Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ - ตอนที่ 110
บทที่ 110 เพื่อเป้าหมายอันชั่วร้าย (2)
หลังจากอี้เป่ยซีกึ่งปีนขึ้นรถแล้วลั่วจื่อหานก็กำลังคุยโทรศัพท์ ออกจากมหาวิทยาลัยก็กำลังคุยโทรศัพท์ ใกล้จะถึงหน้าประตูบ้านก็ยังคุยโทรศัพท์ เธอขดตัวอย่างเบื่อหน่าย ทันใดนั้นก็ได้ยินคำศัพท์ที่คุ้นเคยมาก
‘นี่เป็นเนื้อหาที่เธอเพิ่งอ่านไม่ใช่เหรอ? เขา…’ แอบชำเลืองมอง แสร้งทำเป็นไม่สนใจทำเป็นหลับตาพักผ่อน แต่กลับเงี่ยหูฟังไปตามเสียงของลั่วจื่อหาน
จากทฤษฎีสู่การประยุกต์ การเปลี่ยนแปลงในระหว่างนี้ การเชื่อมต่อทางเคมี มันเหมือนกับการเคี้ยวอาหารอย่างไรอย่างนั้น รสชาติทั้งหมดผุดขึ้นมาชัดเจน เธออดไม่ได้ที่จะร้องอุทาน ทำไมเธอถึงคิดไม่ถึงจุดนี้
“หืม เป่ยซี” ทันใดนั้นลั่วจื่อหานหยุด อี้เป่ยซีเบิกตาโต
“เปล่า ฉันก็แค่เหนื่อยนิดหน่อย นายพูดต่อ พูดต่อเลย”
เขาหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “พูดจบแล้ว ไม่มีอะไรน่าพูดแล้ว แค่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ”
“หา ไม่ใช่นะ เมื่อกี้เพิ่งพูดถึง…” เธอหุบปากทันที “เอ่อ เสียงนายเพราะมาก พูดต่อเถอะ”
“ฉันรู้”
“หา?” ไม่เคยเห็นการยอมรับคำชมที่ตรงไปตรงมาแบบนี้เลย อี้เป่ยซีไม่ได้สนใจอะไรและไม่สามารถหาหัวข้ออะไรที่จะคุยต่อไปได้ เสียบหูฟังและฟังเพลงก่อนหน้านี้วนไปเรื่อยๆ แต่ในสมองกลับกำลังคิดถึงเรื่องอื่น
ถ้าให้ลั่วจื่อหานติวให้เธอ จะเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนทำให้เขาเสียเวลาหรือเปล่านะ รู้สึกว่าลั่วจื่อหานยุ่งมากเลย
“เธอฟังอะไรอยู่เหรอ?”
“หืม เพลงที่เพราะมากๆ นายอยากฟังด้วยไหม”
“ฟังได้ไหม?” ลั่วจื่อหานเผยรอยยิ้มคลุมเครือ
อี้เป่ยซีพยักหน้าหน้า เปิดลำโพง เริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น ช่วงแรกคือเสียงของมู่ลี่ไป๋ เสี่ยงที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ดึงผู้คนเข้าไปในฉากรัก เหมือนเป็นการร่างแบบคร่าวๆ จากนั้นเสียงที่เยือกเย็นและทุ้มต่ำค่อยๆ ทำให้ฉากรักชัดเจนยิ่งขึ้น ปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดออกมา มีความผ่อนคลาย
“เพราะมากเลยใช่ไหมล่ะ”
ลั่วจื่อหานเห็นดวงตาที่เป็นประกายของเธอพยักหน้า “เพราะมาก” เสียงนั้นเยือกเย็นเหมือนกัน อี้เป่ยซีรู้สึกประหลาดใจ หันมองอย่างเหลือเชื่อ
“นายๆๆ…ลั่ว…”
ลั่วจื่อหานฮัมเพลงเบาๆ หลังจากร้องจบแล้ว ประตูก็มาจอดที่หน้าอะพาร์ตเม้นต์ มองเธอด้วยความลึกซึ้ง “เป่ยซี เพราะมาก”
อี้เป่ยซีพูดไม่ออก กระพริบตา
“เขียนได้ดีมาก ฉันชอบมาก” จู่ๆ ลั่วจื่อหานก็กอดอี้เป่ยซีที่ยังงุนงงอยู่ “อย่าคิดแบบนั้นอีกโอเคไหม”
“ฉัน ฉันเปล่า ก็แค่ เขียนจบก็จบแล้ว”
“อืม มันจบแล้ว”
ลั่วจื่อหานเข้าอะพาร์ตเม้นต์ไปและทำกับข้าวในห้องครัวเหมือนปกติ อี้เป่ยซีกอดหนังสือเรียน มองเงาที่อยู่ในห้องครัว เสียงของลั่วจื่อหานยังคงอยู่ในหัว เสียงฮัมเพลงนั้นชวนให้หลั่งน้ำตา
“แต่ว่าการพบและการจาก ก็คือเกมส์ที่นายกำกับจุดเริ่มต้นและจุดจบด้วยตัวเอง”
ไม่รู้ว่าทำไม อี้เป่ยซีรู้สึกเจ็บปวดใจ
บนโต๊ะอาหาร ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร หลังจากอี้เป่ยซีกินเสร็จแล้วก็ขึ้นชั้นบนไปเหมือนกับหลบหนี พอมาถึงห้องก็วางเรียงรายหนังสือที่ต้องการจะอ่าน แต่อ่านไม่เข้าใจเลยสักคำ
‘ลั่วจื่อหาน นาย ทำไมถึงได้มีแววตาเศร้าแบบนี้’ เธอคิดจนด่ำดิ่ง แม้แต่ถูกลั่วจื่อหานทำให้เครียดก็ยังไม่รู้ตัว
“คิดแบบนี้ไม่ถูก” เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันทำเอาอี้เป่ยซีตกใจจนเกือบร่วงลงพื้น เธอเกาะยึดหนังสือตรงหน้าตัวเอง
“นายเข้ามาได้ยังไง”
“ดูว่าเธอยังคิดไม่ตกหรือเปล่า”
อี้เป่ยซีไม่ได้มองเขา กำปากกาแน่นจนสั่น “คิดไม่ตกอะไร ตอนนี้ในใจฉันมีแต่เรื่องเรียน”
ลั่วจื่อหานถอนหายใจ นิ้วที่เรียวยาวกดจิ้มร่างคำตอบของอี้เป่ยซี “ไม่ถูกตั้งแต่ตรงนี้แล้ว”
“เอ๊ะ โจทย์ตัวอย่างในหนังสือเป็นแบบนี้นี่นา”
“ใช่ แต่ว่าเธอไม่ได้อ่านโจทย์ให้ละเอียด ประเด็นของมันไม่เหมือนกันซะทีเดียว เธอดูสิ…”
ลั่วจื่อหานนั่งลงข้างอี้เป่ยซีและเริ่มอธิบายโจทย์ เธอก็ไม่เกรงใจเอาโจทย์ที่สะสมไว้ก่อนหน้านี้มาถามเขาทั้งหมด ลั่วจื่อหานอธิบายอย่างใจเย็น รวมทั้งทำการเปรียบเทียบอย่างมีชีวิตชีวา อี้เป่ยซีจึงค้นพบความสนุกที่แท้จริงของวิชานี้
หลังจากจบแล้ว อีเป่ยซีบิดขี้เกียจด้วยความพึงพอใจมาก “ที่แท้ก็สนุกแบบนี้นี่เอง ไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“เธอเรียนน่าเบื่อเกินไปแล้ว อีกอย่าง ยังต้องพัฒนาทักษะอีกเยอะเลย”
“อืม เยอะเลยแหละ” เธอเกาหัว “พระเจ้า ดึกขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”
ลั่วจื่อหานหยักหน้า “ใช่แล้ว ดึกมากแล้ว ข้างนอกเหมือนจะฝนตกด้วย”
เธอจึงสังเกตเห็นเม็ดฝนนอกห้อง “เอ่อ นายจะกลับไปยังไง”
“กลับไป?”
เธอรีบส่ายหน้า “ไม่ๆๆ ไม่กลับ ไม่กลับ”
ลั่วจื่อหานดื่มน้ำคำหนึ่ง “ในห้องวาดรูปมีเตียงอยู่ เธอไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องสนใจฉัน”
“ห้องวาดรูป?” เขาตอบว่าอือแล้วลุกขึ้น ค้นหาเสื้อผ้าของตัวเองออกมาจากตู้เสื้อผ้าด้วยความคุ้นเคย
“ดึกแล้วอากาศหนาว ห่มผ้าให้ดี” พูดจบก็ออกจากห้องนอนไป อี้เป่ยซีมองเหม่อเขาปิดประตู
ทำไมเธอไม่รู้ว่าห้องวาดรูปมีเตียงด้วย ทั้งๆ ที่เธอสำรวจห้องวาดรูปมาแล้วรอบนึงนี่นา
‘ช่างเถอะๆ ลั่วจื่อหานก็ไม่เหมือนคนที่จะเอาเปรียบเธอ ไม่ต้องไปสนใจดีกว่า’ พยักหน้าเก็บหนังสือที่อยู่บนโต๊ะใส่กระเป๋า เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ
ปิดไฟขึ้นเตียงแต่ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ เดิมทีห้องนอนเต็มไปด้วยกลิ่นของตัวเอง แต่ว่าวันนี้กลับมีกลิ่นสดชื่นจางๆ ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเจ้าของกลิ่น ทั้งใบหน้าและเสียงของเขา
ในห้องวาดรูป มันมี…ไม่มีหรอก เขาน่าจะไปนอนที่โซฟามากกว่า
แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือบ้านของเขา มานอนบ้านคนอื่นแบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร เช่นนั้นเธอไปดูสักหน่อยดีกว่า งั้นก็ ไปดูสักหน่อย
เธอลุกขึ้น ครุ่นคิดแล้วหยิบผ้าห่มผืนบางออกมาจากตู้ ออกไปจากห้องแผ่วเบา ไฟของห้องวาดรูปยังคงสว่างอยู่ เธอผลักประตูเปิดเบาๆ ได้ยินเสียงหัวเราะ
เสียงหัวเราะถูกปลดปล่อยเต็มที่ ไม่มีการระงับไว้เลยสักนิด
เรื่องอะไรกันที่ทำให้เขามีความสุขขนาดนี้
“เป่ยซี” ลั่วจื่อหานเก็บข้าวขาวบนโต๊ะ มุมปากยังคงยกยิ้มอย่างมีความสุขมาก “นอนไม่หลับเหรอ?”
เธอส่ายหน้า “คือว่า ฉันเห็นว่านายไม่ได้เอาอะไรมา ก็เลยเอาผ้าห่มนี่มาให้นาย”
ลั่วจื่อหานลุกขึ้นรับ “ขอบคุณนะ”
“เมื่อกี้นายขำอะไรเหรอ?”
“อ๋อ เมื่อกี้ได้ยินคนเล่านิทาน เรื่องของฮีโร่มีปมคนนึงที่มีความรู้สึกนึกคิด ก็เลยอดหัวเราะไม่ไหว”
‘การมีปมมีอะไรน่าขำเหรอ’ เธอคิดในใจ
“อืม งั้นราตรีสวัสดิ์”
“เธอเห็นของพวกนั้นแล้วยัง?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า “ลั่วจื่อหาน นายเก่งมาก ฉัน มีบางเรื่องที่ฉันอยากจะเข้าใจ”
เขายื่นมือดึงเธอมาอยู่ข้างกาย “อืม ฉันเชื่อเธอ”
“นาย” เธอต้องการจะออกจากอ้อมอกของลั่วจื่อหาน แขนที่อยู่บนตัวยิ่งออกแรง
————