Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ - ตอนที่ 128
บทที่ 128 วิกฤตโรงแรม (2)
เธอแสร้งว่าตัวเองยังไม่ตื่น ยังคงรักษาท่าทางก่อนหน้านี้ไว้ แต่กลับอดไม่ไหวมองเขาผ่านช่องตาแคบๆ นั้นเป็นครั้งคราว ในตอนแรกเขายังวาดด้วยความกระวนกระวายใจอยู่บ้าง จากนั้นก็ผ่อนคลายลง คนหนึ่งแสร้งหลับ อีกคนแสดงอยู่เป็นเพื่อน ไร้ความกลมกลืนกัน
หลานฉือเซวียนกับชายแก่ยืนอยู่ที่ไม่ไกลนักนอกศาลา สังเกตความเคลื่อนไหวด้านใน คิ้วขมวดกันไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ผ่อนคลาย จนกระทั่งชายแก่ตัดสินใจตบหลังเขากะทันหัน
มือของชายแก่แรงดีจริงๆ
“เด็กๆ อย่างพวกเธอก็โตกันแล้ว ทำไมถึงยังทำอะไรไม่ชัดเจนเหมือนเด็กน้อยเลย” ชายแก่อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว แต่มุมปากกลับมีรอยยิ้มบางๆ อยู่ตลอดเวลา
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมสองคนนี้ถึงได้มีเรื่องมากมายขนาดนี้” เซี่ยเช่อส่ายหน้า เผยอาการไร้เดียงสา
“ฉันหมายถึงเธอกับเซี่ยเช่อเด็กนั่น ใครพูดถึงพวกเขาสองคนล่ะ แต่ว่า ยัยเด็กคนนั้นยังเหมือนกับตอนเด็กๆ เลย บ๊องๆ แต่ดื้อ” ชายแก่ส่ายหน้า ทำทีเหมือนจะเดินไป
“คุณจะเข้าไปทำไม ปล่อยพวกเขาไปแบบนี้เถอะ จะรบกวนทำไม?”
“ก็บอกแล้วว่าคนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอไม่รู้อะไร ป่านนี้แล้ว เสี่ยวเป่ยซีจะต้องนั่งจนเมื่อยไปทั้งตัวแล้วแน่ๆ เธอดูเจ้ากระต่ายน้อยนั่นสิ ไม่มีเซ้นส์เลยสักนิด วาดเสร็จแล้วก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้น”
สมน้ำหน้าแล้วที่จีบผู้หญิงไม่ติด ชายแก่ถอนหายใจ สีหน้าไม่ได้ดั่งใจปรากฏให้เห็นชัดเจน เดินไปด้านหลังเขาด้วยย่างก้าวที่แข็งแรง กระแอมไอเบาๆ
เสียงของชายแก่ต่ำเล็กน้อย แต่ก็ยังลอยเข้าหูของอี้เป่ยซีอย่างแม่นยำ ทำให้เธอลืมตาก็ไม่ได้ ไม่ลืมตาก็ไม่ได้ ลำบากใจจนแก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ
“ยัยหนูคนนี้เก่งจริงๆ ถูกเธอมองตั้งนานแล้วก็ยังไม่ตื่น”
เขาเก็บอุปกรณ์วาดภาพเงียบๆ ก้มหน้าก้มตา ราวกับเป็นลูกศิษย์ผู้อ่อนน้อมถ่อมตนอย่างไรอย่างนั้น ชายแก่ส่งเสียงจุ๊ๆ มองเขาที่กำลังจะสะพายกระเป๋า จู่ๆ ก็วางกลับไป ถอดเสื้อแจ็คเก็ตบางๆ บนตัวออก ค่อยๆ เดินเข้าไปหาอี้เป่ยซี
อี้เป่ยซีก็รู้สึกได้ว่าเขาเข้ามาใกล้ ยังคงหลับตา แต่กลับมีเหงื่อชั้นบางๆ ซึมอยู่ในมือ อดไม่ไหวที่จะกำมือแน่น เขายิ่งใกล้เข้ามา กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้รู้สึกทั้งปลอดภัยทั้งอันตราย ตอนนี้อี้เป่ยซีทนไม่ไหว ขยับขนตาเล็กน้อย ขณะนั้นเองเขาก็ยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม
ตอนนี้เธอรังเกียจเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?
ได้ยินเสียงฝีเท้าหายไป อี้เป่ยซีใช้ทักษะการหรี่ตาอีกครั้ง จึงพบว่าเขาถือเสื้อแจ็คเก็ตตัวบางอยู่ในมือ ยืนอยู่ในระยะปลอดภัยของตัวเอง ไม่ก้าวไปข้างหน้าและไม่ถอยหลัง ท่าทางเงอะงะเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง
“เอาล่ะ ก็ประมาณนี้แหละ อยากเจอหน้าเธอสักครั้ง ตอนนี้ก็เห็นแล้วยังจะเอาไงอีก?” ชายแก่รรบเร้าอย่างหมดความอดทนอยู่ด้านหลัง ในที่สุดก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่เบาบางมากๆ ราวกับว่ากำลังเยาะเย้ยระคนความเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็สะพายกระเป๋าแล้วจากไปด้วยความมั่นใจ
‘ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ อยากคลุมเสื้อให้ฉันไม่ใช่เหรอ ไม่เคยเห็นผู้ชายโลเลแบบนี้มาก่อนเลย’
‘ลั่วจื่อหาน นายนี่เหมือนนกกระจอกเทศจริงๆ’
‘ฉันโกรธมากเลยนะ นายไม่รู้จักปลอบใจหรือไง? ตอนนี้เป็นไง อยากดูแลเอาใจใส่แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ เหมือนผู้หญิง นายมันน่าดูถูกจริงๆ’
‘อย่าคิดว่าจะมีใครทำให้ฉันยกโทษนายได้ ตอนนี้ประตูมันปิดลงแล้ว’
อี้เป่ยซีคิดอย่างไม่พอใจ หลานฉือเซวียนนั่งอยู่ข้างๆ เธออย่างนึกขำ
“ค้างอยู่ท่านี้ตั้งนาน ไม่เหนื่อยหรือไง?”
“ผู้ชายอย่างพวกนายไม่มีดีสักคน” อี้เป่ยซีลืมตา ชำเลืองมองหลานฉือเซวียนด้วยความเหยียดหยามมาก
“แกล้งหลับเป็นไงบ้าง?”
“รู้ว่าฉันแกล้งหลับนายยังจะปลุกฉันอีก ตาไม่มีแววเลยจริงๆ”
หลานฉือเซวียนมองอี้เป่ยซีที่ราวกับว่ากินระเบิดเข้าไป ยกมือยอมแพ้ “ก็ได้ ฉันไม่พูดแล้ว จะให้ฉันไปเรียกเขากลับมาให้เธอระบายความโกรธหน่อยไหม?”
“ไม่ต้อง นายจับเขาโยนลงทะเลให้ปลากินก็พอแล้ว จะได้ไม่เปลืองสายตา”
“ครับผม รับทราบครับกัปตัน” หลานฉือเซวียนเงียบไปสักพัก “เธอ ไม่โกรธเขาแล้วเหรอ?”
เดิมทีอี้เป่ยซีที่พยายามข่มความโกรธของตัวเองไว้ตลอดเวลา พอได้ยินคำพูดของเขาแล้วก็ระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่โกรธอะไร ก็บอกให้นายโยนเขาให้ปลาในทะเลกินไม่ใช่เหรอ นี่เรียกว่าไม่โกรธเหรอ?” หลานฉือเซวียนได้แต่หัวเราะพร้อมมองเธอ อี้เป่ยซีเผชิญกับรอยยิ้มของเขาเป็นเวลานานรู้สึกขนลุกในใจ หดๆ คอ
“แค่ก กลับเถอะๆ ที่ตรงนี้มันน่าโมโหเกินไปแล้ว” เธอลุกขึ้นทันทีโดยไม่รีรอ เห็นว่ามีภาพสเก็ตช์วางอยู่บนโต๊ะหิน ดวงตาอดไม่ได้ที่จะโค้งงอ รีบเดินเข้าไปหยิบมันขึ้นมา
“ฝีมือไม่เลวเลย” ส่ายหน้าแต่กลับเก็บมันไว้อย่างดีมาก “นายไม่ไป จะอยู่นี่เลี้ยงยุงหรือไง?”
หลานซือเซวียนยักไหล่เดินตามไป แก้มของอี้เป่ยซีบวมปูด ราวกับลูกโป่งที่อัดแก๊สจนเต็มและพร้อมที่จะระเบิดตลอดเวลา เสียงที่ดังมากนั้นกลับไม่มีอันตรายใดๆ
เมื่อกลับถึงบ้าน อี้เป่ยซีเข้าห้องไปอย่างว่องไวท่ามกลางสายตาของทั้งสองคน จนกระทั่งเซี่ยเช่อไปหาเธอด้วยความเป็นห่วง จึงเห็นเธอพอออกพอใจกับภาพสเก็ตช์นั้นตามลำพัง แววตาสดใสชัดเจน
“ปลงได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?” เซี่ยเช่อปิดประตูอย่างงงงวย ก่อนหน้านี้ยังเป็นผู้หญิงดุดันที่เกลียดชังจนแทบทนไม่ไหวไม่ใช่เหรอ ทำไมเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็เปลี่ยนไปร้อยแปดสิบองศาแบบนี้
“เอ๊ะ” หลานฉือเซวียนมีท่าทีประหลาดใจมาก “ฉันนึกว่านายเป็นคนบอกเขาซะอีก”
“ฉันจะบอกเขาได้ยังไง! ใครจะรู้ว่าวินาทีต่อมาเธอจะปรี๊ดแตกหรือเปล่า”
“งั้น ลุงนายไปอยู่กับเขาได้ยังไง?”
“โถ่เอ๊ย” เซี่ยเช่อทนไม่ไหวทุบกำแพง “ฉันลืมไป นั่นคือปู่ของเขา”
คราวนี้ถึงตาหลานฉือเซวียนทุบกำแพงบ้าง “ปู่เขาไม่ได้อยู่ที่ประเทศ U เหรอ?”
“คุณย่าของเขาอยู่ที่ประเทศ C นี่นา ครั้งนี้ช่างเถอะ คุณลุงก็รู้แล้ว คุณลุงมีท่าทียังไงกับเป่ยซีบ้าง?” เซี่ยเช่อต้องยอมรับว่าเขาระมัดระวังในการพูดประโยคนี้มาก หัวใจของเขาตุ้มๆ ต่อมๆ ชายแก่คนนั้นดูเป็นคนใจดี แต่เมื่อคิดๆ เรื่องที่เขาทำแล้วก็รู้สึกกลัว
หลานฉือเซวียนก็แสดงท่าทีเคร่งขรึม หวนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างละเอียด “อืม น่าจะโอเคนะ แต่ไม่ค่อยพอใจลั่วจื่อหานเท่าไร”
เซี่ยเช่อกระพริบตาจึงถอนหายใจโล่งอก ดีแล้ว รุ่นคุณปู่ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แต่ไม่รู้ว่ารุ่นคุณพ่อจะเป็นอย่างไรบ้าง ในสายตาของเขา คนบ้านลั่วเป็นพวกมากเรื่องยากที่จะจัดการ โดยเฉพาะลั่วจื่อหาน
“พวกเราก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้แล้ว” หลานฉือเซวียนมองดูประตูที่ปิดสนิทข้ามไหล่เซี่ยเช่อ ราวกับว่าทันทีที่เปิดออกก็จะมองเห็นทางสว่าง
“ใช่แล้ว” เซี่ยเช่อพยักหน้า “ตอนนี้ก็เป็นเรื่องของพวกเราสองคนแล้ว” เขาเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เข้าใกล้หน้าอกของหลานฉือเซวียน
“พวกเรา? มีเรื่องอะไรเหรอ?” เซี่ยเช่อได้ยินแบบนี้ก็ขมวดคิ้วไม่พอใจ เผยรอยยิ้มมีเสน่ห์ชั่วร้าย ระคนความพินิจพิเคราะห์เล็กน้อย หลานฉือเซวียนกุมขมับ ‘ทำไมรอบตัวเขาถึงมีแต่เด็กน้อยกันนะ’
“ไปคุยที่ห้อง”
————