ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 174-3 ตี้ซือ
ในที่สุดหญิงชราเมิ่งก็สังเกตเห็นอาการผิดปกติของเขา ถามอย่างประหลาดใจ “ในจดหมายเขียนว่าอย่างไร? ถึงทำเจ้าตกใจได้ถึงขั้นนี้?”
เมิ่งจงจวี่โบกมือให้นางเป็นพัลวัน “เจ้าออกไปช่วยสะใภ้จินเอ๋อร์ซักผ้า ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับโยวเอ๋อร์”
หญิงชราเมิ่งเป็นภรรยาซิ่วไฉมาหลายปี ย่อมแยกแยะอะไรได้ เห็นเมิ่งจงจวี่ไม่อยากให้ตนเองรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไม่ถามมาก หันหลังเดินไปในลานบ้าน
เมิ่งจงจวี่กดเสียงถามเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ เจ้ารู้จักเพื่อนคนนี้ได้อย่างไร แล้วเขารู้จักตี้ซือได้อย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างกระชับ “เพราะความบังเอิญครั้งหนึ่ง ข้าได้ช่วยเหลือชีวิตเขา เขาระลึกในใจไม่ลืม ดังนั้นครั้งนี้พอข้าขอความช่วยเหลือจากเขา เขาถึงหาบุคคลยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาให้พวกเรา”
เห็นนางไม่ยินดีจะเล่าให้มาก เมิ่งจงจวี่จึงไม่ถามอีก ขมวดคิ้วครุ่นคิด
หลังจากเจอเมิ่งต้าจินเหวินเปียวก็บอกเขาว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีเรื่องด่วนอยากพบเขา
เมิ่งต้าจินรีบขึ้นรถม้ากลับมาบ้าน เห็นหญิงชราเมิ่งและภรรยาตัวเองซักผ้าอยู่ในลานบ้านด้วยกัน พูดอย่างห่วงใย “ท่านแม่ ให้สะใภ้ซักคนเดียวก็พอ ท่านเข้าไปพักในบ้านเถอะ”
หญิงชราเมิ่งโบกมือ “บิดาเจ้าและโยวเอ๋อร์คุยธุระกันอยู่ในบ้าน ข้าไม่สะดวกจะเข้าไป”
เมิ่งต้าจินได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็ให้ข้องใจ สาวเท้าเดินเข้าไปในบ้าน ซักถามเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ เจ้ามีเรื่องอันใดอยากพบข้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเรื่องเมื่อครู่ขึ้นอีกรอบ ทั้งยื่นจดหมายให้เขา
เมิ่งต้าจินอ่านจดหมายเสร็จก็ให้ตกตะลึงพรึงเพริด แต่ไม่นานก็พูดด้วยความยินดี “นี่เป็นเรื่องดี หากอี้เซวียนได้รับการสอนสั่งจากตี้ซือจริงๆ อนาคตในภายหน้าก็จะสว่างไสวเรืองรองแล้ว”
เมิ่งจงจวี่เริ่มเป็นกังวล “หากเรื่องนี้ป่าวประกาศออกไป จะเกิดปัญหายุ่งยากกับครอบครัวเมิ่งของพวกเราหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดถึงจุดๆ นี้ ถึงเข้ามาซักถามความคิดเห็นพวกเขา
ไม่คิดว่าเมิ่งต้าจินจะพูดอย่างเบาสบาย “สุขเอยซ่อนทุกข์โศก โศกเล่าเคล้าคลึงสุข[1] ต่อให้มีคนรู้ ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ใช่เรื่องดี”
เมิ่งจงจวี่พลันกระจ่างแจ้ง “พ่อที่ขลาดเขลาเอง ยังดีที่เจ้าคิดได้ทะลุปรุโปร่ง เจ้าพูดถูกต้อง นี่หาใช่เรื่องไม่ดีไม่ หากอี้เซวียนเป็นที่พึงพอใจของตี้ซือ ก็ถือว่าเป็นโชควาสนาของเขา ทั้งมีส่วนช่วยต่ออนาคตในภายหน้าของเขาเป็นอย่างมาก”
เมิ่งจงจวี่คืนจดมายในมือให้เมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “ทว่า เรื่องนี้ทางที่ดีนอกจากพวกเราแล้ว อย่าให้คนอื่นรู้จะเป็นการดีที่สุด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เก็บจดหมายไว้อย่างดี “ข้าทราบแล้ว ดังนั้นพอข้าได้รับจดหมายนี้ก็ตรงมาหาท่านปู่และท่านทันที”
เมิ่งจงจวี่ลูบเคราพูดว่า “เมื่อพวกเราตกลงเรื่องนี้ได้แล้ว ก็รีบตระเตรียมเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวอึดอัดใจ “ในจดหมายบอกว่าพวกเขามีสิบกว่าชีวิต พวกเราไหนเลยจะมีสถานที่มากขนาดนั้นให้พวกเขาพักอาศัยกัน อย่าบอกว่าให้พวกเราเข้าเมืองไปซื้อเรือนสำเร็จหลังหนึ่ง มาให้พวกเขาพักอาศัยหรอกนะ?”
เมิ่งจงจวี่พูดว่า “ใครบอกไม่มีสถานที่ พวกเราเพิ่งจะสร้างเรือนใหญ่เสร็จไม่ใช่หรือ ให้พวกเขาเข้าไปอาศัยอยู่ก่อนอย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวคัดค้าน “ท่านปู่ เรือนใหญ่หลังนั้นสร้างให้ท่านกับท่านย่าอยู่ จะให้พวกเขาเข้าไปอยู่ได้อย่างไร? พวกเรามาคิดหาวิธีอื่นเถอะ หากไม่ได้จริงๆ พวกเราก็เข้าเมืองไปซื้อเรือนสักหลังให้พวกเขา”
เมิ่งจงจวี่โบกมือ “ตี้ซืออาศัยอยู่ในเมืองหลวงมานาน บ้านเรือนแบบไหนไม่เคยได้เห็นบ้าง เกรงว่าต่อให้เจ้าไปซื้อเรือนในเมือง ก็ไม่เข้าตาเขา สู้ให้เขาอาศัยอยู่ในเรือนใหญ่ เช่นนี้พวกเราทั้งได้ประหยัดเงิน และอี้เซวียนยังได้เล่าเรียนได้อย่างสบายใจด้วย”
ไม่ว่าพูดอย่างไรเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เห็นด้วย ดึงดันจะเข้าไปซื้อเรือนในตำบลให้ได้
เมิ่งจงจวี่พูดหว่านล้อมนาง “ปู่อายุปูนนี้แล้ว จะได้เสวยสุขหรือไม่ไม่สำคัญ ขอเพียงอี้เซวียนสอบขุนนางได้ นำพาเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่วงศ์สกุล ชีวิตนี้ของปู่ก็ถือว่าสมปรารถนาแล้ว”
เมิ่งต้าจินก็พูดโน้มน้าว “เจ้าเชื่อท่านปู่เจ้าเถอะ จัดหาที่พักให้ตี้ซือก่อน เรื่องภายหลังจากนี้ค่อยพูดกันอีกที”
เมิ่งเชี่ยนโยวซาบซึ้งใจอย่างที่สุด พูดรับประกันกับพวกเขา “ท่านปู่ ท่านวางใจเถอะ หากตี้ซือมาพักที่นั่นจริงๆ ข้าจะปลูกคฤหาสน์ใหญ่เรือนใหม่ให้ท่านอีกหลัง”
เมิ่งจงจวี่ปลาบปลื้มใจพูดว่า “เด็กดี เจ้ามีน้ำใจนี้ก็พอแล้ว ปู่อยู่ในบ้านใหญ่นี้ก็สุขสบายดีแล้ว”
คนทั้งหมดตกลงใจตอนบ่ายจะให้คนเข้าไปทำความสะอาดเรือนใหญ่อย่างสะอาดเอี่ยม จากนั้นค่อยไปซื้อเครื่องเรือนที่เหมาะสมจำนวนหนึ่งเข้ามา
เมื่อตกลงเรื่องเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงกลับมาบ้าน
เมิ่งชื่อกำลังทำอาหารเที่ยง เห็นนางเข้ามา ส่งเสียงถามนาง “โยวเอ๋อร์ เหวินเปียวบอกว่าพอเจ้ากลับมาในเมือง ก็ไปบ้านใหญ่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสนี้พูดขึ้น “ข้ากำลังจะบอกท่านเรื่องนี้พอดี ข้าเชิญอาจารย์ที่มีความรู้มากคนหนึ่งมาให้อี้เซวียน อีกไม่กี่วันจะมาถึง ท่านปู่บอกว่าให้พวกเขาพักอาศัยที่เรือนใหญ่หลังใหม่ก่อน”
เมิ่งชื่อตกใจ “เหตุใดไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน? พอมีอาจารย์แล้ว อี้เซวียนก็ไม่ต้องเข้าไปเรียนในเมืองแล้วใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าก็ไม่คิดว่าจะเร็วเช่นนี้ จึงไม่ทันได้บอกกล่าวท่าน หากว่าอาจารย์รับปากจะสอนสั่งอี้เซวียน ต่อไปเขาก็ไม่ต้องเข้าเมืองแล้ว”
เมิ่งชื่อให้ฉงน “หากว่าอะไร? อาจารย์ท่านนั้นยังไม่ยินดีสอนหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “อาจารย์ท่านนั้นเป็นคนที่มีความรู้ลึกล้ำ ไม่ยินดีสอนเด็กที่ไม่ฉลาด พอเขามาถึง จะทำการทดสอบอี้เซวียนก่อน หากอี้เซวียนสมดังความต้องการของเขา เขาถึงจะยอมอยู่สอนสั่ง หากไม่ได้ เขาจะกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิด”
คนที่มีความรู้มากจะมีนิสัยประหลาด เมิ่งชื่อเคยได้ยินคนอื่นเล่าต่อกันมา พอได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ก็เริ่มเป็นกังวล “หากอี้เซวียนไม่เป็นไปตามความต้องการของเขาจริงๆ ไม่เท่ากับเสียโอกาสครั้งสำคัญหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบโยนนาง “หากอี้เซวียนไม่เป็นไปตามความต้องการของเขา พูดได้เพียงว่าคุณสมบัติเขายังไม่ดีพอ พวกเราก็ไม่ต้องคาดหวังกับเขาให้สูงเกินไปอีก แต่หากเขาได้รับเลือก มีอาจารย์ท่านนี้คอยสอนสั่ง อนาคตในภายหน้าของเขาจะยิ่งราบรื่นสดใส”
เมิ่งชื่อพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนหัวข้อพูด “ช่วงบ่าย พวกเราจะไปเก็บกวาดเรือนใหม่ ท่านไม่ต้องไปแล้ว คอยเร่งความเร็วในการเย็บกระเป๋านักเรียนเถอะ ข้าคาดว่าอีกไม่กี่วันเถ้าแก่จางจะต้องเข้ามารับสินค้า”
เมิ่งชื่อปิติดีใจ “จริงเรอะ เถ้าแก่จางจะยังเข้ามารับกระเป๋านักเรียนอีก?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เมิ่งชื่อพรวดพราดลุกขึ้นยืน พูดว่า “แม่จะรีบไปทำอาหาร กินอิ่มแล้วจะได้รีบไปเย็บกระเป๋านักเรียน”
เห็นท่าทีละโมบของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวก็หลุดขำ
ตอนกินข้าวเที่ยง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเรื่องที่บอกเมิ่งชื่อขึ้นมาอีกรอบ
พอได้ยินว่าเป็นอาจารย์ผู้มีความรู้มาก เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ดีอกดีใจ ไม่มีความเห็นต่างโดยสิ้นเชิง หลังจากกินอิ่มก็เข้าไปหยิบเครื่องมือทำความสะอาดตรงไปเรือนใหม่ทันที
เมิ่งเอ้ออิ๋นและลูกๆ สี่คน ครอบครัวเมิ่งต้าจินสี่คน เมิ่งซานถงและภรรยารวมถึงเมิ่งเสียวเถี่ย คนจำนวนมากนี้ใช้เวลาเก็บกวาดตลอดทั้งช่วงบ่าย ถึงเก็บกวาดเรือนใหม่จนสะอาดเอี่ยม
ตอนเที่ยงเมิ่งเหรินได้ยินเมิ่งต้าจินบอกว่าจะให้อาจารย์ที่เชิญมาสอนเมิ่งอี้เซวียนเป็นการส่วนตัวเข้าพัก ก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากที่ปัดกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว กลับเหม่อมองเรือนงามหลังใหญ่นี้อย่างอาลัยอาวรณ์ไม่คลาย
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบสังเกตเห็นทั้งหมดนี้ในสายตา
ตกเย็นหลังจากเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวบอกข่าวนี้กับพวกเขา
ซุนเหลียงไฉเริ่มไม่ยินยอม “หากมาเรียนที่บ้านเป็นการส่วนตัว เช่นนั้นกระเป๋านักเรียนของพวกเราจะทำอย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเขา “การขายกระเป๋านักเรียนมีหลากหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องขายแต่ในโรงเรียนเท่านั้น”
ซุนเหลียงไฉไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวยกตัวอย่างหลายวิธีให้เขา อย่างเช่นไปร้องเรียกเร่ขายในตลาดสด หรือเอาไปฝากขายในร้านค้า ยังสามารถบอกที่อยู่บ้านตัวเองกับนักเรียนในโรงเรียน หากพวกเขาต้องการสามารถมาซื้อโดยตรงที่บ้านได้ หรือจะส่งข่าวมาก็ได้ ต่อให้ซื้อกระเป๋านักเรียนใบเดียว พวกเขาก็จะส่งให้
ซุนเหลียงไฉไม่เคยได้ยินวิธีการขายที่แปลกพิสดารเหล่านี้มาก่อน เบิกตาโตอย่างตื่นเต้น
เมิ่งอี้เซวียนก็แอบจดจำวิธีเหล่านี้ไว้ในใจ
วันถัดมา หลังจากพาทั้งสองคนไปส่งโรงเรียนตามปกติ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไปซื้อเครื่องเรือนในร้านเครื่องเรือนในตำบล
รูปแบบของเครื่องเรือนเหมือนกันแทบจะทั้งหมด ความแตกต่างว่าของดีหรือของด้อยอยู่ที่เนื้อไม้ที่นำมาทำเท่านั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวพินิจพิจารณาเลือกอยู่ครึ่งวัน ถึงได้เครื่องเรือนที่ทำจากเนื้อไม้ต่างกันสามชนิด หันไปพูดกับเถ้าแก่เจ้าของร้าน “ข้าต้องการเครื่องเรือนสามชุดนี้ ท่านดูว่าราคาเท่าไหร่?”
เถ้าแก่ไม่เคยเจอลูกค้ามือหนักเช่นนี้มาก่อน มาถึงก็ซื้อเครื่องเรือนสามชุดในคราเดียว ดีใจยิ้มแป้น หยิบลูกคิดออกมาปัดขึ้นปัดลงคำนวณราคา แล้วพูดว่า “ทั้งหมดสี่ร้อยแปดสิบตำลึง ท่านซื้อเยอะ ข้าจะให้ส่วนลด เหลือเพียงสี่ร้อยหกสิบตำลึงก็พอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหั่นราคา “สี่ร้อยตำลึงเถอะ ข้าจ่ายเงินให้ทันที”
เถ้าแก่ส่ายหน้าดุจคลื่นซัดโหม “ไม่ได้ พวกเราไม่ได้มีกำไรขนาดนั้น อย่างมากข้าให้เจ้าได้อีกสิบตำลึง เป็นสี่ร้อยห้าสิบตำลึง”
เถ้าแก่นึกว่านางจะเป็นเหมือนลูกค้าคนอื่นๆ จะเพิ่มราคาให้อีกหน่อย ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดว่า “สามร้อยห้าสิบตำลึง”
ลูกคิดในมือเถ้าแก่เกือบจะตกลงพื้น “แม่นาง มีใครซื้อของเยี่ยงเจ้ากัน ยิ่งให้ก็ยิ่งกดราคา”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดทันควัน “สามร้อยตำลึง”
เถ้าแก่ตกใจโบกมือเป็นพัลวัน “ได้ๆๆ สี่ร้อยตำลึงก็สี่ร้อยตำลึง เจ้าจ่ายเงินให้เรียบร้อย ข้าจะให้พนักงานไปส่งของให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ่ายเงินอย่างเบิกบาน เขียนที่อยู่เรือนใหม่ ไม่รอพนักงานขนถ่ายสินค้าเสร็จ ก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้ากลับมาบ้านก่อน เพื่อให้เมิ่งเอ้ออิ๋นไปดูว่าจะวางเครื่องเรือนตรงไหน
ยังไม่ถึงหน้าประตูบ้าน เหวินเปียวก็เห็นเมิ่งชื่อยืนชะเง้อคออย่างกระสับกระส่ายอยู่หน้าประตูบ้าน จึงบอกเมิ่งเชี่ยนโยวเสียงเบา
เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกม่านรถออก ร้องถาม “ท่านแม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เมิ่งชื่อสืบเท้าเดินเข้ามา น้ำเสียงข่มกลั้นความปิติดีใจไม่อยู่ “โยวเอ๋อร์ เมื่อครู่เถ้าแก่จางให้คนมาส่งข่าวแล้ว บอกว่าให้พวกเรารีบส่งกระเป๋านักเรียนไปห้าร้อยใบโดยด่วน”
[1] สุขเอยซ่อนทุกข์โศก โศกเล่าเคล้าคลึงสุข เป็นการเปรียบเปรยว่าเรื่องดีอาจจะมีจุดจบที่แย่ เรื่องแย่ก็อาจจะมีจุดจบที่ดีได้