วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 278 เหตุใดข้าจึงหิวมากขึ้นทุกทีเล่า
เหตุใดคนที่กอดท่านมิใช่ท่านพ่อ?
เอ๊ะ?
เจินเมี่ยวจึงเห็นว่าคนบางคนที่กำลังกอดนางอยู่นั้น หน้าดำจนควันแทบลอยขึ้นมาแล้ว
หลัวเทียนเฉิงหันกลับไปอย่างอยากลำบาก แล้วเอ่ยเน้นทีละคำว่า “เด็กน้อย เจ้าลองพูดอีกสักครั้งสิ?”
จิ่งเกอมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่งแล้วกระโจนขึ้นไปบนตัวเจินเมี่ยวโดยแรง แต่เพราะเจินเมี่ยวยังอยู่ในอ้อมกอดของหลัวเทียนเฉิง ร่างน้อยๆ นั้นจึงค่อยๆ เบียดให้หลัวเทียนเฉิงไปอยู่อีกด้าน แล้วเอ่ยเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านแม่ เขาดุข้า เขาดุข้า ท่านรีบไล่เขาไปเร็ว ข้าต้องการท่านพ่อ…”
เจินเมี่ยวกัดฟันคราหนึ่งแล้วเอ่ยกล่อมเขาว่า “เด็กดี เขาก็คือท่านของเจ้าอย่างไรเล่า”
“ห๊ะ?” หลัวเทียนเฉิงแทบตกจากที่นั่ง
เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขาทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงแผ่วต่ำว่า “แล้วจะทำอย่างไรเล่า จะให้ผู้อื่นมาเห็นข้าเป็นมารดาเขา ท่านมิใช่บิดาเขา แต่ท่านกลับมากอดข้างั้นหรือ?”
“เขาไม่ใช่เสียหน่อย!” จิ่งเกอใช้สายตาบอกว่า “ท่านช่างโง่เขลานัก” มองไปที่เจินเมี่ยว “ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงจำไม่ได้แม้กระทั่งท่านพ่อเล่า? หรือว่าคนชั่วผู้นี้ข่มเหงท่านและชิงตัวท่านมา?”
เจินเมี่ยวถึงกับสะอึกจนพูดไม่ออก
หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเย็นอย่างยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น “เจ้าคิดว่าเขาเป็นเด็กสามขวบหรือไร?”
ครั้นสูดลมหายใจเข้าไปคราหนึ่งเจินเมี่ยวจึงถามจิ่งเกอว่า “จิ่งเกอ เจ้าอายุเท่าใด?”
“ห้าขวบ” จิ่งเกอขมวดคิ้ว “ท่านแม่ ข้าบอกหลายครั้งแล้วว่าข้ามิใช่เด็กสามขวบแล้ว”
พูดพลางมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่ง เหตุใดเรื่องที่แม้แต่คนชั่วนี้ยังรู้ แต่ท่านแม่ยังถามเขาอีก?
คิดไม่ถึงว่าหลัวเทียนเฉิงจังจะทำหน้าตาดั่งว่า “เห็นหรือไม่ ข้าพูดไม่ผิดกระมัง” เจินเมี่ยวถูกทั้งเด็กและผู้ใหญ่กลั่นแกล้งจนต้องนวดคลึงขมับตน
จิ่งเกอลุกขึ้นแล้วยืนหน้าอ้วนกลมนั้นเข้ามาหาเจินเมี่ยว “ท่านแม่ ข้าเป่าให้ท่านครู่เดียวท่านก็ไม่ปวดแล้ว”
จิ่งเกอเป่าชู่ๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง เจินเมี่ยวได้กลิ่นหอมที่มีเฉพาะในนมของเด็ก ท่าทีเป่านั้นทั้งน่ารักน่าชังยิ่งทำเอาใจคนอ่อนยวบไปเลยทีเดียว
นาพลันรู้สึกสงสารเด็กน้อยผู้นี้ขึ้นมาจึงยื่นมือไปโอบเขาแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “จิ่งเกอช่างเป็นเด็กดีนัก ข้าไม่ปวดแล้ว”
แต่ในใจกลับคิดว่าหากวันหน้าเด็กคนนี้รู้ว่าตนไม่มีแม่แล้วคงต้องเสียใจมากแน่
แม้แต่นางเองก็ยังตกใจที่พระนัดดาน้อยที่ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมจะรู้ความถึงเพียงนี้ ทั้งยังรู้จักเอาใจใส่มารดาตน
หรือไม่ว่าเด็กน้อยคนใดก็ล้วนน่ารักเช่นนี้ทั้งสิ้นหากอยู่กับมารดาตน?
เจินเมี่ยวลอบชำเลืองมองหลัวเทียนเฉิง แล้วความคิดหนึ่งก็ผ่านวูบเข้ามา
ลูกของพวกเขาในอนาคตก็คงจะน่ารักเช่นจิ่งเกอใช่เหมือนกันกระมัง นางหวังว่าจะมีบุตรชายที่อ้วนกลมสักคน
ท่านแม่มิเจ็บแล้วใช่หรือไม่? จิ่งเกอแบมือน้อยๆ นั้นออกมา “เช่นนั้นท่านร้องเพลงกล่อมเด็กให้ข้าฟังด้วยเถิด”
ร่างเจินเมี่ยวโงนเงนไปมา
“ท่านแม่…” จิ่งเกอดึงแขนเสื้อนางอย่างน่าสงสาร
“จิ่งเกอเด็กดี ต้องรอร้องก่อนเข้านอนตอนกลางคืน เจ้าลองคิดดูสิ แต่ก่อนก็ทำเช่นนั้นมิใช่หรือ?”จิ่งเกอครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าอย่างมิใคร่ยินยอมนัก ทุกอย่างจึงสงบลง
หลัวเทียนเฉิงเม้มริมฝีปากแน่น
นางชอบให้ออดอ้อนมากกว่าแข็งใส่จริงๆ ครานี้ถึงกับถูกเด็กปราบเสียอยู่หมัด ฮึ หากรู้เช่นนี้แต่แรกมิสู้ให้นางมีบุตรให้เขาสักคน
ครั้นนึกถึงเรื่องนี้ก็คิดอยากจะมีขึ้นมาจริงๆ แต่เมื่อคิดถึงอาการป่วยของเจินเมี่ยวแล้วก็ต้องหงุดหงิด
ตอนนี้อย่าว่าแต่มีบุตรเลย แม้แต่จะร่วมหอกันยังทำมิได้!
อย่างไรเสียจิ่งเกอก็อยู่ด้วยจึงมิอาจพูดอันใดมากได้ หลัวเทียนเฉิงเก็บกดคำพูดทั้งหลายไว้ในท้องกระทั่งถึงจวนกั๋วกง
คนทั้งสองพาจิ่งเกอไปพบฮูหยินผู้เฒ่า แล้วกลับไปพักที่เรือนชิงเฟิง
เมื่อทุกคนได้ยินว่าพระนัดดาน้อยมาพำนักที่เรือนชิงเฟิงก็ต่างส่งของมาให้ แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือของจากบ้านสี่
นอกจากของที่พบเห็นอยู่บ่อยครั้งนั้นแล้วยังมีไม้ที่แกะสลักเป็นรูปทรงต่างๆ หนึ่งชุด และในชุดนี้จะมีลิงตัวหนึ่งที่หางมันเกาะกระบองเอาไว้ เมื่อดึงขามันตัวมันก็จะลอยละลิ่วขึ้นที่ปลายกระบองอย่างรวดเร็ว
จิ่งเกอแม้นมีฐานะสูงส่ง แต่มิเคยเห็นของเล่นที่เรียบง่ายและดูโบราณทั้งยังน่าสนใจเช่นนี้มาก่อนจึงหยิบมันมาเล่นอย่างสนุกสนานจนไม่ยอมวางมือ
“ขอบคุณอาสะใภ้สี่แทนข้าด้วย พระนัดดาชอบมาเชียวล่ะ” เจินเมี่ยวส่งสายตาให้ไป่หลิงนำเงินไปมอบเป็นรางวัลให้หันจูสาวใช้คนสนิทของนางชีที่นำของมามอบให้
แม้นหันจูจะมิใคร่เห็นด้วย แต่ก็ยังจำคำที่นางชีกำชับไว้ได้ จึงเอ่ยพูดไปตามตรงว่า “เรียนต้าไหน่ไหน่ ของเล่นชุดนี้เป็นน้ำใจจากหูอี๋เหนียงเจ้าค่ะ ชิ้นอื่นๆ จึงเป็นของที่ฮูหยินส่งมาเจ้าค่ะ”
ครั้นเอ่ยวาจานี้ไปแล้ว หันจูกลับรู้สึกไม่ยุติธรรมแต่นางชีเลย
ฮูหยินก็เป็นคนดีเกินไป เห็นชัดว่าหูอี๋เหนียงคิดจะใช้โอกาสนี้เอาใจต้าไหน่ไหน่ รวมไปถึงพระนัดดาด้วย ทว่าฮูหยินไม่เพียงไม่ขวาง ทั้งยังบอกว่าหากพระนัดดาชอบ ต้าไหน่ไหน่พอใจก็ให้บอกไปตามตรงว่าเป็นของที่หูอี๋เหนียงส่งมา
ฮึ หูอี๋เหนียงผู้นั้นคงทราบดีว่าฮูหยินเป็นคนเถรตรง ไม่คิดที่จะเอาเปรียบอนุคนหนึ่ง จึงได้อาศัยหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าส่งของตนมาด้วย มิเช่นนั้นนางที่เป็นแค่อนุคนหนึ่งจะมีหน้าอันใดส่งของมาที่เรือนนี้ได้
หันจูจึงหวนคิดถึงตอนที่หูอี๋เหนียงเพิ่งจะมาถึงก็ส่งคนของตนมาที่เรือนชิงเฟิงเสียแล้ว แต่กลับถูกต้าไหน่ไหน่ตัดรอนไมตรี คิดเช่นนี้หันจูจึงคลายโทสะลงมาได้บ้าง แต่ก็ยังบ่นว่าที่ฮูหยินมิรู้จักรักษาสิทธิ์ของตนบ้าง
ครั้นเห็นของเล่นที่หูอี๋เหนียงส่งมานั้นดูแปลกใหม่ นางก็เตือนให้ฮูหยินเปลี่ยนของเล่นที่เด็กเล็กน่าจะชอบมาแทน แต่ฮูหยินกลับไม่สนใจยังคงส่งแบบเดิมมาอยู่ดี
ครานี้เป็นอย่างไรเล่า หูอี๋เหนียงก็ได้หน้าไปเต็มๆ หากภายหน้าผู้สัมพันธ์กับต้าไหน่ไหน่จนมีเกียรติขึ้นมา มิใช่จะทำให้คนขัดใจยิ่งหรอกหรือ?
ครั้นได้ฟังวาจาของหันจู เจินเมี่ยวกลับยังคงยิ้มไม่เปลี่ยนแปลงแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ควรจะขอบคุณอาสะใภ้สี่อยู่ดีนั้นแล”
หันจูอึ้งงันไป ตามด้วยการย่อคารวะด้วยสีหน้าเบิกบานแล้วจึงจากไป
ฉวยโอกาสที่จิ่งเกอกำลังเล่นของเล่นอยู่ หลัวเทียนเฉิงกุมมือเจินเมี่ยวไว้ เอ่ยด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าช่างรู้จักพูดนัก”
“รู้จักพูดอันใด?” เจินเมี่ยวจึงเพิ่งจะเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แล้วเอ่ยต่ออย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอันใด “เดิมข้าก็เดาได้อยู่แล้วว่านั้นมิใช่ของที่อาสะใภ้ส่งมา น่าจะเป็นของหูอี๋เหนียงมากกว่า”
“หืม เจ้าเดาออกกระทั่งเรื่องนี้เชียว?” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกแปลกใจขึ้นมา
เจินเมี่ยวเหล่มองเขาคราหนึ่ง “แค่ดูรายละเอียดเล็กน้อยก็ทราบแล้ว”
หลัวเทียนเฉิงถามอีกว่ามีวิธีมองอย่างไร เจินเมี่ยวกลับไม่พูดอีก
นางเอ่ยในใจว่าอาสะใภ้สี่ใช้ชีวิตอย่างหญิงหม้ายมาหลายปี ไม่ว่าอุปนิสัยเดิมจะเป็นเช่นไรแต่ก็ย่อมมีระยะห่างกับผู้อื่นไปโดยไม่รู้ตัว นี้คือความรู้สึกที่นางสัมผัสได้ในระยะหลังๆ ที่ได้ไปมาหาสู่กับอาสะใภ้ทั้งสอง
สิ่งของที่นางชีส่งสาวใช้นำมาให้แสดงถึงการให้ความสำคัญ ของที่เตรียมมานั้นถูกต้องตามธรรมเนียมทุกประการ นี่ต่างหากจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด
แม้นพระนัดดาจะเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ความชอบของเด็กนั้นไม่แน่ไม่นอน ต่อให้เป็นของที่ถูกใจจริงๆ แล้วอย่างไร ผ่านไปสักระยะเมื่อเขากลับวังแล้วยังจะจำได้อยู่หรือว่าเจ้าเป็นใคร อีกอย่าง ต่อให้องค์ชายสามรู้สึกซาบซึ้งก็ย่อมต้องซาบซึ้งต่อจวนกั๋วกงหรือเจินเมี่ยวอยู่ดี ไหนเลยจะจำอนุคนหนึ่งของบ้านสี่ได้ว่าหรือไม่?
เช่นเดียวกัน เจินเมี่ยวรู้สึกขอบคุณก็ต้องขอบคุณนางชี หากหูอี๋เหนียงส่งของมาให้นางโดยไม่ผ่านนางชี นางไม่มีทางรับแน่
ว่าไปแล้วนางหูนั้นรีบร้อนผูกไมตรีมากเกินไปจึงได้ละเลยจุดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
เมื่อหันจูกลับไปก็นำความของเจินเมี่ยวบอกกล่าวต่อนางชี นางชีผลิยิ้มบางเบาออกมา
หันจูกระทืบเท้าคราหนึ่ง “ฮูหยิน ท่านเป็นคนดีเกินไปเจ้าค่ะ”
นางชีส่ายหน้า แต่ท่าทีกลับดูสุขใจยิ่ง “การสามารถเป็นคนดีคนหนึ่งได้นั้นนับเป็นวาสนายิ่ง”
นางได้พบแต่คนที่เข้าใจในกันและกันเช่นนี้จะมิให้อารมณ์ดีได้อย่างไร
พระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนสูงขึ้น ความอบอุ่นเริ่มแผ่กระจายออกมา ช่างเป็นวันที่อากาศดีอย่างยากจะได้พบเห็น จิ่งเกอเล่นจนเหนื่อยแล้วก็จับแขนเสื้อเจินเมี่ยวไว้แล้วหลับไป
เวลานี้เองเจินเมี่ยวจึงได้พักเสียที นางค่อยๆ ดึงแขนเสื้อตนออกมาแล้วห่มผ้าให้เขา ส่งสายตาบอกให้อาหลวนดูแลอย่าให้คลาดสายตา แล้วกลับไปกินข้าวที่ห้องตน
เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงยังคงนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารก็อดตกใจมิได้ “จิ่นหมิง เหตุใดท่านถึงยังมิกินเล่า?”
“รอกินพร้อมเจ้า” หัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย
เจินเมี่ยวนั่งลงข้างๆ เขา นางรู้สึกผิดต่อเขาอยู่บ้างจึงเป็นฝ่ายคีบเนื้อปลาใส่จานให้เขาก่อน
หลัวเทียนเฉิงเหลือบตาขึ้นบอกให้กับสาวใช้ที่ยืนรอคอยปรนนิบัติว่า “พวกเจ้าออกไปเถิด”
จื่อซูและสาวใช้คนอื่นมองสบตากันคราหนึ่ง เมื่อเห็นเจินเมี่ยวมิได้คัดค้านจึงก้มหน้าเดินออกไป
“ประเดี๋ยวก็ต้องให้พวกนางยกอ่างบ้วนปาก…” เจินเมี่ยวพูดมิทันจบก็ต้องร้องขึ้นด้วยความตกใจ นางทุบหลังหลัวเทียนเฉิงพลางเอ่ยว่า “ท่านทำอันใดกัน?”
หลัวเทียนเฉิงอุ้มนางไปวางลงบนเก้าอี้ตัวยาว เขาคว่ำร่างนางลงแล้วฟาดไปที่ก้นนาง
เสียงเพี๊ยะดังสะท้านไปทั่วภายในห้องเล็กๆ นี้ เจินเมี่ยวถึงตีจนมึนงงไปหมด นางเอามือบังก้นตนไว้พลางถามว่า “เหตุใดท่านต้องตีคนด้วยเล่า?”
หลัวเทียนเฉิงมิสนใจเช่นเคยยังคงฟาดนางไปอีกหลายทีด้วยใบหน้าถมึงทึง แล้วค่อยเอ่ยถามเสียงแข็งว่า “องค์ชายรองแห่งดินแดนหมานเว่ยดูองอาจกล้าหาญเหนือคนธรรมดางั้นหรือ? หึๆ เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ว่าความองอาจกล้าหาญของเขาอยู่ที่ใดหรือ? เหตุใดข้าจึงมิเคยมองเห็นเลยเล่า?”
“ท่านรู้เรื่องที่พวกเราคุยกันได้อย่างไร?”
หลัวเทียนเฉิงทั้งโมโหทั้งขบขัน เขารั้งเจินเมี่ยวขึ้นมา คนทั้งสองจ้องมองกัน “ตอนที่ข้าไม่รู้เล่า เจ้าคงมิได้อยากจะแต่งไปดินแดนหมานเว่ยแทนหยวนเหนียงกระมัง?”
“เปล่า ข้ามิเคยคิดเลยจริงๆ” เจินเมี่ยวปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
หลัวเทียนเฉิงจ้องตานางนิ่ง
นัยน์ตาใสราวสายธารยามวสันต์ถูกหมอกควันบดบังไว้ชั้นหนึ่ง แต่เมื่อขนตาของนางพับกระพือขึ้นคล้ายปีกผีเสื้อที่โฉบลงแตะผิวน้ำเกิดเป็นระลอกคลื่นสาดเอาหมอกควันเหล่านั้นให้ค่อยๆ สลายหายไป เผยให้เห็นนัยน์ตาแวววาวกระจ่างใสนั้น
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจ
เขารู้ว่าตนระแวงจนเกินไป แต่เมื่อทราบว่านางพูดเช่นนั้นก็ระงับโทสะไว้ไม่ได้
อาจเพราะเขารู้ว่าใจของนางที่มีต่อตนนั้นยังคงความโกรธเคืองหลงเหลืออยู่บ้างจึงได้กลัวจะเสียนางไปเช่นนี้กระมัง
“จิ่นหมิง…” เจินเมี่ยวถูกความจนใจที่ซ่อนภายใต้แววตาอันล้ำลึกของเขาจ้องมอง นางใจหายวาบขึ้นมาจึงยื่นมือไปปิดตาเขาไว้
นิ้วมือเย็นของทั้งสองสัมผัสกัน หลัวเทียนเฉิงกุมมือข้างที่ยื่นออกมานั้นของนางให้เลื่อนลงไปที่ปากแล้วจุมพิตมือนั้นคราหนึ่ง
“จิ่นหมิง ท่านกำลังกังวลสิ่งใดอยู่กันแน่?” เจินเมี่ยวไม่เข้าใจจริงๆ แต่ระยะนี้ทั้งสองก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขดี แต่เมื่อเห็นเขาไม่สบายใจเช่นนี้ นางกลับรู้สึกปวดใจขึ้นมาอย่างประหลาด
หัวเทียนเฉิงพูดไม่ออก
ความจริงเจี๋ยวเจี่ยวมิได้ทำอันใดผิด นางเพียงยังมิได้ชมชอบเขาอย่างที่สตรีผู้หนึ่งชมชอบบุรุษผู้หนึ่งเท่านั้น แต่เรื่องนี้เขาจะไปตำหนิอันใดได้เล่า?
หากคิดให้ลึกสักหน่อยก็เป็นเขาเองที่ไม่มีความอดทนมากพอ
อืม ดูท่าคราวหน้าคงต้องไปหาผู้มีประสบการณ์ให้ชี้แนะสักหน่อยแล้ว
หลัวเทียนเฉิงรั้งเจินเมี่ยวเข้ามาในวงแขนแล้วงับริมฝีปากนางไว้ แล้วจุมพิตนางเช่นนั้นอยู่นาน
เจินเมี่ยวคิดถึงเรื่องที่ตนไปก่อความวุ่นวายไว้ในวัง แต่เขาก็เป็นคนพานางออกมาจากกองไฟนั้น ทั้งการแตะริมฝีปากกันเช่นนี้นางกลับมิได้เกิดความรู้สึกต่อต้านใดๆ กระทั่งรู้สึกว่ามีความหอมหวานเย็นสดชื่นอยู่นิดๆ ด้วยซ้ำ นางจึงไม่เพียงไม่บ่ายเบี่ยงแต่กลับยกแขนโอบรอบคอเขาไว้แล้วตอบรับจุมพิตนั้นอย่างแผ่วเบา
หลัวเทียนเฉิงร้อนรุ่มใจขึ้นมาจนเกือบจะควบคุมตนเองไว้ไม่ได้ และในขณะที่เขาคิดจะผลักนางออกก่อนที่จะควบคุมตนไว้ไม่ได้นั้น เจินเมี่ยวกลับเป็นฝ่ายผละออกก่อน นางหอบหายใจเล็กน้อย “จิ่นหมิง ท่านกินขนมปั้วเฮอมาใช่หรือไม่? มิน่าเล่าข้าถึงรู้สึกหิวมากขึ้นทุกที!”
หลัวเทียนเฉิงพลันหน้าดำคล้ำขึ้นมาทันที
“ขนมปั้วเฮออันใด ที่เจ้าหิวมากขึ้นทุกทีเพราะเจ้ายังไม่ได้กินข้าว!”
เขาไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าเขากินขนมปั้วเฮออันใดนั้นเพราะคิดไว้ว่าหากพวกเขาพบกันอาจจักต้องมีการชิดใกล้กันบ้างก็เป็นได้