วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 307 วสันตฤดู
“เมื่อเช้าหลังกินอาหารเช้าเสร็จพระราชนัดดาบอกว่าอยากเห็นปลาจิ๋นหลี่ แต่หากให้ผู้อื่นไปจับก็กลัวปลาจิ๋นหลี่จะตกใจจนไม่ว่ายน้ำอีกจึงให้หม่อมฉันไปที่สระปี้ปัวจับปลามาสองตัว หม่อมฉันจึงจำเป็นต้องไป ไม่คิดว่าพอกลับมาจะไม่พบพระราชนัดดาแล้วเพคะ” แม่นมหนิวพูดจบก็หันไปถลึงตาใส่นางกำนัลไม่กี่คนนั้น
แม่นมหรงเอ่ยตะกุกตะกักขึ้นว่า “พระราชนัดดาอยากจะดื่มนมน้ำผึ้งจึงให้หม่อมฉันไปสั่งที่ห้องครัวเล็ก…”
นางยังมิทันกล่าวจบก็ถูกตัดบทขึ้นว่า “บ่าวไพร่มากมายเพียงนั้นเหตุใดต้องให้เจ้าไปให้ได้”
“พระราชนัดดาบอกว่ามีเพียงหม่อมฉันที่รู้ว่าทรงต้องการดื่มแบบใด…” แม่นมหรงคุกเข่าก้มศีรษะติดพื้น มิกล้าพูดต่อไปอีก
ตั้งแต่ไปอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงและได้เห็นท่าทีที่พระราชนัดดามีต่อเจียหมิงเซี่ยนจู่ นางก็เริ่มวางแผนการในใจแล้ว
พระราชนัดดาเพิ่งสูญเสียมารดา หากได้เป็นคนที่ใกล้ชิดและไว้ใจที่สุดย่อมได้รับประโยชน์ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ต้องพูดถึงเจียหมิงเซี่ยนจู่ที่มีเหตุบังเอิญทำให้ผูกพันกัน หากนางใส่ใจกับเรื่องอาหารการกินมากสักหน่อยให้พระราชนัดดาเคยชินกับการดูแลของนาง เมื่อวันเวลาผ่านไปความผูกพันก็ยิ่งต้องลึกซึ้งขึ้นแน่
องค์ชายสามกวาดตามองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นคราหนึ่ง “ข้าจำได้ว่านอกจากพวกเจ้าสองคน จิ่งเกอยังมีสาวใช้ที่คอยดูแลอยู่อีกสี่คนมิใช่หรือ”
สาวใช้ชุดสีเขียวผู้หนึ่งซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นจึงเอ่ยว่า “เพคะ หลังจากแม่นมหรงออกไป พระราชนัดดาก็…”
“มันอันใดก็พูดมา!”
สาวใช้ชุดเขียวจึงกัดฟันเอ่ยว่า “เพราะรอแม่นมหนิวจนหงุดหงิดจึงไล่พวกหม่อมฉันออกมาเพคะ พวกหม่อมฉันคอยเฝ้าอยู่หน้าประตูจนแม่นมหนิวกลับมาแล้วเข้าห้องไปพร้อมกันจึงพบว่าหน้าต่างเปิดอยู่แต่พระราชนัดดากลับหายไป”
“พระราชนัดดาหายไปตั้งแต่หลังอาหารเช้า แต่พวกเจ้าเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้ คิดว่าคงไปตามหามาแล้วกระมัง”
คนทั้งหลายตกใจจนต้องโขกศีรษะติดกันหลายครา
แม่นมหนิวรวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “เพคะ พวกหม่อมฉันตามหาไปทั่วตำหนักแล้ว…”
เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดจบแล้ว ความอดทนขององค์ชายสามก็หมดสิ้นแล้วเช่นกัน เขายกมือขึ้นสะบัด “พวกเจ้าเอามาลากตัวสาวใช้ไม่ได้ความพวกนี้ออกไปขังไว้ในห้องเก็บฟืนก่อน รอให้ตามหาพระราชนัดดาพบแล้วค่อยว่ากันอีกที!”
“ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วย ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต…”
คนทั้งหกต่างโขกศีรษะระรัว หลังจากนั้นไม่นานก็ยังคงถูกลากตัวออกไปอยู่ดี
ตำหนักเยี่ยนอ๋องแทบจะถูกพลิกขึ้นมา ในที่สุดก็หาจิ่งเกอพบที่หอพระธรรมที่พระชายามักไปบ่อยยามมีชีวิตอยู่
ตอนที่องค์ชายสามไปถึง จิ่งเกอกำลังขดตัวอยู่ในมุมห้องไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้
“จิ่งเกอ…” องค์ชายสามยื่นมือออกไปหา
จิ่งเกอยิ่งถอยไปด้านหลัง
องค์ชายสามจิ่งอุ้มเข้ากลับไปที่ตำหนักแล้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดจิ่งเกอจึงไปที่นั่น”
“ข้า…ข้าคิดถึงพระมารดา”
องค์ชายสามมีสีหน้าขรึมลง “พ่อเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าพระมารดาไม่อยู่แล้ว เจ้ายังหนีบ่าวไพร่แอบออกไปอีก หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจะทำเช่นใด”
“หากข้าบอก พวกนางก็คงไม่ยอมให้ข้าไปหาพระมารดา” จิ่งเกอเอ่ยขึ้นอย่างน้อยใจ
องค์ชายสามมองไปที่หน้าต่างคราหนึ่งแล้วหันมาสำรวจจิ่งเกอ “จิ่งเกอ หน้าต่างสูงเพียงนี้เจ้ากระโดดลงไปได้อย่างไร บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
จิ่งเกอเม้มริมฝีปากไว้ไม่พูดจา
องค์ชายสามหน้าขรึมไปทันที “เป็นอันใด เจ้ายังคิดจะปิดบังพ่ออีกหรือ”
สำหรับพระบิดา…จิ่งเกอนั้นมีความกลัวอยู่บ้างมาเสมอ เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้จึงมิกล้าปิดบังอีก จิ่งเกอเอ่ยด้วยท่าทีน่าสงสารว่า “ข้ามิได้โดดลงไป แค่เปิดหน้าต่างไว้แล้วมุดเข้าไปใต้เตียง รอให้พวกนางเข้ามาไม่เห็นข้าแล้วออกไปตามหา ข้าก็เดินออกไปทางประตู”
ประกายตาขององค์ชายสามเปล่งประกายขึ้นมาทันใด
เขาคิดไม่ถึงว่าจิ่งเกอที่แม้จะขี้ขลาดไปสักหน่อยนั้นจะฉลาดเช่นนี้
เดิมเขารู้สึกหมดหวังกับจิ่งเกอไปหลายส่วนแล้ว เขายังหนุ่มแน่น ภายหน้าขึ้นครองตำแหน่งนั้นแล้วก็ยังมีบุตรชายได้อีกมากมาย หากจิ่งเกอไม่เอาไหน เขาก็แค่เลือกคนที่เก่งกว่าขึ้นเป็นรัชทายาท
แต่คิดไม่ถึงว่าจิ่งเกอจะฉลาดกว่าที่เขาคิดไว้มาก บุตรชายคนโตที่ปราดเปรื่องนั้นย่อมมีผลดีมากกว่า
“พระบิดา…” จิ่งเกอกระตุกแขนเสื้อองค์ชายสามอย่างขลาดๆ “ข้าไปหาพระมารดาที่หอพระธรรมแล้วก็ไม่เจอ พระมารดาถูกฝังไปในดินเหมือนปลาจิ๋นหลี่จริงๆ หรือ”
“อืม”
จิ่งเกอคิดแล้วคิดอีกจึงเอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “เช่นนั้นหากรอจนถึงปีหน้า จะมีพระมารดามากมายเกิดขึ้นมาจากดินหรือไม่”
“แน่นอนว่าไม่…” องค์ชายสามยังมิทันเอ่ยจบก็เห็นแววตาลังเลทั้งเสียใจนั้นของจิ่งเกอ เขาจึงเปลี่ยนใจเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่เป็นปัญหาอันใดเลย จิ่งเกอวางใจได้ รอจนถึงปีหน้าเจ้าก็จะมีพระมารดาแล้ว”
จิ่งเกอคลี่ยิ้มด้วยความยินดี “จะเหมือนกับพระมารดาทุกประการเลยหรือไม่”
โลหิตบนขมับองค์ชายสามกระตุกอยู่ตลอด บุตรชายฉลาดเกินไปย่อมมิง่ายที่จะหลอกได้
“จิ่งเกอเจ้าดูสิ ผลไม้บนต้นไม้ยังมีทั้งลูกท้อ สาลี่ แล้วคนจะเหมือนกันได้อย่างไรเล่า”
จิ่งเกอนิ่งเงียบไป
หลังจากผ่านไปนานจึงเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่เหมือนพระมารดา จิ่งเกอไม่ชอบ”
พูดถึงตรงนี้แล้วก็ลังเลขึ้นมาเล็กน้อยค่อยเอ่ยว่า “หากเหมือนท่านอาเจียหมิง จิ่งเกอถึงชอบ กลิ่นบนกายท่านอาเหมือนพระมารดาไม่มีผิด”
องค์ชายสามได้ยินเช่นนั้นก็เกิดประกายวูบขึ้นในตาคราหนึ่ง “จิ่งเกอชอบท่านอาเจียหมิงมากเลยหรือ”
จิ่งเกอพยักหน้าหงึกหงักอย่างแรง
“เช่นนั้น หลังจากที่จิ่งเกอเริ่มเรียนตำราก็ต้องขยัน หากเจ้าทำได้ดี พ่อจะพาเจ้าไปพบท่านอาเจียหมิงบ่อยๆ ดีหรือไม่”
“ดียิ่ง” จิ่งเกอรับปากทันที และเผยรอยยิ้มแรกในช่วงหลายวันมานี้เสียที
องค์ชายหกเห็นแล้วก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น
หากจิ่งเกอสามารถพัฒนาตนเป็นคนเก่งกาจขึ้นมาได้ ภายหน้าเขาจะยอมละเว้นชีวิตเจียหมิงแล้วรับนางเข้ามาเป็นสนมในวังอย่างเงียบๆ ก็มิใช่จะทำไม่ได้
ส่วนหลัวเทียนเฉิงนั้นจะให้เก็บไว้ก่อนชั่วคราวได้ แต่อนาคตเขามิคิดจะให้หลัวเทียนเฉิงมีชีวิตอยู่ต่อไป
หลัวเทียนเฉิงควบคุมหน่วยองครักษ์ที่จักรพรรดิไว้พระทัยที่สุดนั้นเขาไม่สน แต่ในสายตาเขา ขุนนางที่เขามิเคยเห็นความต่ำต้อยในตัวคนผู้นั้นเลยเขาหยิบมาใช้งานก็ไม่มีทางสบายใจได้!
เดิมนั้นแม้แต่เจียหมิงเซี่ยนจู่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยไป แต่ในเมื่อจิ่งเกอชอบ ไว้ชีวิตนางผู้ซึ่งเป็นเพียงสตรีคนหนึ่งก็คงมิทำให้เกิดเหตุอันใดได้
ภาพของเจินเมี่ยวปรากฏวูบขึ้นในหัว แล้วก็ต้องพยักหน้าอย่างพอใจ ทั้งเกิดความรู้สึกตื่นเต้นอันยากจะบรรยายเกิดขึ้นอยู่ลึกๆ
หลังจากที่ชายาจากไป เขาก็งดเรื่องนั้นมาเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็อดกลั้นไว้ไม่ไหว จึงลอบเข้าไปหานางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ที่ห้องตำรามาตลอดผู้นั้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาก็ถึงเดือนสามที่อากาศแสนอบอุ่น บุปผานับร้อยผลิบาน ต้นหญ้าเขียวแตกยอดต้อนรับสายลม ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิ
จื่อซูได้ออกเรือนไปในวันมงคลของเดือนนี้
เจินเมี่ยวให้เงินขวัญถุงแก่นางสองร้อยตำลึง ทั้งยังมอบเครื่องทองบริสุทธิ์ประดับเกศาหนึ่งชุด เครื่องเงินประดับเกศาสองชุด ผ้าชั้นดีอีกหลายพับ
สาวใช้ทั้งหลายจากเรือนอื่นๆ เห็นเขาต่างก็เกิดความอิจฉาอย่างยิ่ง
จื่อซูโขกศีรษะด้วยน้ำตาคลอก่อนออกจากประตูไป ผ่านไปสามวันก็กลับมาเยี่ยมคารวะนายตน เจินเมี่ยวเห็นมุมปากนางเคลือบไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ ทำให้ดูน่าชิดใกล้กว่าในอดีตขึ้นมากก็วางใจ
“หลัวเป้าดีต่อเจ้า ข้าก็วางใจ พวกเจ้าเพิ่งแต่งงาน ข้าจะให้เจ้าลาพักสองเดือน หลังจากนั้นอีกสองเดือนค่อยเข้ามาเป็นแม่บ้านผู้ดูแลเรือนข้า”
“ต้าไหน่ไหน่ บ่าวมิต้องการลาพักถึงสองเดือน ให้บ่าวเริ่มทำงานตอนนี้เลยเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวจึงเอ่ยเย้าว่า “วางใจได้ แม้นลาพักข้าก็ยังให้เบี้ยหวัดประจำเดือนเจ้าอยู่”
“ต้าไหน่ไหน่ บ่าวมิได้หมายความเช่นนั้น…”
เจินเมี่ยวหลุดหัวเราะออกมา “เจ้ามิต้องรีบดอก แม้นหลัวเป้าจะต้องตาเจ้าก่อน แต่พวกเจ้าทั้งสองก็ยังมิเคยอยู่ด้วยกันอย่างเป็นจริงเป็นจังสักที อย่างไรก็ควรอยู่ด้วยกัน เรียนรู้กันให้มากไปสักระยะ ความรักจึงจะลึกซึ้งผูกพัน”
เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ จื่อซูก็หน้าแดงขึ้นมาโดยพลัน
ครั้นเห็นจื่อซูที่มักมีท่าทีเคร่งขรึมอยู่ตลอดเขินอายขึ้นมา บรรดาสาวใช้ในห้องจึงเอ่ยเย้าขึ้น
“ใช่แล้ว พี่จื่อซู แม้พวกเราจะโง่เขลาไปบ้าง แต่การปรนนิบัติต้าไหน่ไหน่ในช่วงสองสามวันมานี่กลับยังมิเคยโดนด่าเลยสักครั้ง ท่านวางใจเถิด”
“ผิดแล้ว ตอนนี้ไม่ควรเรียกว่าพี่จื่อซู ต้องเรียกว่าคนของบ้านสกุลหลัว”
จื่อซูทั้งเขินทั้งโมโห แต่สาวใช้ทั้งหลายกลับหัวเราะกันใหญ่
เจินเมี่ยวชำเลืองมองพวกนางคราหนึ่ง “พวกเจ้าวางใจได้ หากพวกเจ้าออกเรือน ข้ารับรองว่าทุกคนจะได้หยุดพักสองเดือนเช่นเดียวกันอย่างไม่เลือกปฏิบัติ”
ครานี้สาวใช้ที่อายุมากสักหน่อยหลายคนก็เริ่มหน้าแดงเรื่อขึ้นมา จึงหาข้ออ้างหลบออกไป มีเพียงชิงเกอที่ยังงงงวยอยู่ “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวไม่อยากลาพัก หากหยุดทำงานก็คงมิได้อาหารที่ห้องครัวเล็กทำเป็นแน่เจ้าค่ะ”
ไป๋เสาที่ยืนอยู่ด้านหลังเจินเมี่ยวอดยิ้มออกมามิได้ รอจนทุกคนออกไปหมดแล้วจึงเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวเห็นท่าทางงงงันของชิงเกอแล้วก็ได้แต่กลุ้มใจแทนนาง”
“คนเขลาก็มีวาสนาของคนเขลา ว่าแต่เจ้าเถิด ไม่คิดออกเรือนจริงๆ หรือ”
ไป๋เสาหุบยิ้มแล้วพยักหน้า
“หากมีคนมิติดใจกับรอยแผลเป็นบนหน้าเจ้าเล่า?”
ความจริงเมื่อรักษาดูแลมาสองปีแล้ว แผลเป็นบนใบหน้าไป๋เสาก็เหลือเพียงรอยจางๆ เท่านั้น เจินเมี่ยวไม่รู้สึกเลยว่านางจะหาคู่ครองไม่ได้เพราะรอยแผลนี้
นิ่งเงียบอยู่นาน ไป๋เสาจึงเอ่ยเสียงแผ่วขึ้นว่า “อาจจะไม่ติดใจในชั่วเวลาหนึ่งแต่ต่อไปอาจจะติดใจขึ้นมาก็ได้ บ่าวคอยรับใช้ต้าไหน่ไหน่เช่นนี้ตลอดไปก็มีความสุขเจ้าค่ะ”
ในที่สุดเจินเมี่ยวก็เข้าใจความคิดของไป๋เสาแล้ว นางแค่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพราะเสียโฉมแต่มิได้ปฏิเสธการแต่งงาน เพียงแต่ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวบุรุษเท่านั้น
เจินเมี่ยวจะจดจำเรื่องนี้ไว้ ต่อไปจะได้มองหาคนที่เหมาะสมกับนางได้ง่ายขึ้น
เดือนนี้เจินเหยียนเองก็คลอดบุตรเช่นกัน นางให้กำเนิดบุตรตัวอวบอ้วนน้ำหนักแปดจิน ตอนพิธีอาบน้ำทารกเจินเมี่ยวเห็นแขนขาอวบขาวราวรากบัวของหลาน และใบหน้ารูปไข่อวบอ้วนนั้นแล้วนางก็หลงรักอย่างที่สุด
นางเวินจึงเริ่มพร่ำบ่นกับต่างว่า “พี่รองของเจ้ามีที่ยืนอันมั่นคงในตระกูลสามีแล้ว เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าก็แต่งออกไปหนึ่งปีแล้ว เหตุใดจึงยังไม่มีวี่แววเลย”
นี่ยังไม่พอ บรรดาสตรีที่เข้าร่วมพิธีอาบน้ำทารกนั้นต่างมีทั้งญาติใกล้ชิดและญาติห่างๆ มาร่วมด้วย จึงมีทั้งคนที่เป็นห่วงเป็นใยจริงๆ และมีคนที่อิจฉาที่เจินเมี่ยวอายุยังน้อยแต่กลับมีบรรดาศักดิ์สูงส่งเช่นนี้แล้วจึงอดพูดจาเสียดแทงสักสองสามประโยคมิได้ มีทั้งพูดตามตรงและพูดทางอ้อมถึงเรื่องที่เจินเมี่ยวยังมิตั้งครรภ์
เจินเมี่ยวหงุดหงิดอยู่ค่อนวันถึงได้กลับจวนมาพร้อมกับอาสะใภ้ทั้งหลาย
เมื่อนางเถียนกลับถึงเรือนซินหยวนก็เรียกเสวี่ยเยี่ยนมาหาเงียบๆ
เสวี่ยเยี่ยนเป็นสาวใช้ที่รูปโฉมงดงามโดดเด่นที่สุขของนางเถียน เพื่อกำราบเยียนเหนียงนางเถียนจึงยกนางให้นายท่านรองสกุลหลัว แต่น่าเสียดายที่ใจของเขามัวพะวงหาแต่เยียนเหนียง ทำให้สตรีงดงามราวบุปผาดุจหยกถูกหยิบใช้งานเพียงสองครั้งก็ทิ้งขว้างเสียแล้ว
นางเถียนกำชับนางอยู่หลายคำ
เสวี่ยเยี่ยนฟังแล้วก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที เมื่อเห็นแววตาเย็นเยียบที่ส่งมาของนางเถียน นางจึงพยักหน้าเงียบๆ
นายท่านเป็นที่พึ่งให้นางมิได้ นางคงได้แต่พึ่งฮูหยินแล้ว หากล่วงเกินฮูหยินอีก นางคงมีแต่ทางตายเช่นเดียวกับหลี่ว์เอ๋อร์
นางเถียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
วันหนึ่งเสวี่ยเยี่ยนไปแอบร้องไห้อยู่ใต้ซุ้มดอกไม้แต่ก็ถูกหย่วนซานที่มาเก็บดอกกไม้เห็นเข้าพอดี
พวกนางนั้นเป็นสาวใช้รุ่นเดียวกันจึงมีความผูกพันกันอยู่บ้าง ภายหลังถูกแยกไปอยู่คนละเรือน ความสัมพันธ์จึงค่อยๆ จืดจางลงเมื่อหย่วนซานได้กลายเป็นสาวใช้ทงฝังของซื่อจื่อไปเป็นเวลานานแล้วแม้เห็นเสวี่ยเยี่ยนร้องไห้อยู่แต่หย่วนซานซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นเฉินอวี๋แล้วนั้นกลับยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ