ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 253-1 หากเจ้าไม่ละทิ้ง ข้าจักไม่ทิ้งขว้าง
สิ้นเสียงเมิ่งเชี่ยนโยว ภายในห้องเงียบสนิท
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อไม่คิดว่านางจะเอ่ยปากเรื่องถอนหมั้น ให้ตกใจนิ่งอึ้ง
เมิ่งอี้เซวียนมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา
ส่วนฉู่เหวินเจี๋ยตกใจทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ ตกใจถาม “เจ้าและอี้เซวียนได้หมั้นหมายกันเอาไว้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
“จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าและอี้เซวียนโดยนิตินัยมิได้เป็นพี่น้องกันรึ? จักหมั้นหมายกันได้อย่างไร?” ฉู่เหวินเจี๋ยถลึงตาถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เรื่องนี้พูดแล้วยาว ประเดี๋ยวข้าค่อยอธิบายให้ท่านฟัง ขอท่านรับปากข้า ยกเลิกการหมั้นหมายของข้ากับอี้เซวียน”
ฉู่เหวินเจี๋ยมองใบหน้านิ่งขรึมของอี้เซวียน ไม่กลับรับปาก พูดว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่ ข้าตัดสินใจไม่ได้ ต้องขอคำแนะนำจากท่านอ๋องก่อนถึงจะตัดสินได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดว่า “เดิมข้าจะเอ่ยเรื่องนี้กับท่านอ๋องเอง แต่ด้วยสภาพร่างกายข้าในตอนนี้ ไม่อาจบอกกล่าวสาเหตุของการหมั้นหมายอย่างเคารพนบนอบกับเขาได้ จำต้องรบกวนท่านแม่ทัพ ช่วยตัดสินใจแทนอี้เซวียน”
รอยยิ้มบนใบหน้าฉู่เหวินเจี๋ยเลือนหาย ขมวดคิ้วพูดว่า “แม่นางจักต้องเล่าถึงความเป็นมาเป็นไปของเรื่องนี้ก่อน ข้าถึงจะรู้ว่าตัวเองตัดสินใจเรื่องนี้ได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านพ่อ ท่านเล่าเรื่องในตอนนั้นให้ท่านแม่ทัพฉู่ฟังหน่อยเถิด”
เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นฉู่เหวินเจี๋ยดูเป็นคนเปิดเผยจริงใจ ไม่เหมือนคนที่มีนิสัยชอบเข่นฆ่า ความหวาดกลัวในใจสลายไป เล่าเรื่องราวในอดีตอย่างไม่ตกหล่น ตั้งแต่ตอนที่เก็บเมิ่งอี้เซวียนมา ทั้งใช้เงินยี่สิบตำลึงในห่อผ้าเขาช่วยชีวิตเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ ต่อมาสองสามีภรรยาหนิวไม่มีบุตร มาคุกเข่าอ้อนวอนหน้าประตู ทั้งร้องขอให้ผู้ใหญ่บ้านมาช่วยพูด รวมถึงความละอายใจ หลังจากพวกเขาให้เมิ่งอี้เซวียนไปอยู่กับสองสามีภรรยาหนิว จึงหมั้นหมายเขาให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว
ฉู่เหวินเจี๋ยได้ฟังเงียบงันครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดอี้เซวียนถึงกลับมาอยู่กับพวกเจ้าได้อีก?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อหันสบตากัน แล้วมองไปที่ฉู่เหวินเจี๋ยอย่างระแวดระวัง ลังเลว่าควรจะพูดเรื่องที่สองสามีภรรยาหนิวทารุณเมิ่งอี้เซวียนออกมาหรือไม่
ฉู่เหวินเจี๋ยก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งท่านแม่ทัพได้ ไม่ใช่มีดีแค่เป็นทหาร พลันสังเกตเห็นความผิดปกติ ชักสีหน้านิ่ง พูดแทงใจดำ “อย่างไร หรือพวกเขาปฏิบัติไม่ดีกับเซวียนเอ๋อร์?”
ภายในห้องไม่มีใครรับคำ
ฉู่เหวินเจี๋ยหรี่นัยน์ตาลง น้ำเสียงเจือแววกราดเกรี้ยว “ข้าเดาถูก?”
สองสามีภรรยาเมิ่งสบตากันอีกครั้ง เมิ่งเอ้ออิ๋นถอนใจพูดว่า “เรื่องนี้เป็นความผิดของพวกเราเอง ทำให้อี้เซวียนต้องทนทุกข์ทรมานหลายปี”
ฉู่เหวินเจี๋ยเริ่มร้อนรน “เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ พวกเจ้ารีบบอกข้าสิ”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ บอกเรื่องทั้งหมดแก่ท่านแม่ทัพฉู่เถิด” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ให้ชิงชังสองสามีภรรยาหนิวมานาน จึงเล่าความเริ่มจากที่สองสามีภรรยาหนิวเห็นอี้เซวียนเป็นดั่งแก้วตาดวงใจมาหลายปี ต่อมาพวกเขามีลูกของตัวเอง จึงไม่เห็นอี้เซวียนเป็นคนอีก
ตอนที่เมิ่งเอ้ออิ๋นเริ่มพูดว่าเมิ่งอี้เซวียนถูกทารุณกรรม เส้นเลือดเขียวบนมือที่จับพนักวางแขนของฉู่เหวินเจี๋ยก็บวมปูดขึ้นทันที กระทั่งเมิ่งเอ้ออิ๋นเล่าเรื่องจบ ฉู่เหวินเจี๋ยก็ทนต่อไปไม่ไหวอีก ตบพนักวางแขนลุกขึ้นยืน ร้องเกรี้ยวกราด “สองสามีภรรยาหนิวตัวดี กล้าปฏิบัติต่อเซวียนเอ๋อร์เช่นนี้ได้ สมควรตายแล้ว!”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อตกใจที่เขาบันดาลโทสะออกมา “พลั่ก” คุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกัน “ท่านแม่ทัพโปรดอภัย เรื่องนี้เป็นความผิดของพวกเรา พวกเราไม่ควรใช้เงินยี่สิบตำลึงแล้วมอบอี้เซวียนให้พวกเขา”
ฉู่เหวินเจี๋ยก็โกรธเคืองพวกเขาอยู่บ้าง พูดว่า “เมื่อเจ้าเก็บอี้เซวียนได้ ก็ควรจะเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ พวกเจ้าถูกสถานการณ์บีบคั้น มอบเขาให้กับชายชั่วหญิงโฉดนั่น ทำให้เขาต้องได้รับทุกข์ทรมานนานหลายปี”
เมิ่งเอ้ออิ๋นเองก็เสียใจมาตลอด ได้ยินคำติเตียนของฉู่เหวินเจี๋ย ไม่ปริปากใดๆ
ฉู่เหวินเจี๋ยมองดูปฏิกิริยาพวกเขา ไฟโทสะคุกรุ่นหาที่ระบายไม่ได้ กำหมัดชกลงบนโต๊ะ พื้นผิวโต๊ะแหว่งเว้าเข้าไปทันที
สองสามีภรรยาเมิ่งตกใจกลัวตัวสั่น
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว พูดว่า “ท่านแม่ทัพฉู่ ต่อให้ท่านพ่อท่านแม่ข้ากระทำไม่ถูกต้องอย่างไร ในตอนนั้นก็เป็นพวกเขาที่เก็บอี้เซวียนกลับมา ช่วยชีวิตเขาไว้ อีกทั้งหลังจากท่านพ่อท่านแม่ข้าจำใจยกอี้เซวียนให้คนอื่นไป ยังได้หมั้นหมายข้าให้กับเขา ไม่มีใครล่วงรู้อนาคต หากรู้ว่าสองสามีภรรยาหนิวจะปฏิบัติต่ออี้เซวียนเช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรท่านพ่อท่านแม่ข้าย่อมไม่มีวันมอบอี้เซวียนให้พวกเขาเด็ดขาด”
หลังจากชกระบายโต๊ะไปหนึ่งหมัด ไฟโทสะของฉู่เหวินเจี๋ยคลายลงไปบางส่วน ทั้งเห็นเมิ่งอี้เซวียนมองตนเองอย่างไม่เห็นด้วย ให้รู้สึกว่าตนเองพาลใส่อารมณ์เกินกว่าเหตุ ผ่อนคลายน้ำเสียงพูดว่า “พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ พอข้าได้ยินว่าพวกเขาทารุณกรรมอี้เซวียนก็เลยบันดาลโทสะขึ้นมา มิได้จะพุ่งเป้าที่พวกเจ้า”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อกล่าวขอบคุณเสียงสั่น “ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ไม่ตำหนิโทษพวกเราขอรับ” แล้วพยุงกันและกันลุกขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นห่วงพวกเขา พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ายังมีเรื่องจะพูดกับท่านแม่ทัพฉู่ พวกท่านกลับไปพักผ่อนในห้องก่อนเถอะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อตกใจกลัวจนเหงื่อซึมไปทั่วร่างแล้ว ไม่อยากอยู่ประจันหน้าฉู่เหวินเจี๋ยอีกต่อไป ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ รับคำทันควัน “ได้ พวกเจ้าคุยกันไปก่อน พวกเราจะกลับไปที่ห้อง” พูดจบ ไม่รอเมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ ก็ผลุนผลันเดินออกไปจากห้องเมิ่งเชี่ยนโยว
ช่วงเวลานี้ เมิ่งอี้เซวียนไม่ได้พูดอะไรเลย
ฉู่เหวินเจี๋ยนึกว่าเขาไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องเลวร้ายในอดีต มองเขาอย่างเวทนา มือใหญ่กร้านลูบศีรษะเขา พูดว่า “เซวียนเอ๋อร์ วางใจเถอะ ใครก็ตามที่รังแกเจ้า น้าจะไม่ปล่อยมันไปเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวเกิดความรู้สึกไม่ดีทะลักเอ่อ ขอร้องแทนสองสามีภรรยาหนิว “ท่านแม่ทัพฉู่ แม้พวกเขาจะมีจิตใจชั่วร้าย แต่ความผิดก็ไม่ถึงชีวิต…”
ฉู่เหวินเจี๋ยยื่นมือออกมายั้งไม่ให้นางพูดจบ “แม่นางเมิ่ง เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีก แม้นข้าจะเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ กลับไม่เคยเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์มาก่อน บัดนี้ข้าอดรนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ คนพรรค์นั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปก็มีแต่จะรกโลก สู้ให้พวกเขารีบตายรีบปลดปล่อย ชาติหน้าจะได้เกิดมาเป็นคนดี”
ฟังจากน้ำเสียงเขา เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าตนเองห้ามเขาไม่ได้แล้ว เลี่ยงไปขอร้องแทนหนิวตั้น “อี้เซวียนเห็นเด็กคนนั้นมาตั้งแต่เกิด มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อเขา พวกท่านอย่าได้ลงมือกับเขา จะทำให้อี้เซวียนเสียใจได้”
ฉู่เหวินเจี๋ยมองเมิ่งอี้เซวียน
เมิ่งอี้เซวียนยังคงไม่พูด เพียงแค่พยักหน้า
เดิมฉู่เหวินเจี๋ยก็ไม่ใช่คนที่ชอบเข่นฆ่า เห็นเมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า จึงยอมรับปาก “วางใจเถอะ ข้าจะกำชับลูกน้องให้ปล่อยเด็กไป แต่พวกเจ้าคิดไว้แล้วหรือไม่ ต่อไปเด็กจะทำอย่างไร?”
“ให้เขากลับเมืองหลวงกับข้าเถอะ ข้างกายข้าขาดคนที่จงรักภักดีพอดี” เมิ่งอี้เซวียนพูด
ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า “ก็ดี เด็กคนนี้ติดตามเจ้าแต่เยาว์ คิดว่าพวกเจ้าจักต้องมีความสัมพันธ์แนบแน่น ให้เขากลับเมืองหลวงกับเจ้า อบรมดูแลให้ดี ภายหน้าจักต้องจงรักภักดีต่อเจ้า”
ว่าแล้ว ก็ก้าวอาดๆ ออกไป เดินไปพูดไปว่า “ข้าจะไปสั่งการลูกน้อง ให้พวกเขาลงมือหลังยามจื่อ[1]
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเขา “ท่านแม่ทัพฉู่ ข้าและอี้เซวียนยังไม่ได้ถอนหมั้นเลย”
เสียงฉู่เหวินเจี๋ยดังลอยมา “พอข้าสั่งการลูกน้องฝีมือดีเสร็จ ข้าจะไปขอเข้าเฝ้าท่านอ๋อง เล่าเรื่องนี้แก่เขา ให้เขาเป็นคนตัดสินใจ” สิ้นเสียง คนก็จากไปไกลแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจแหนงหน่าย เดิมคิดจะจัดการเรื่องถอนหมั้นของตัวเอง ตอนนี้ดีแล้ว ถอนหมั้นไม่สำเร็จ หนำซ้ำยังทำลายชีวิตสองสามีภรรยาหนิว
กระทั่งคนไปหมดแล้ว เมิ่งอี้เซวียนถึงหันมาจ้องเมิ่งเชี่ยนโยวเขม็ง นิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใด
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกจับจ้องจนขนลุก ถามอย่างร้อนตัว “เจ้ามาจ้องข้าทำไม?”
เมิ่งอี้เซวียนไม่พูดอะไร เอาแต่จ้องนางเขม็ง กระทั่งเมิ่งเชี่ยนโยวทนสายตาเขาต่อไปไม่ไหว ตอนที่คิดจะอาละวาดกลบเกลื่อนตำหนิเขา เมิ่งอี้เซวียนกลับคลี่ยิ้มที่ยากจะคาดเดาได้ออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น มองเขาอย่างระวังภัย อึกๆ อักๆ ถามเขา “เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เมิ่งอี้เซวียนก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจหดตัวถอย แสดงท่วงท่าตั้งรับ
เมิ่งอี้เซวียนเพียงขยับผ้านวมห่มให้นาง พูดเสียงละมุน “พูดมาตั้งนาน เจ้าคงเหนื่อยมากแล้ว นอนพักสักหน่อยเถอะ เมื่อครู่ท่านพ่อท่านแม่ตกใจเสียขวัญ ข้าจะไปปลอบโยนพวกเขาก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนท่วงท่าตั้งรับ มองเขาอย่างกังขา
เมิ่งอี้เซวียนใบหน้าคงเดิม ยังคงยืนส่งยิ้มหวานให้นาง ให้นางมองประเมินตามใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพินิจเขาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ไม่เห็นอาการผิดปกติใดๆ จากใบหน้าเขา ผ่อนคลายความระแวดระวัง พยักหน้าพูดว่า “เจ้าไปเถอะ ไปพูดคุยให้พวกเขาผ่อนคลายลง”
เมิ่งอี้เซวียนประคองนางนอนลง จึงหันหลังเดินมาห้องสองสามีภรรยาเมิ่ง พูดปลอบประโลมพวกเขาสองคนพักใหญ่ กระทั่งทั้งสองจิตใจสงบลง เมิ่งอี้เซวียนถึงเอ่ยปากพูดเรื่องสำคัญ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ตอนนี้สถานะข้าไม่เหมือนก่อนแล้ว ไม่อาจนอนร่วมห้องกับพี่รองน้องเล็กได้อีก รบกวนพวกท่านไปเก็บกวาดห้องเดี่ยวให้ข้าพักสักคืนเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนพูดมีเหตุผล สองสามีภรรยาเมิ่งมิได้ติดใจสงสัย ออกจากห้องไปพร้อมหัน คนหนึ่งไปจัดเตรียมห้องให้เขา อีกคนไปย้ายเครื่องนอนที่เป็นของเขามา
เมิ่งอี้เซวียนก็เดินออกมาด้วย กลับไม่ได้กลับไปที่ห้องเมิ่งเชี่ยนโยว แต่ไปหาฉู่เหวินเจี๋ยที่วางแผนการเสร็จเรียบร้อยกำลังจะไปหาอ๋องฉี พูดกับเขาว่า “ท่านน้า รบกวนท่านบอกพระบิดา ให้เขาส่งสาวใช้และบ่าวอย่างละสองคนมารับใช้ข้า”
ตอนที่อ๋องฉีออกจากเมืองหลวงมา ได้จัดเตรียมสาวใช้และบ่าวประจำตัวให้เมิ่งอี้เซวียนเอาไว้แล้ว เป็นเขาที่ดึงรั้นไม่ต้องการ อ๋องฉีจนปัญญา จึงให้มาติดสอยห้อยตามตนเอง
ได้ยินเมิ่งอี้เซวียนร้องขอ ฉู่เหวินเจี๋ยนึกว่าเขาคิดได้แล้ว พูดด้วยความยินดี “เช่นนี้ถูกต้องแล้ว เจ้าเป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์ จะไม่มีคนรับใช้ได้อย่างไร เจ้ารอประเดี๋ยว น้าได้เข้าเฝ้าท่านอ๋องแล้ว จะบอกเรื่องนี้กับเขาก่อน ประเดี๋ยวสาวใช้และบ่าวก็จะเข้ามา”
“ขอบคุณท่านน้า”
“เด็กโง่ หาใช่เรื่องใหญ่อันใดไม่ ขอบคุณน้าทำไม เพื่อดูแลแม่นางเมิ่ง เจ้าเองก็เหนื่อยล้ามาหลายวันแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนให้สบายสักคืน พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะออกเดินทางทันที”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าเชื่อฟัง “ทราบแล้ว ท่านน้า”
ฉู่เหวินเจี๋ยเดินไปหาอ๋องฉีอย่างมีความสุข
[1] ยามจื่อ คือ เวลา 23.00-01.00 น.