วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 265 คืนดี
หลัวเทียนเฉิงยิ่งเดินเข้าไปลึกเพียงใดจิตใจก็ยิ่งลิงโลดมากขึ้นเท่านั้น ความรู้สึกเช่นนี้คล้ายได้ทำความดีอันใดบางอย่างแล้วกำลังไปหาท่านอาสี่เพื่อรับรางวัลในยามเด็กกระนั้น
อารมณ์เบิกบานลิงโลดนี้ชะงักไปทันทีเมื่อเห็นแมวและนกกำลังกรีดร้องวิวาทกันชุลมุนอยู่ข้างฝ่าเท้าตน
ด้านหลังยังมีสาวใช้วิ่งตามมาเป็นพรวน ครั้นเห็นหลัวเทียนเฉิงทุกคนก็หยุดฝีเท้าแล้วหันมามองนางกันทันที ครู่หนึ่งก็พร้อมใจกันย่อกายคารวะเขา
ในช่วงเวลานี้เอง แมวกับนกก็วิวาทฟัดเหวี่ยงกันกลิ้งหลุนๆ ไปไกลแล้ว
สาวใช้ต่างวิ่งวุ่นเข้าไปจับแมวกับนก หลัวเทียนเฉิงกำมือขึ้นป้องปากแล้วเอ่ยถามเสียงขรึม “นี่มันเรื่องอันใดกัน?”
เขาไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าแมวที่ถูกถอนขนเป็นกระจุกๆ นั้นคือแมวที่มีลักษณะคล้ายสิงโตน้อยที่เขาทุ่มเทเวลาในการตามหาอยู่เป็นนาน
สาวใช้นามว่าเจี้ยงจูที่ยืนอยู่ข้างหน้าผู้ที่มีความสุขุมที่สุดย่อกายคารวะคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เรียนซื่อจื่อจิ่นเหยียนกับไป๋เสวี่ยทะเลาะกันอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“อีกแล้ว?” หลัวเทียนเฉิงเอะใจกับคำนี้ขึ้นมา
เจี้ยงจูกลับเอ่ยด้วยสีหน้าดุจเดิมว่า “ตั้งแต่ที่ไป๋เสวี่ยมาอยู่ที่นี้ หากจิ่นเหยียนออกจากกรงมาบินเล่น พวกมันก็จะวิวาทกันทุกคราเจ้าค่ะ”
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่ลึกๆ เขาเอ่ยด้วยความคาดหวังในใจว่า “ต้าไหน่ไหน่รู้เรื่องนี้กระมัง?”
สาวใช้ทั้งหลายพร้อมใจกันส่งสายตาเห็นใจไปให้เขา
เชวี่ยเอ๋อร์ที่ค่อนข้างไร้เดียงสาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ต้าไหน่ไหน่ย่อมทราบดีเจ้าค่ะ หลายวันมานี้ที่พวกมันวิวาทกันทำกระโปรงต้าไหน่ไหน่ขาดปรุไปหมด มีครั้งหนึ่งถึงกับกระชากปอยผมต้าไหน่ไหน่หลุด…”
ดีมาก!
หลัวเทียนเฉิงเดินเข้าไปด้านในอย่างคนที่จะร้องไห้ออกมาแล้ว
เจินเมี่ยวกำลังตอบเทียบเชิญอยู่ เมื่อได้ยินเสียงก็ชะงักไป ครั้นเห็นหลัวเทียนเฉิงยืนอยู่ตรงนั้นไม่พูดจา แม้แต่เสื้อคลุมก็ไม่ยอมถอดเพียงยืนมองหน้าคล้ายอยากจะเอ่ยสิ่งใดจึงรู้สึกแปลกใจยิ่ง นางวางพู่กันไว้ด้านข้างแล้วเดินเข้าไปถามว่า “มีอันใดหรือ?”
หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจแต่ไม่พูดสิ่งใด เขาคว้ามือเจินเมี่ยวเดินเข้าในห้อง
“ท่านจะทำอันใด?” เจินเมี่ยวตกใจยิ่ง
ท้องฟ้าสว่างโร่เช่นนี้ แต่ครั้นพบหน้าก็ลากนางเข้าห้อง เป็นผู้ใดก็ล้วนเข้าใจผิดทั้งสิ้น
ดั่งคาด…หลัวเทียนเฉิงก็เริ่มถอดเสื้อผ้าโดยไม่พูดสิ่งใดสักคำ
ครั้งนี้เจินเมี่ยวโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว นางตบเตียงคราหนึ่ง “หลัวเทียนเฉิง ท่านยังกล้าถอดอีกหรือ!”
น่าเสียดายที่นางพูดช้าไปกว่าการกระทำของเขาเสียอีก ในเวลาเพียงชั่วขณะนี้เองร่างกายท่อนบนของอีกฝ่ายก็วางเปล่าไร้อาภรณ์แม้เพียงตัวเดียว
ยังไม่พอ หลัวเทียนเฉิงมองไปโดยรอบ เขายื่นมือไปหยิบไม้ขนไก่บนโต๊ะขึ้นมา
เจินเมี่ยวเบิกตากลมโตขึ้นทันที
เกิดอันใดขึ้น เขาคิดจะตีนางงั้นหรือ?
คงมิใช่เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกกระมัง?
เจินเมี่ยวใจเต้นระรัว นางกวาดตาไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่พบสิ่งใดที่เหมาะมือนางจึงยกเก้าอี้ตัวไม้ตัวเล็กขึ้น
หลัวเทียนเฉิงบิดเบ้มุมปาก “เจี๋ยวเจี่ยว รีบวางลงเถิด เก้าอี้ไม้หนักยิ่ง ประเดี๋ยวหล่นทับเท้าตนหรอก”
“ท่านวางไม้ขนไก่นั้นลงก่อนค่อยคุยกัน!”
หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป รู้สึกทั้งขบขันทั้งโมโห “เจี๋ยวเจี่ยว หรือเจ้าคิดว่าข้าจะตีเจ้า? ต่อให้มีเรื่องอันใดข้าก็ไม่มีทางตบตีภรรยาดอก”
เจินเมี่ยวลอบกลอกตาไปมา
มิตบตีภรรยา? วันนั้นผู้ใดกันที่ทรมานนางจนแทบสิ้นชีวี!
ครั้นเห็นท่าทีไม่เชื่อถือของเจินเมี่ยวแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็ยิ้มอย่างจนใจออกมามิได้ เขาเอาไม้ขนยัดไว้กับกางเกงที่ด้านหลัง
เจินเมี่ยวเห็นหลัวเทียนเฉิงยัดไม้ขนไก่ยัดไว้ด้านหลังก็รู้สึกยินดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์อันตึงเครียดนั้นก็ลดลงหลายส่วน นางจึงเอาเก้าอี้วางลงไม่ไกลมือนัก แล้วจ้องมองว่าเขาจะทำสิ่งใด
หลัวเทียนเฉิงเดินไปคุกเข่าลงหน้าเตียง กระแอมไอออกมาคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าว่าจะยอมให้ลงโทษมิใช่หรือ เจ้าเห็นหรือไม่ว่าข้าจริงใจเพียงใด เรื่องในคืนนั้นก็ให้มันผ่านไปเถิด”
เดิมคิดว่าแมวตัวนั้นแล้วจะทำให้ภรรยาเบิกบานใจได้ เขาก็มิต้องทำเช่นนี้แล้ว ตอนนี้หรือ…แค่กๆ ไม่มีโทษเพิ่มขึ้นมีอีกหนึ่งคดีเขาก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว
เจ้าสัตว์มีปีกนั้นเขาต้องหาโอกาสเหมาะๆ จับมันถอนขนแล้วย่างกินเสียให้เข็ด เพราะมันตั้งแง่เป็นศัตรูกับเขามาตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว!
“ยอมรับการลงโทษทุกรูปแบบหรือ?” เจินเมี่ยวมองพิจารณาขึ้นลง “เครื่องมือลงทัณฑ์เล่า?”
หลัวเทียนเฉิงชี้ไปที่ไม้ขนไก่ด้านหลังตน
เจินเมี่ยวขยับริมฝีปากคราหนึ่ง ครั้นคิดจะเอ่ยเยาะหยันเขาสักหน่อยหันไปเห็นความหวาดหวั่นน้อยๆ ในแววตาอันล้ำลึกคู่นั้นของหลัวเทียนเฉิง พลันเอ่ยปากไม่ออกเสียแล้ว
วาจานั้นของฮูหยินผู้เฒ่าดังขึ้นข้างหูอีกครา
‘ความสัมพันธ์ของสามีภรรยานั้นมักค่อยๆ ถอยห่างกันออกไปอย่างไม่รู้ตัว เมื่อหันกลับมาอีกคราก็มิอาจเป็นเช่นเดิมได้แล้ว ดั่งคำกล่าวที่ว่าทั้งชิดใกล้ทั้งห่างไกลนั้นไซร้คือสามีภรรยา’
ครั้นเห็นเจินเมี่ยวมิเอ่ยสิ่งใดเสียที ความหวาดหวั่นในดวงตาอันล้ำลึกนั้นก็เปลี่ยนเป็นขมขื่นทันที
เพราะเขาเองที่ทำร้ายนางจนเจ็บช้ำเพียงนั้น ควรแล้วที่จะได้รับโทษอย่างสาสม เขาลงมือทำลายความชิดใกล้ที่เพิ่งก่อตัวขึ้นมานั้นด้วยตนเองแท้ๆ
แต่ในเมื่อเข้าใจถึงจิตใจอันแท้จริงของตนแล้ว ไม่ว่าต้องเจอกับอุปสรรคที่ยากเพียงใดก็จะไม่กลัวเด็ดขาด
มือเย็นข้างหนึ่งวางลงบนมือใหญ่นั้น หลัวเทียนเฉิงเงยหน้าขึ้นโดยพลัน
รอยยิ้มบางเบาแต่ไร้เดียงสาของเจินเมี่ยวสะท้อนอยู่ในม่านตาเขา นางกะพริบตาปริบๆ แล้วแบมือออกมา “ในเมื่อไม้ขนไก่คือเครื่องมือลงทัณฑ์ก็รีบส่งมันมาเถิด”
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกเพียงว่าอารมณ์ตนในขณะนี้คล้ายกำลังลอยขึ้นไปบนฟ้า ทำให้คนไม่รู้จะทำเช่นใด แต่กลับหัวเราะออกมาเสียงดังสามครา แล้วส่งไม้ขนไก่ให้นาง คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยกำชับอย่างประหม่าว่า “อย่าตีใบหน้า”
ครานี้เจินเมี่ยวกลับกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้จริงๆ
ความจริงแล้วสามีของนางก็นับว่าน่ารักไม่น้อย
อย่างไรเสียในยุคสมัยนี้ หากนางต้องพบกับบุรุษที่ยั่วให้นางโมโหแล้วก็มิสนใจความเป็นตาย ไม่ไยดีต่อความรู้สึกของนางจริงๆ นอกจากค่อยๆ สงบอารมณ์ตนเองอยู่เงียบๆ แล้วใช้ชีวิตต่อไป นางยังจะมีวิธีใดที่ดีกว่านี้อีกหรือ?
หย่า? หึๆ พวกเขาทั้งสองเป็นตระกูลใหญ่ การแต่งงานคือการสานสัมพันธ์อันดีระหว่างสองตระกูล หากฝ่ายสตรีขอหย่าทั้งที่บุรุษมิได้ทำความผิดใหญ่หลวงอันใด เกรงว่าคงถูกผู้คนว่าร้ายจนจมกองน้ำลายตายเป็นแน่
เจินเมี่ยวหยิบไม้ขนไก่หลากสีนั้นขึ้นมา สายตามองไปยังร่างท่อนบนอันเปล่าเปลือยนั้นแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา นางใช้ไม้ขนไก่กวาดไปบนหน้าอกของเขาให้เขารู้สึกจั๊กจี้
หลัวเทียนเฉิงกลับซูดปากคราหนึ่ง แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เจี๋ยวเจี่ยว?”
“ห้ามส่งเสียง ในเมื่อยอมรับการลงโทษ ก็ต้องให้ข้าตีท่านสักร้อยครั้งเถิด”
“มากเพียงนั้น?” รอยยิ้มหลัวเทียนเฉิงแฝงด้วยความขมขื่น
หากนางตีเขาจริงๆ ก็ล้วนไปเถิด แต่มาจั๊กจี้เช่นนี้ก็เท่ากับต้องการชีวิตเขาชัดๆ!
เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยสีหน้าดุจเดิม “อืม เดิมก็มิจำต้องตีหลายคราถึงเพียงนี้ แต่ท่านต้องรับโทษแทนแมวที่ท่านส่งมาตัวนั้นอีกครึ่งหนึ่ง”
หลัวเทียนเฉิงกำหมัดแน่นเสียงดังกร๊อบๆ
กลับไปเขาจะจับเจ้าสัตว์ปีกนั้นมาสังเวยเสียแล้วสิ้นเรื่อง!
หากไม่มีมัน แมวที่เขาส่งมาจักต้องได้รับความโปรดปรานอย่างที่สุดเป็นแน่
เจินเมี่ยวจั๊กจี้เขาได้เพียงไม่กี่คราก็ถูกหลัวเทียนเฉิงที่กลั้นหัวเราะไว้อย่างยากเย็นนั้นแยกเอาไม้ขนไก่ไป เขาโยนมันลงพื้นแล้วรั้งนางเข้าไปกอดทั้งจุมพิตจนนางสติเลื่อนลอยไปหมด
อาจเพราะวาจานั้นของฮูหยินผู้เฒ่าหรืออาจเพราะหลายวันมานี้ที่หลัวเทียนเฉิงเพียรส่งของขวัญเพื่อเอาใจนางอย่างไม่ตระหนี่ ครั้งนี้เจินเมี่ยวกลับมิได้หลีกหนีหรือโกรธเคือง จากท่าทีขัดขืนเมื่อแรกเริ่มนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคล้อยตาม กระทั่งร้องเสียงแผ่วออกมาคราหนึ่งอย่างกลั้นไว้ไม่ได้
หลัวเทียนเฉิงกลับปล่อยนางคล้ายถูกไฟฟ้าสถิตกระนั้น ครั้นค่อยๆ ปรับลมหายใจและอารมณ์ให้เป็นปกติได้ก็รับรู้ได้ถึงแววตาประหลาดใจของเจินเมี่ยว เขาจึงกอดนางแน่นขึ้นอีกแล้วยิ้มขื่นพลางกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนี้ต่อไปข้าต้องเผลอทำร้ายเจ้าอีกแน่”
เจินเมี่ยวรับรู้ได้ถึงวัตถุแข็งขึงบางอย่างที่ดุนดันร่างนางอยู่ อีกฝ่ายเปลือยท่อนบนอยู่แต่ร่างเขากับร้อนดั่งเหล็กหลอมทำให้ใจกระทั่งใบหน้าของนางร้อนผ่าวตามไปด้วยจึงเบี่ยงกายไปอีกทางอย่างไม่รู้จะทำฉันใด
“เจี๋ยวเจี่ยว จี้เหนียงจื่อบอกหรือไม่ว่าเจ้าต้องกินยาไปถึงเมื่อใด?”
เจินเมี่ยวเอ่ยขึ้นอย่างประหม่าว่า “ต้องกินไปก่อนสักสามเดือนค่อยดูอาการอีกที”
สามเดือน!
หลัวเทียนเฉิงได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างนุ่มนิ่มในอ้อมกอดตนแล้วรู้สึกย่ำแย่อย่างที่สุด
มีผู้ใดแต่งภรรยาแล้วต้องกลัดกลุ้มใจเช่นเขาบ้าง!
“เอาล่ะ รีบสวมเสื้อผ้าเถิด เอาแต่อยู่ในห้องหับเช่นนี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปคงไม่ดีกระมัง?”
“ผู้ใดกล้า!” หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น แต่สุดท้ายก็สวมใส่เสื้อผ้า ลุกขึ้นดื่มชาที่เย็นชืดนั้นเพื่อระงับไฟในกายลงเสีย “เจี๋ยวเจี่ยว ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับเจ้าสักหน่อย”
“ท่านว่ามาเถิด” เจินเมี่ยวลูบเสื้อผ้าที่ยับยู่นั้นให้เรียบและจัดระเบียบทรงผมตนคราหนึ่ง
“หลัวเป้าองครักษ์ประจำตัวข้า ชมชอบจื่อซูสาวใช้เจ้าจึงขอให้ข้ามาเจรจาให้ ไม่รู้ว่าเจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
“หลัวเป้าหรือ?” เจินเมี่ยวลอบยิ้ม นางกำลังคิดอยู่เชียวว่าเหตุใดองครักษ์ผู้นั้นจึงยังเงียบเฉยอยู่ คงมิใช่ว่าถูกความงามของอาหลวนทำให้เปลี่ยนใจไปแล้วกระมัง หากเป็นเช่นนั้น นางจะสอนให้เขารู้เองว่าอันใดที่เรียกว่าไก่บินหนีไปไข่ก็แตก[1]
“วันนั้นที่เรียกเขามาพบในศาลาเล็กก็ดูไม่เลวเลย แต่ไม่ทราบว่าที่บ้านเขาเป็นเช่นไรหรือ”
“ปู่เขาเคยติดตามปู่ข้า ยามนี้เกษียณแล้วจึงใช้ชีวิตอยู่กับบุตรคนรองที่เป็นพ่อบ้านในจวนแห่งหนึ่ง บิดาหลัวเป้าเป็นบุตรคนโตซึ่งติดตามบิดาข้า ต่อมาก็เสียชีวิตในครั้งที่ไปร่วมรบกับบิดาข้า มารดาจากไปตั้งแต่คลอดเขาออกมา หลัวเป้าจึงอยู่กับอาของเขามาตลอด”
“หลัวเป้าเป็นเด็กกำพร้าหรือ?” เจินเมี่ยวคิดไม่ถึงว่าบุรุษหนุ่มแน่น ท่าทีร่าเริง สดใสจะมีภูมิหลังที่น่าสงสารเช่นนี้
“ใช่ แต่อาและอาสะใภ้ของเขาเลี้ยงดูเขาดั่งบุตรตน” ไม่ทราบว่าหลัวเทียนเฉิงคิดอันใดขึ้นมาได้จึงถอนหายใจแผ่วเบาขึ้น “อาของเขามีบุตรสาวสามคน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีบุตรชายเลย”
เจินเมี่ยวพยักหน้าคราหนึ่ง
ฟังเช่นนี้แล้วก็รู้สึกไม่เลวเลย ไม่มีแม่สามีที่แท้จริงอยู่ จื่อซูแต่งเข้าไปก็สามารถตัดสินใจเรื่องในบ้านตนได้อย่างเด็ดขาด ทั้งยังมีซื่อจื่อและนาง บุรุษหนุ่มนั้นย่อมมิกล้าทำตัวเหลวไหลแม้นจะไม่มีผู้อาวุโสค่อยเฝ้าดู
“เช่นนั้นก็รอให้ถึงเดือนสามยามวสันต์ เราค่อยจัดพิธีมงคลให้พวกเขาเถิด” จื่อซูที่ติดตามนางมานานมีอนาคตที่ดี อารมณ์ของเจินเมี่ยวจึงสดใสขึ้นไม่น้อย นางเอ่ยถามขึ้นอีกว่า “มิได้พบอาหู่นานแล้ว ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ครั้นคิดถึงเด็กหนุ่มที่ติดตามพวกเขามาจากหุบเขาแห่งนั้นแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็เผยรอยยิ้มเบิกบาน “ไม่เลวเลย เป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดี อนาคตอาจกลายเป็นมือธนูยิงไกลพันลี้ก็เป็นได้ แต่น่าเสียดายเจ้าเด็กนั้นคิดแต่จะเป็นคนขับรถม้าให้เจ้าท่าเดียวเลย”
เจินเมี่ยวโบกมือคราหนึ่ง “บุรุษดีย่อมทำคุณประโยชน์ให้ใต้หล้า อาหู่มิใช่บ่าวไพร่ในจวน จะมาเป็นคนขับรถม้าให้ข้าทำไม?”
“ทุกคนล้วนมีปณิธานของตน ในสนามรบดาบไร้ตา ไม่แน่ว่าการเป็นคนขับรถม้าจะมีอิสระมากกว่าสักหน่อยก็เป็นได้ เอาล่ะ รอให้ฝึกอาหู่จนสำเร็จแล้ว ข้าจะบอกข้อดีข้อเสียกับเขาให้ชัดเจน ค่อยดูว่าเขาจะเลือกทำอันใดเถิด ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ระยะนี้มีเรื่องใดเกิดขึ้นที่จวนบ้างหรือ”
เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในจวนกั๋วกงระยะนี้คือเรื่องที่บ้านรองมีสาวใช้ทงฝังที่งดงามราวนางฟ้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนและอนุภรรยาผู้มีฐานะพิเศษกว่าอนุทั่วไปของบ้านสี่มาถึงจวนแล้ว
เจินเมี่ยวเอ่ยเล่าออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ
หลัวเทียนเฉิงฟังแล้วก็หัวเราะออกมาแต่มิได้เอ่ยถามอันใด
ใกล้จะถึงเทศกาลวันตรุษแล้ว ขุนนางน้อยใหญ่จึงไม่ใคร่มีสิ่งใดให้ทำนัก โดยเฉพาะขุนนางที่รับหน้าที่อันไร้แก่นสารยิ่งมิจำเป็นต้องไปศาลาว่าการด้วยซ้ำและนายท่านรองสกุลหลัวก็เป็นเช่นนั้นแล
ครั้นได้ยินว่านายท่านรองสกุลหลัวไปที่เรือนฝั่งตะวันตกอีกแล้ว นางเถียนก็เขวี้ยงถ้วยใบหนึ่งออกไปโดยแรงและตกลงข้างเท้าของหลัวจื้อหยาที่มาหามารดาเข้าพอดี
——
[1] ไก่บินหนีไปไข่ก็แตก เป็นการเปรียบเปรยว่าสูญเสียทั้งสองอย่าง ไม่ได้อะไรเลย