วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 324 ตั้งครรภ์
มีข่าวออกมาจากวังหลวงว่าพระราชนัดดารู้สึกตัวแล้ว ทั้งยังบอกว่าเรื่องที่ตนตกน้ำในวันนั้นไม่เกี่ยวอันใดกับเจียหมิงเซี่ยนจู่ ด้วยเหตุนี้ไท่จื่อเฟยจึงได้ส่งของขวัญมากมายไปที่จวนเจิ้นกั๋วกง
เดิมคิดว่าเรื่องคงผ่านไปเช่นนี้แล้ว แต่ไม่นานกลับเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอีก พระราชนัดดาไข้ขึ้น ตัวร้อนจัดลดเลย เอาแต่นอนได้สะลึมสะลืออยู่เช่นนั้นไปครึ่งเดือนก็สิ้นใจ ไท่จื่อเฟยเสียใจอย่างยิ่งทำให้ล้มป่วยหนัก หลังจากที่รักษาอาการหายจนทุกอย่างสงบลง แต่สติปัญญากลับมิใคร่สมประดีนัก
ไม่ว่าสาเหตุเริ่มแรกของเรื่องจะเกี่ยวข้องกับเจินเมี่ยวหรือไม่แต่นางก็ถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเหล่าขุนนางและผู้มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลายในเมืองหลวงต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานาว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่คงต้องถูกกริ้วด้วยเป็นแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าหลัวเทียนเฉิง คุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงที่ถูกกักบริเวณกลับได้กลับมารับตำแหน่งเดิมในเวลานี้ทำให้บรรดาคนที่กำลังคิดไปต่างๆ นานากลับต้องหันมาให้ความสำคัญกับจวนเจิ้นกั๋วกงมากยิ่งขึ้น
ใกล้จะล่วงเข้าเดือนห้าแล้ว อากาศจึงอบอุ่นขึ้นทุกวัน ต้นทับทิมข้างกำแพงกำลังออกดอกงดงาม เชวี่ยเอ๋อร์เด็ดไปหลายดอกแล้ววิ่งเข้าห้องไปช่วยใส่ผมให้เจินเมี่ยวด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า
เมื่อเห็นดอกทับทิมสีแดงเพลิงที่ปักอยู่บนมวยผม เยี่ยอิงก็เอ่ยชมว่า “ต้าไหน่ไหน่ช่างงดงามนักเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวเม้มปากเป็นรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เพราะเยี่ยอิงมีฝีมือแท้ๆ”
เชวี่ยเอ๋อร์ยังคงเอ่ยอีกว่า “ต้าไหน่ไหน่ ไม่ใช่เพราะดอกไม้ที่บ่าวเก็บมางดงามหรือเจ้าคะ”
ขณะที่นายและบ่าวกำลังขบขันกันอยู่ ไป่หลิงก็เดินเข้ามารายงานว่า “ต้าไหน่ไหน่ พี่จื่อซูมาน้อมทักทายท่านเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวดีใยยิ่ง “รีบให้นางเข้ามา”
จื่อซูแต่งออกไปได้สามเดือนแล้ว ตอนนั้นนางบอกว่าให้จื่อซูหยุดได้สองเดือน พริบตาก็ครบกำหนดแล้ว
ไม่นานม่านมุกก็ถูกแหวกออก จื่อซูที่แต่งกายอย่างสตรีออกเรือนแล้วเดินเข้ามา
นางสวมชุดสีม่วงอ่อนทั้งยังใส่ต่างหูมุกคู่หนึ่ง แม้สีมุกจะดูธรรมดาแต่ขนาดนั้นใหญ่เท่าเม็ดบัวทีเดียว ด้วยฐานะของนางนับว่ายากยิ่งแล้ว
แต่เมื่อดูใบหน้านางกลับรู้สึกว่ามันช่างขาวซีด คล้ายว่านางดูผอมบางกว่าก่อนจะออกเรือน รอยยิ้มบนริมฝีปากเจินเมี่ยวเจื่อนไปทันที นางจึงเอ่ยถามว่า “เหตุใดจึงผอมเพียงนี้”
จื่อซูคล้ายจะเกิดความประหม่าขึ้นมา นางจึงเม้มริมฝีปากไม่พูดจากสักคำ
“หรือหลัวเป้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี” เสียงเจินเมี่ยวเย็นเยียบ “หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะไปพูดกับซื่อจื่อ เจ้าเป็นสาวใช้ใหญ่คนสนิทที่สุดของข้า แต่งออกไปกลับถูกรังแก เช่นนั้นก็เท่ากับการตบหน้าข้า!”
จื่อซูจึงรีบเอ่ยว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ต้าไหน่ไหน่ เขา เขาดีต่อบ่าวอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
นางพูดด้วยใบหน้าแดงเรื่อขึ้นอีกชั้นว่า “บ่าว…บ่าวมีข่าวดีแล้วเจ้าค่ะ ทั้งยังมีอาการแพ้หนัก…”
เจินเมี่ยวอึ้งงันไป “เจ้า มีข่าวดีแล้ว?”
จื่อซูคล้ายเขินอายจึงก้มหน้าลงเอ่ยว่า “เพิ่งจะตั้งครรภ์เดือนนี้เจ้าค่ะ”
“พี่จื่อซูช่างมีวาสนานัก ยินดีกับท่านด้วยเจ้าค่ะ” สาวใช้น้อยหลายคนเอ่ยพลางหัวเราะคิกคัก
เจินเมี่ยวเองก็หัวเราะเช่นกัน “ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ใช่แล้ว ต่างบอกกันว่าสามเดือนแรกครรภ์ยังอ่อนแอ ต้องดูแลบำรุงอย่างดี เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด เรื่องทำงานรอให้บุตรเจ้าหย่านมก่อนค่อยว่ากัน”
เจินเมี่ยวยังสั่งให้ไป๋เสาไปเอาของบำรุงส่วนหนึ่งมาให้จื่อซูอีกด้วยทำให้สาวใช้น้อยใหญ่ที่รับใช้ในเรือนชิงเฟิงต่างพากันอิจฉาจนแทบทนไม่ไหว
กระทั่งหลัวเทียนเฉิงกลับมาจากศาลาว่าการ เขาเห็นเจินเมี่ยวดูอารมณ์ดีจึงเอ่ยถามว่า “วันนี้มีเรื่องดีอันใดหรือ ถึงได้เบิกบานเพียงนี้”
เจินเมี่ยวผลิยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หากจะพูดถึงเรื่องดีนั้นย่อมมีอย่างแน่นอน วันนี้จื่อซูมาน้อมทักทายข้า นางตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนแล้ว”
“ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ” หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า
แต่เจินเมี่ยวกลับเอ่ยเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “ว่าไปแล้ว หลัวเป้านั้นก็มีความสามารถไม่น้อยเลยจริงๆ”
“หืม?” หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าพูดอีกครั้งได้หรือไม่”
ผู้ใดมีความสามารถกัน?
ดูท่าหลัวเป้าคงไม่อยากอยู่กับเขาแล้วกระมัง นายตนยังมิไม่มีข่าวดีใดแต่เขากลับกล้ามีบุตรนำหน้าไปก่อน?
เจินเมี่ยวรู้ว่าตนพูดผิดไปจึงยิ้มแห้งๆ ออกมา
หลัวเทียนเฉิงโน้มตัวอุ้มนางขึ้นมา เดินเข้าไปในห้องนอนแล้ววางนางลงบนเตียง
เขาโน้มตัวเข้ามาทั้งกาย ลมหายใจของเขาเป่ารดใบหน้าเจินเมี่ยวจนนางหน้าแดงเป็นดอกท้อแล้ว
“เจ้าไม่ได้กินยาแล้วใช่หรือไม่”
เจินเมี่ยวพยักหน้า ทั้งรู้สึกว้าวุ่นขึ้นมาเล็กน้อย “ท่านยังบาดเจ็บอยู่”
“เกือบจะหายสนิทแล้ว ข้าระวังหน่อยก็มิเป็นไรแล้ว” เปลวไฟในดวงตาของหลัวเทียนเฉิงค่อยๆ โชติช่วงขึ้นมา จุมพิตผะแผ่วประทับลงบนติ่งหูของนาง ตามด้วยหน้าผาก คิ้ว คาง ไล้ระเรื่อยลงมาตาลำคอระหง อาภรณ์ของคนทั้งสองถูกปลดทิ้งลงพื้นดั่งบุปผาที่บานสะพรั่งอย่างเอาแต่ใจดอกหนึ่ง
ผ้าม่านสีเขียวปักลายเด็กน้อยละเล่นกันพลิ้วไหวเป็นระลอกคล้ายถูกลมพัดเป่าดุจคลื่นที่ซัดสาดบนผิวน้ำ ระลอกคลื่นนับหมื่นนับพันนี้ได้สาดกระทบเข้าไปในใจคนไม่มีที่สิ้นสุด
อาหารค่ำที่อุ่นไว้แล้วนั้นเย็นเสียแล้ว ด้านนอกเต็มไปด้วยดวงดาวที่เกลื่อนทั่วฟ้า
เจินเมี่ยวรู้สึกดั่งร่างกายแตกเป็นเสี่ยงๆ กระดูกทุกส่วนต่างเคลื่อนไปหมด นางยกเท้าขึ้นถีบคนผู้นั้นอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่กลับถูกเขาคว้าจับไว้ แล้วยิ้มน้อยๆ อย่างพอใจพลางเอ่ยว่า “หากไม่ขยันสักหน่อยจะได้อย่างไรเล่า เจ้าไม่อยากมีบุตรที่เป็นของเราสองคนหรือ”
“เรื่องนี้…มิใช่ว่าจะสมปรารถนาง่ายๆ อย่างที่คิดเสียหน่อย” เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างหมดแรง
นางอายุยังไม่ถึงสิบเจ็ดปี ว่าไปแล้วหากมีบุตรตอนนี้นับว่าเร็วไปสักหน่อย ทว่าในยุคสมัยนี้ก็เป็นเช่นนี้ นางจึงมิอาจทำตัวแปลกแตกต่างจากผู้อื่นอยู่เพียงคนเดียวได้
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “แต่หากไม่คิด ลูกน้อยก็คงไม่กระโดดออกมาจากก้อนหินเป็นแน่”
ครั้นคิดถึงสุขภาพของเจินเมี่ยว เขาก็กุมมือนางแล้วเอ่ยว่า “แต่การมีบุตรนั้นเป็นเรื่องของวาสนา เราเองก็มิต้องไปฝืนบังคับ จะมีเมื่อใดก็ตามแต่ลิขิตสวรรค์เถิด แต่เจ้ามิอาจปล่อยให้ข้ากินแต่มังสวิรัติต่อไปเช่นนี้อีก มิฉะนั้นข้าคงต้องกลายเป็นพระไปจริงๆ เป็นแน่”
ใบหน้าเจินเมี่ยวเห่อร้อนขึ้นมาแต่ยังคงพยักหน้า
เพราะคนทั้งสองออกกำลังมากไปหน่อยจึงต่างกินข้าวเพิ่มขึ้นอีกถ้วย
กระทั่งถึงวันเทศกาลตวนอู่ ทุกคนต่างมารวมตัวกันห่อบ๊ะจ่าง นายท่านสี่สกุลหลัวที่ประจำอยู่กองทัพก็กลับจวนมาเช่นกัน
ครานี้เขาได้หยุดพักเกือบครึ่งเดือน เมื่อถึงคราวต้องกลับกองทัพก็จะพาคุณชายสามไปด้วย เพราะเหตุนี้คุณชายสามจึงมีท่าทียิ้มแย้มมากขึ้น อุปนิสัยร่าเริงเดิมๆ ของเขาเริ่มฟื้นกลับมาบ้างแล้ว
ครานี้เจินเมี่ยวได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ นางห่อบ๊ะจ่างทั้งหมดสิบแปดไส้ ทุกก้อนมีขนาดเท่าลูกเหอถาวเท่านั้นและใช้เชือกชนิดต่างๆ มัดไว้ แล้วค่อยๆ ร้อยรวมเป็นพวงเดียวกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “หลานสะใภ้ เจ้ามีความสามารถจึงต้องเหนื่อยหน่อย ห่อเช่นนี้มากสักหน่อย นำไปเป็นของฝากน่าจะดียิ่ง ถึงวันพรุ่งคนทั่วเมืองหลวงคงได้รู้ว่าจวนเจิ้นกั๋วกงมีหลานสะใภ้ที่มากฝีมือเพียงใด”
“ท่านย่าท่านเย้าเล่นอีกแล้วนะเจ้าคะ ลองชิมดูตอนกำลังร้อนๆ นี่เถิดว่าอร่อยหรือไม่” เจินเมี่ยวแกะห่อบ๊ะจ่างไข่แดงนั้นด้วยตนเองแล้วส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่า
บ๊ะจ่างไข่แดงนี้มิใคร่เป็นที่พบเห็นนักในเมืองหลวง นางเลือกไข่เป็ดอย่างดีที่ดองกำลังได้ที่ผสมเข้ากับข้าวเหนียวชั้นดี เมื่อรวมเข้ากับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบไผ่แล้วช่างยั่วยวนผู้คนยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าชิมคำหนึ่งแล้วเอ่ยชมเป็นการใหญ่ “ไม่เลว”
คนอื่นๆ จึงยกพวงของตนขึ้นมาถามว่า “อันไหนคือไส้ไข่แดงหรือ”
“อันที่ผูกเชือกสีเขียวนั่นแล” เจินเมี่ยวเอ่ยอธิบาย
คนทั้งหลายต่างรีบแก้เชือกสีเขียวของบ๊ะจ่างออกมากิน
นางชีแกะบ๊ะจ่างให้นายท่านสี่ เจ้าหกและเจ้าเจ็ดคนละชิ้น แล้วค่อยแกะของตนเองขึ้นมากัดกิน ผู้ใดจะทราบนางเพียงกัดไปเพียงคำก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาจึงเดินออกไปด้านนอก
นายท่านสี่หน้าเปลี่ยนสีไปโดยพลันแล้วรีบเดินตามไปจับมือนางชีไว้ “เป็นอันใดหรือ”
นางชีมิอาจอดกลั้นไว้ได้จึงอาเจียนลมออกมาคราหนึ่ง
นายท่านสี่ร้อนใจยิ่ง “หรือกินของแสลงเข้าไป”
นางชีหน้าแดงเรื่อขึ้นแล้วหันกลับไปมองฮูหยินผู้เฒ่าคราหนึ่ง
ใบหน้าฮูหยินเต็มไปด้วยความยินดี แล้วเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “นางชี หรือเจ้ากำลังตั้งครรภ์” พูดพลางหันไปบอกสาวใช้ไปเชิญหมอมา
เมื่อท่ามกลางสายตาคนทั้งหลายทำให้นางชีรู้สึกเขินอายยิ่ง นางจึงเอ่ยแผ่วเบาว่า “สะใภ้ก็มิแน่ใจเจ้าค่ะ”
นางไม่ระดูมาสองเดือนแล้ว บางทีอาจจะมีตั้งแต่นายท่านสี่กลับมาเมื่อคราก่อนนั้นแล้ว แต่นางอายุเท่านี้แล้วจึงรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง
ความจริงนางชีอายุยังไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ เดิมมิได้นับว่าอายุมากอันใด เพียงแต่นางเคยผ่านความเศร้าตรมดุจตายไปแล้ว ในความรู้สึกนั้นคล้ายยาวนานเกือบชั่วชีวิตทำให้คิดว่าตนอายุมากแล้ว
กระทั่งท่านหมอมาตรวจชีพจรจึงเอ่ยแสดงความยินดีต่อนางอยู่หลายครา
ฮูหยินผู้เฒ่ายินดียิ่ง ด้วยความยินดีนี้จึงขอให้ท่านหมอช่วยตรวจสุขภาพให้กับฮูหยินทั้งหลายในจวน
นางเถียนและนางซ่งเพียงทำไปตามสถานการณ์เท่านั้น เพราะสายตาของคนทั้งหลายนั้นพุ่งตรงไปที่เจินเมี่ยวเสียมากกว่า
เจินเมี่ยวมีปากก็ยากจะพูดอันใด พวกเขาเพิ่งได้มีสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเท่านั้น แม้เด็กน้อยจะบินมาเกิดก็คงมิรวดเร็วปานนั้นกระมัง!
ดั่งคาดไว้ไม่มีผิด ท่านหมอเพียงเอ่ยว่านางสุขภาพร่างกายแข็งแรงดียิ่งเท่านั้น
ความผิดหวังปรากฏวูบในแววตาฮูหยินผู้เฒ่า เพียงครู่ก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ นางยิ้มแล้วให้สาวใช้ไปส่งท่านหมอ
แต่กลับเป็นนายท่านรองเสียมากกว่าที่นั่งไม่ติดที่ เขาจึงลุกขึ้นเอ่ยเนิบนาบว่า “ท่านแม่ เยียนเหนียงดูเหมือนจะไม่สบายเช่นกัน ให้ท่านหมอไปช่วยตรวจดูได้หรือไม่”
หมอท่านนั้นฟังแล้วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
เยียนเหนียงผู้นี้เป็นใครเขาไม่ทราบ แต่แค่ตรองดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นอนุหรือไม่ก็สาวใช้ทงฝังของนายท่านรองสกุลหลัวแน่ อย่างน้อยเขาก็เป็นหมอที่มีชื่อเสียงเทียบหมอหลวง คนธรรมดานั้นยากจะเชิญเขามาตรวจให้ได้ แม้จวนเจิ้นกั๋วกงจะสูงศักดิ์ไม่ธรรมดา แต่การให้เขาไปตรวจสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งนั้นมิใช่เกินไปหน่อยหรอกหรือ
แต่ต่อหน้าท่านหมอผู้นี้ก็ย่อมไม่อยากจะล่วงเกินผู้มีบรรดาศักดิ์เช่นนี้จึงรอให้ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากเสียก่อน
ฮูหยินผู้เฒ่ามีอาการอึ้งงันก่อนเป็นอันดับแรก นางเก็บรอยยิ้มตนแล้วเอ่ยว่า “เยียนเหนียงมีฐานะอันใดกันถึงจะรบกวนท่านหมอไปตรวจได้ อย่าได้ลดทอดวาสนาของท่านหมอเลย! ให้ท่านหมอเฝิงไปตรวจดูแล้วกัน”
เมื่อท่านหมอผู้นั้นได้ฟังสีหน้าก็เริ่มดีขึ้น เขายกมือขึ้นประกบกันเป็นการบอกลา
นายท่านรองได้ฟังก็ร้อนใจจึงรีบเอ่ยไปทันทีว่า “ไม่ได้ขอรับ!”
ท่านหมอเฝิงเป็นเช่นไรเขามีหรือจะไม่รู้
เขาถูกนางเถียนซื้อตัวไปนานแล้ว หากใช้เขาไปกลั่นแกล้งต้าหลังนั้นย่อมดีแน่นอน แต่หากจะให้ไปตรวจอาการของเยียนเหนียง เขาอาจจะฟังคำสั่งของนางเถียนจนทำร้ายเยียนเหนียงแล้วจะทำฉันใดเล่า
ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นยิ้มเย็น “จวนเราเลี้ยงหมอเฝิงมานับสิบปีแล้ว เหตุใดจึงไม่อาจตรวจสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งได้ เจ้ารอง หรือเจ้าคิดว่าเยียนเหนียงล้ำค่าดั่งทองต้องให้ท่านหมอท่านนี้ไปตรวจให้ได้”
ตอนที่นางเถียนได้ยินว่านายท่านรองจะให้ท่านหมอไปตรวจอาการเยียนเหนียง ใจของนางก็เย็นเยียบขึ้นมาจนแทบกรีดร้องออกมา แต่เมื่อผ่านเรื่องการล่มสลายของตระกูลมานางจึงสุขุมขึ้นมาก นางนั่งนิ่งหลังตรงดุจพู่กันอยู่ที่นั่นปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนจัดการ
เวลานี้นางดีใจยิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนเข้าใจกฎธรรมเนียมจึงไม่ยอมหักหน้าสะใภ้เพียงเพราะสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่ง
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาไม่เห็นด้วยของน้องชายทั้งสอง ทั้งยังมีหลัวเทียนเฉิงที่คอยมองอยู่อีก นายท่านรองรู้สึกย่ำแย่ยิ่งแต่ก็มิกล้าขัดฮูหยินผู้เฒ่า ครั้นชำเลืองมองเจินเมี่ยวแล้วก็เอ่ยอย่างคิดอันใดขึ้นมาได้ “ท่านแม่ ดูเหมือนว่าท่านหมอเฝิงจะมิใคร่ชำนาญโรคสตรีเท่าใดนัก มิสู้เชิญจี้เหนียงจื่อมาตรวจสักหน่อย”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วจึงพยักหน้า
ทุกคนต่างกินอาหารมื้อนี้ด้วยใจอันเหม่อลอย ยังมิทันกินเสร็จก็มีสาวใช้พาจี้เหนียงจื่อมาที่นี่
“อี๋เหนียงในจวนตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนกว่าแล้วเจ้าค่ะ” จี้เหนียงจื่อเอ่ย
ฟึบ เนื้อติดกระดูกที่อยู่บนตะเกียบในมือคุณชายรองร่วงหล่นลงจาน