้นานแล้ว ถ้ามีตรงไหนผิดพลาด เธอก็ทนเอาหน่อยนะ”
“เปล่าค่ะ เปล่าค่ะ” อี้เป่ยซีโบกมือพัลวัน “เยี่ยมมากเลย คิดว่าบ้านฉันก็ทำแบบนี้เหมือนกัน คุณน้ากับคุณลุงเอาใจใส่มากเลย อี้เป่ยซีควรจะพูดมากกว่า ว่าถ้ามีตรงไหนผิดพลาด คุณน้ากับคุณลุงชี้แนะด้วยนะคะ”
เมื่อไม่ได้พูดต่อ คุณแม่ลั่วเพียงแต่พยักหน้า อี้เป่ยซีหัวเราะเขินอาย ต่อสู้กับอาหารในจานต่อ
ขณะที่กำลังจะกลับ ทันใดนั้นคุณแม่ลั่วก็เรียกอี้เป่ยซีไปที่ห้องของตัวเอง อี้เป่ยซีเคาะและเปิดประตูห้องนอนใหญ่ด้วยความตื่นเต้น
“คุณน้า”
“นั่งสิ” คุณแม่ลั่วมองเก้าอี้ที่ข้างเตียง ส่งสัญญาณให้เธอนั่งลง อี้เป่ยซีนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความระมัดระวัง ไม่กล้าขยับเขยื้อน
“เธอตื่นเต้นอะไร? ฉันไม่ได้จะกินเธอสักหน่อย”
“เปล่าค่ะ ฉัน ก็แค่ เวลาที่อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ก็จะตื่นเต้นโดยอัตโนมัติ ขอโทษนะคะ ที่ทำให้คุณน้าไม่พอใจ”
คุณแม่ลั่วหน้าบึ้ง “ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“ไม่ๆๆ ฉันไม่ได้บอกว่าน้าหมายความว่าแบบนั้น ฉันหมายถึง…” อี้เป่ยซีคิดจนหัวแทบระเบิดก็นึกคำอธิบายไม่ออก เธอหยิกมือของตัวเองอย่างแรง แต่ก็ยังคงไม่สามารถสงบลงได้
คุณแม่ลั่วกลับหัวเราะ จากนั้นก็เผยสีหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง กวาดตามองอี้เป่ยซี เธอรีบนั่งตัวตรงเหมือนนักเรียนที่เชื่อฟัง รอรับคำสั่งสอนจากอาจารย์
“ฉันก็จะพูดกับเธอแบบไม่อ้อมค้อมนะ บอกตามตรง เธอไม่เหมาะกับลั่วจื่อหานเลยสักนิด ฉันไม่พอใจกับเธอทั้งสองคนมาก”
อี้เป่ยซีพยักหน้า เธอดูออกตั้งนานแล้ว คนที่ไม่พอใจพวกเขาทั้งสองคนมีเยอะมาก
“ลั่วจื่อหานเป็นคนดื้อรั้น อะไรก็ตามที่เขามั่นใจแล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะพูดยังไง จะกล่อมเขายังไงเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ ฉะนั้น อี้เป่ยซี ตอนนี้ฉันเลยต้องยอมรับเธอ มานี่สิ” เธอกวักมือเรียกอี้เป่ยซี อี้เป่ยซีเดินเข้าไปหาเธอด้วยความกลัวและกังวลใจ คุณแม่ลั่วดึงมือเธอขึ้นมา สวมสร้อยข้อมือเงินเส้นหนึ่งบนมือของเธอ ดูเหมือนว่ามีแสงแดดส่องอยู่บนมือเธอขณะที่กำลังเคลื่อนไหว
“คุณ คุณน้า มันไม่เหมาะมั้งคะ…”. อี้เป่ยซีต้องการจะชักมือกลับ ไม่คิดถึงว่าคุณแม่ลั่วจะแรงเยอะกว่าเธอ เมื่อถูกมองด้วยสายตาอันเฉียบคม อี้เป่ยซีก้มหน้าอย่างว่าง่ายทันที ปล่อยให้เธอสวมสร้อย
สร้อยข้อมือสีเงินเหมาะกับมือของเด็กสาวมาก มันพันรอบข้อมือที่บอบบางขาวใส กลมกลืนกันเป็นอย่างยิ่ง คุณแม่ลั่วพยักหน้า
“มันคือของรักแทนใจที่ปู่ของจื่อหานมอบให้คุณย่าของเขา ตอนนั้นวัสดุขาดแคลน คุณปู่ของลั่วจื่อหานต้องอยู่ข้างนอกนานกว่าหนึ่งเดือนถึงจะทำสร้อยข้อมือเส้นนี้ได้”
อี้เป่ยซียกข้อมือขึ้นมาตรงหน้า มองดูสไตล์และรูปแบบของสร้อยข้อมืออย่างละเอียด ในความเป็นธรรมชาติและเรียบง่ายนั้นมีความหมายอันลึกซึ้งสุดคณานับ “สวยมากจริงๆ” เธอเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรในภายหลัง มองคุณแม่ลั่วด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย “คุณ คุณน้า”
“ฉันไม่ได้หมายความเป็นอื่น ฉันก็ยังไม่ชอบเธออยู่ดี แต่คนที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเธอไม่ใช่ฉัน ฉันจะชอบหรือเปล่าก็ไม่มีประโยชน์ ฉันแค่อยากบอกเธอว่าให้ปฏิบัติต่อจื่อหานให้ดี อย่าหักหลังเขา ฉันเห็นว่าเขาทำเพื่อเธอมากแค่ไหนและเชื่อว่าเธอก็รู้สึกได้ ตอนนี้ฉันก็ทำได้แค่อวยพรให้พวกเธออยู่กันยืนยาวจนแก่เฒ่า ถ้าหากเธอทำร้ายจื่อหานล่ะก็ ฉันจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยเธอแน่”
อี้เป่ยซีพยักหน้า “คุณน้า คุณน้าวางใจเถอะค่ะ”
“ยังมีอีก”
ยังมีอีก? หางตาของอี้เป่ยซีกระตุกเล็กน้อย ยังคงนั่งตัวตรงรอรับคำสั่ง คุณแม่ลั่วกระแอมอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ลั่วจื่อหานคือลูกชายของฉัน ยังไงฉันก็พอเข้าใจเขาบ้าง ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดี เธอก็อย่าตามใจเขาให้มาก ถ้าเธอได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจก็อย่าทน อย่างน้อยเขาก็ยังเชื่อฟังฉัน”
อี้เป่ยซีพยักหน้าหงึกหงัก “ฉันรู้แล้วค่ะคุณน้า ขอบคุณมากค่ะ”
“ทำไมฉันเห็นเธอทำหน้าเหมือน ‘ในที่สุดก็มีคนเข้าใจฉัน’”
“เปล่าค่ะ เปล่า ฉันกำลังซาบซึ้ง ซาบซึ้งค่ะ”
“เอาเถอะ รีบออกเดินทางเถอะ ขืนยังไม่ไปอีกพอถึงบ้านฟ้าก็มืดแล้ว”
อี้เป่ยซีราวกับได้ยินพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู วางมือบนลูกบิด หันมายิ้มอย่างสดใสให้คุณแม่ลั่ว “คุณน้า ฉันจะพาลั่วจื่อหานกลับมาบ้านบ่อยๆ ค่ะ”
คุณแม่ลั่วดวงตาเป็นประกาย เบือนหน้าหนีอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เธอรีบไปเถอะ”
เธอยิ้มออกไปจากห้อง ลั่วจื่อหานรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว จูงมือเธอโดยอัตโนมัติ แกว่งมือพาเธอเดินออกไปจากบ้านหลังใหญ่
“ยังไงอากาศข้างนอกก็สดชื่นกว่าหน่อย วิวก็สวยมากด้วย”
ลั่วจื่อหานเลิกคิ้ว “อ่อ งั้นพวกเราไม่กลับแล้วเหรอ?”
“เปล่าๆๆ ยังต้องกลับไป จะมาอาลัยอาวรณ์สิ่งของข้างทางที่ไม่จีรังพวกนี้ได้ยังไง ไร้อนาคตจริงๆ” เธอบิดขี้เกียจ สร้อยข้อมือสีเงินเกี่ยวพันอยู่รอบข้อมือของเธอ ลั่วจื่อหานยกมุมปากยิ้ม
————