Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ - ตอนที่ 122
บทที่ 122 กลับมาอีกครั้ง (6)
อี้เป่ยซีไม่เห็นฉู่ซ่งเป็นเวลาติดต่อกันสามสี่วัน คุณแม่ฉู่บอกว่าฉู่ซ่งออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว กลางคืนก็กลับมาตอนเกือบรุ่งสาง บอกว่าเกิดเหตุฉุกเฉินนิดหน่อยที่บริษัท อีกไม่กี่วันก็เรียบร้อยแล้ว บอกเธอว่าไม่ต้องเป็นห่วง ฉะนั้นการไปเที่ยวที่อี้เป่ยซีคาดหวังไว้ในตอนแรกจึงกลายเป็นการเปลี่ยนสถานที่เล่นคอมพิวเตอร์
นั่งเล่นคอมพิวเตอร์บนเก้าอี้ นั่งเล่นคอมพิวเตอร์บนพื้น นอนเล่นคอมพิวเตอร์บนเตียง เล่นตลอดเวลาจนคอมพิวเตอร์และตัวเธอรู้สึกร้อน อี้เป่ยซีจึงคิดว่าตัวเองจะต้องหยุดชีวิตที่ไร้ความหมายและทำร้ายสุขภาพอย่างยิ่งยวดเช่นนี้
รวบรวมความกล้าเปิดกล่องข้อความที่ไม่ได้ใช้เท่าไรนัก เห็นจำนวนข้อความสีแดงที่ยังไม่ได้อ่านแล้วก็รู้สึกปวดหัวและหงุดหงิด
‘ช่างเถอะ เธอติดค้างหนี้สินก็ต้องชดใช้’ เธอหลับตา สุ่มเปิดขึ้นมาข้อความหนึ่ง
‘ช่วงนี้ก็ทำงานนี้ก่อนเถอะ’ เธออ่านข้อกำหนดของงาน พลางฟังเสียงฮัมเพลงของหญิงสาวที่คมชัด ภาพวาดคลุมเครือปรากฏขึ้นมาในหัว เธอหยิบปากกาขึ้นมาขีดเขียนสองสามคำ เปิดอินเทอร์เน็ตค้นหาสิ่งของที่มีความเกี่ยวข้อง รูปภาพ ตำราโบราณ รวมถึงดนตรี จนกระทั่งเมื่อคุณแม่ฉู่ตะโกนเรียกเธอให้ไปกินข้าวในตอนกลางคืน เนื้อหาส่วนใหญ่ก็เสร็จแล้ว
กินข้าวเสร็จ ก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้อง ใส่หูฟังเริ่มแก้งานจนถึงเช้าจึงเสร็จสมบูรณ์ในที่สุด แล้วกดปุ่มส่ง
อี้เป่ยซีบิดชีเกียจ เลื่อนเม้าส์สองสามที ฉับพลันนั้นก็เบิกตากว้าง
“ไม่ ไม่จริงมั้ง” เธอกัดเล็บด้วยความตื่นเต้น “ดีใจจังเลย สวรรค์ สวรรค์”
ไม่สนใจว่าคนทางนั้นจะหลับอยู่หรือเปล่า รีบตอบอีเมล์กลับไปทันที คิดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่กี่นาทีก็ได้รับอีเมล์ตอบกลับมา
“แมวราตรีหลิงซี ถ้างั้นพวกเราเจอหน้าแล้วคุยกันหน่อยไหม? ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ฉันไปที่อาจารย์ก็ได้ค่ะ พอดีว่าตอนนี้ฉันกำลังพักร้อน ว่างมากเลย”
“ใช้วีแชทเถอะ ไอดีของฉันคือxxx”
อี้เป่ยซีคว้าโทรศัพท์มือถือข้างตัวแล้วพิมพ์เข้าไปด้วยความสั่นเทาเล็กน้อย มองหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่สักพักจึงกดปุ่มค้นหา อีกฝ่ายรับคำขออย่างรวดเร็ว
“สวัสดีค่ะอาจารย์”
“อย่าเรียกว่าอาจารย์เลย เธอทำแบบนี้กดดันฉันมากนะ เรียกฉันว่าฉินติงก็ได้”
“อาจารย์ฉิน”
“เอาเถอะ แล้วแต่ละกัน ดึกมากแล้วงั้นฉันไม่ยืดเยื้อไปมากกว่านี้แล้ว ตอนนี้ฉันอยู่เมือง B ถนนฉางชิง เขต XX พวกเรานัดเจอกันที่ร้านกาแฟแถวนี้ก็ได้”
อี้เป่ยซีส่งอิโมจิประหลาดใจจำนวนมากกลับไป
“ใกล้มากเลย”
“บังเอิญจัง ช่วงนี้เธอมีเวลาไหม? มะรืน?”
“ได้ค่ะ ได้”
“งั้นค่อยนัดเวลาอีกทีเถอะ ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ราตรีสวัสดิ์”
อี้เป่ยซีบอกว่าราตรีสวัสดิ์ด้วยรอยยิ้มมีความสุข กอดโทรศัพท์มือถือนอนลงบนเตียง
อา ความสุขมาอย่างกะทันหันเกินไปแล้ว เวลาผ่านไปเร็วกว่านี้หน่อย เร็วกว่านี้หน่อยเถอะ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าขณะที่พร่ำบ่นถึงมันอยู่ตลอดเวลา ฉู่ซ่งยังคงออกแต่เช้ากลับดึกและทำงานล่วงเวลา อี้เป่ยซีก็นอนจนตะวันสายโด่งจึงจะตื่น ภายในบ้านว่างเปล่าราวกับว่าไม่มีคนอยู่
ยังคงตื่นนอนเกือบเที่ยง เธอเลือกเสื้อผ้าที่ดูเป็นทางการตัวหนึ่ง แต่งหน้าบางๆ กำลังจะออกไป
มองดูลูกบิดประตูที่เงียบงัน ออกแรงดันแล้วดันอีก
พระเจ้า ทำไมแม่ยังเลอะเลือนเหมือนเดิมเลย ใครให้เธอล็อคประตูจากข้างนอกล่ะ ใครล็อคกันนะ
เธอสงบสติ โทรหาคุณแม่ฉู่
“ฮัลโหล แม่…”
“ฉู่เซี่ย แม่ยุ่งนิดหน่อย เดี๋ยวแม่จะโทรกลับ”
“เปล่านะ แม่ ฮัลโหล ฮัลโหล…” อี้เป่ยซีมองหน้าจอที่ดับลง ถอนหายใจ ‘รู้งี้เธอก็ตื่นเร็วกว่านี้แล้ว ทำไงดี เดิมทีก็ใกล้ถึงเวลานัดหมายแล้ว ตอนนี้ยังเกิดเรื่องแบบนี้อีก จบแล้ว จบแล้ว’
เธอรีบโทรศัพท์ไปหาฉู่ซ่ง “ฮัลโหล ฉู่ซ่ง ฉันถูกแม่ล็อคไว้ข้างใน นายรีบมาช่วยฉัน เร็วเข้าๆ”
“อืม” ได้ยินคำตอบแล้วอี้เป่ยซีรีบวางสาย ส่งข้อความขอโทษในวีแชททันที ชี้แจงถึงเหตุผล
เหตุผลนี้ ไม่ว่าใครพูดแล้วก็คงรู้สึกเหลือเชื่อมากล่ะมั้ง เธอยังคงส่งไปตามความเป็นจริง คนคนนั้นส่งอาการปลอบโยนกลับมา
“ไม่เป็นไร เธอไม่ต้องรีบ”
“ขอบคุณค่ะ ฉันจะไปให้เร็วที่สุด”
ไม่นาน เสียงเปิดประตูดังขึ้นจากด้านนอก อี้เป่ยซีรีบลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นคนที่มาอย่างชัดเจนแล้ว กลับไม่ใช่ใบหน้าที่ตัวเองคุ้นเคย แต่กลับเป็นอีกใบหน้าที่คุ้นเคยจนไม่สามารถคุ้นเคยไปได้มากกว่านี้
“ลั่ว ลั่วจื่อหาน ทำไมถึงเป็นนาย?”
“ไหนว่ารีบมากไม่ใช่เหรอ ฉันไปส่งเธอ?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า ตามหลังเขาไป ลั่วจื่อหานเดินนำหน้า เปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับ อี้เป่ยซีกอดกระเป๋าเข้าไปนั่งพร้อมกล่าวว่าขอบคุณ แล้วคนคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ลั่วจื่อหานก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ขับรถอย่างตั้งใจโดยไม่ได้มองมาที่เธอเลย บรรยากาศแปลกประหลาดเล็กน้อย
มาถึงร้านกาแฟ อี้เป่ยซีรีบวิ่งเข้าไป ชายกระโปรงพริ้วไหว มาถึงที่นั่งที่นัดหมายภายใต้การนำทางของบริกร
“คุณคือ?” อี้เป่ยซีถามอย่างเป็นมิตร
“ผมนี่แหละฉินติง” ผู้ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน ลักษณะเหมือนวัยกลางคน ตรงกระหม่อมล้านเล็กน้อย ท่าทางใจดีมาก
“หา ฉันนึกว่า…ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ”
“ไม่เป็นไร ผมเองก็ไม่รู้ว่าหลิงซีจะเป็นเด็กสาวตัวน้อยๆ แบบนี้”
ทั้งสองคนก็พูดคุยกัน ปกติแล้วอี้เป่ยซีไม่ใช่คนที่ชอบพูดคุยกับคนอื่น แต่ฉินติงกลับเป็นคนช่างพูดมาก แสดงความคิดเห็นถึงเนื้อเพลงของอี้เป่ยซีรวมถึงบทความจำนวนหนึ่ง อี้เป่ยซีก็ติดโรคพูดมากไปด้วยแล้ว
จนกระทั่งเข็มสั้นหมุนครบสองรอบ พวกเขาจึงบรรลุข้อตกลง
“ก็คือเธอยังต้องแก้อีกหน่อย แก้ตามที่ฉันบอกได้หรือเปล่า?”
“ฉันขอดูก่อนเถอะค่ะ อาจจะมีบางส่วนที่ฉันยังทำไม่ได้”
“งั้นก็ไม่เป็นไร วันนี้ดีใจมากที่ได้คุยกับเธอ หวังว่าจะร่วมงานกันอย่างราบรื่น”
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ”
ฉินติงมองเวลา “ตอนนี้ก็สายแล้ว งั้นพวกเราค่อยคุยกันคราวหน้า?”
“ได้ค่ะ ลาก่อนค่ะอาจารย์ฉิน” ทั้งสองคนหัวร่อต่อกระซิกกันออกจากร้านกาแฟ สุดท้ายเขายังปล่อยมุขตลกอีก อี้เป่ยซีอดไม่ไหวหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
อี้เป่ยซีออกมาเห็นรถที่จอดที่อยู่นั่นก่อนหน้านี้ ยังคงจอดอยู่ตรงนั้น หลังจากบอกลากับฉินติงแล้ว วิ่งเหยาะๆ เข้าไป บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม
“ทำไมนาย”
ลั่วจื่อหานลดกระจกรถลง มองดูแผ่นหลังของผู้ชายคนนั้น แล้วมองรอยยิ้มของอี้เป่ยซี จู่ๆ ก็รู้สึกบาดตามาก เขาบอกให้ขึ้นรถอย่างเฉยเมย เสียงที่เย็นชาทำให้ความรู้สึกยินดีทั้งหมดหายไป
“ไม่ต้องหรอก ฉันอยากเดินเล่นอีกหน่อย นายกลับไปก่อนเถอะ”
“เป่ยซี บางทีฉันก็รู้สึกสับสนมากจริงๆ เธออยากให้ฉันทำยังไงกันแน่”
“ฉันไม่ได้อยากให้นายทำยังไง ลั่วจื่อหานนายดีมากจริงๆ ดีมากเกินไปแล้ว นายที่ดีอย่างนี้จะอยู่ข้างกายฉันได้ยังไง ฉันเองยังไม่เชื่อเลยว่ามันเป็นเรื่องจริง”
“เป่ยซี” ลั่วจื่อหานปิดประตูรถเดินเข้ามาหาเธอ อี้เป่ยซีถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เขาตามไป เธอก็ถอยหลังไปอีกก้าว ลั่วจื่อหานดึงตัวเธอมา “เพราะฉันทำดีไม่มากพอเลยทำให้เธอไม่เชื่อใจเหรอ?”
————