วาสนาบันดาลรัก - ตอนพิเศษ 6 เชื่อว่าต้องดีกว่าแน่นอน
ชูสยาจวิ้นจู่กลับไปหมานเหว่ยได้ไม่นาน เจินเมี่ยวก็ได้รับข่าวดีว่าท้องอีกครั้ง เวินฮูหยินเมื่อได้รับจดหมายก็เร่งรุดมาทันทีเพื่อมาเยี่ยงบุตรสาว นางดีอกดีใจเสียจนไม่สามารถปิดปากได้ “เมี่ยวเอ๋อร์ ก่อนหน้าเจ้ามีบุตรชายสามคนแล้ว ครั้งนี้หากมีลูกสาวอีกคน ก็จะน่ายินดีที่สุด”
เจินเมี่ยวดวงตาเป็นประกาย “ท่านแม่ก็รู้สึกเช่นนี้หรือ ครรภ์นี้จะเป็นลูกสาวหรือไม่”
เวินฮูหยินกระแอมขึ้นสองครั้ง “แม่คิดว่า เกิดบุตรชายติดกันสี่คนก็คงจะหาได้ยากไปหน่อยกระมัง”
เจินเมี่ยวรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “นั่นสิเจ้าคะ หากเป็นรอบจริง ก็ควรถึงรอบของลูกสาวแล้ว ช่วงนี้ข้าเอาแต่อยากกินอาหารรสเผ็ด”
“กินเปรี้ยวได้ลูกชาย ทานเผ็ดได้ลูกสาว ประเดี๋ยวกลับไปแม่จะเย็บเสื้อผ้าตัวเล็กไว้ให้มากหน่อย”
เจินเมี่ยวจึงคิดถึงเสื้อผ้าเด็กหญิงหลาย**บนั่นขึ้นมาได้ นางอดที่จะปวดฟันขึ้นมาไม่ได้ “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ตอนเกิดซุ่นเกอครานั้น เสื้อผ้าพวกนั้นยังเก็บไว้อยู่เลย ดีเสียอีกจะได้เอาไว้ให้น้องสาวเขาสวมใส่ เด็กใส่เสื้อผ้าเก่าหน่อยจะได้สบายตัว ท่านแม่ตอนนี้ก็อายุมากแล้ว หากต้องมาทำเสื้อให้เด็กๆ คงเปลืองแรงไม่น้อย”
เวินฮูหยินยิ้มพลางโบกมือ “เปลืองแรงอะไรกันเล่า เจ้ามีลูกอีกคน แม่จะดีใจสิไม่ว่า”
เวินฮูหยินในใจนั้นเบิกบานใจเป็นที่สุด ลูกสาวนางผู้นี้ มีลูกหลายคนช่างเป็นมงคลดีแท้ บรรดาเหล่าฮูหยินในเมืองหลวงทั้งหลานจะมีสักกี่คนที่อายุเท่าเมี่ยวเอ๋อร์แล้วมีบุตรชายสามคนเช่นนี้ ก็มีแค่เพียงเวลานี้เท่านั้น ผู้เป็นแม่ถึงได้ไม่ต้องกังวลแล้วว่าลูกตนนั้นจะคลอดบุตรชายหรือบุตรสาว
คนที่คิดแบบเวินฮูหยินไม่ได้มีเพียงคนเดียว เวลาผ่านไป เหมันต์พัดผ่าน วสันตฤดูก็มาเยือนแล้ว จวบจนย่างเข้าเดือนแปด กลิ่นหอมดอกกุ้ยฮวากรุ่นกำจายไกล ยามเจินเมี่ยวเจ็บท้องคลอด หลายสายตาจากเมืองหลวงคอยจับตาอยู่ เมื่อถึงกาลสมควร เสียงทารกก็แผดดัง เป็นสัญญาณว่าจวนเจิ้นกั๋วกงได้ให้กำเนิดชีวิตใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว เมื่อหมอตำแยที่ทำคลอดก้าวขาออกมาจากห้องคลอด ก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่มาสอบถาม นางรับอั่งเปาเสียจนมือไม้อ่อน
และบรรดาสาวใช้เหล่านั้นที่ได้ยินข่าวก็นำความไปเรียนนายของตน
“อะไรนะ น้องสี่คลอดบุตรชายอีกแล้วหรือ” เจินหนิงลุกขึ้นยืนทันที
“ตายจริง รีบนั่งลงเข้า จะตื่นเต้นทำไมกันเล่า อย่าทำให้ลูกตกใจ” เจี่ยงฮูหยินที่มาเยี่ยมลูกสาวตนที่กำลังอุ้มท้องที่จวนจั่งกงจู่ตกใจ
ในใจเจินหนิงนั้นรู้สึกทุกข์ใจยิ่งนัก นางมองไปยังแม่นมที่ไปสืบความก่อนเอ่ยถาม “ถามแน่ชัดแล้วแน่หรือ”
“ไม่ผิดเป็นแน่ หมอตำแยที่ทำคลอดเป็นคนบอก เป็นคุณชายน้อยฝาแฝดเจ้าค่ะ”
“ฝาแฝดรึ” เจินหนิงอดใจไม่ไหวยืนขึ้นอีกครั้ง กว่านานถึงจะถอนหายใจยาวเสียที นางโบกมือ “ช่างเถอะ เจ้าออกไปได้”
เมื่อแม่นมออกไปแล้ว ในห้องจึงเหลือเพียงพวกนางสองคนแม่ลูก เจินหนิงถอนหายใจยาว “ท่านแม่ ชะตาน้องสี่เหตุใดจึงได้ดีเยี่ยงนี้เล่า นางได้ลูกถึงห้าคนในสามครรภ์ บางครั้งก็ข้าก็สงสัยยิ่งนัก พรประเสริฐใดของหญิงสาวในชาตินี้ของจวนเจี้ยนอานปั๋ว คงถูกนางครอบครองไปเสียหมดแล้วกระมัง…”
เจี่ยงฮูหยินมองไปรอบด้านก่อนรีบตัดบทนางเสียง “หนิงเอ๋อร์ เจ้าพูดอะไรออกมา หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกจะต้องแย่แน่ ต่อไปอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก”
หลัวชื่อจื่อเป็นดั่งขุนนางที่เป็นกำลังสำคัญของจักรพรรดิ อีกทั้งเจินเมี่ยวและฉงสี่ยังเป็นสหายที่สนิทแน่นแฟ้น หากคำพูดของบุตรสาวนางหลุดออกไป ทั้งนอกจวนและในจวนคงหาเรื่องดีไม่ได้เป็นแน่
“ข้าก็เพียงพูดกับท่านเท่านั้นเอง”
เจี่ยงฮูหยินถอนหายใจ “หนิงเอ๋อร์ เจ้าก็อย่าเอาแต่เสียเวลาแก้ปัญหาที่แก้ไม่ได้อยู่เลย น้องสามคนที่สิ้นไปก่อนหน้าล้วนเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ ที่มายิ่งไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง พวกเจ้าคนอื่นทั้งหลาย แม้ว่าจะมีจุดบกพร่อง แต่เมื่อเทียบกับหญิงสาวส่วนใหญ่แล้ว ยังนับว่าดีมากแล้ว ดูอย่างเจ้าสิ แม้ว่าจะให้กำเนิดบุตรสาวมาสองคน แต่ลูกเขยก็ยังไม่มีบุตรคนโตที่เกิดจากอนุมิใช่หรือ”
เจิงหนิงขมวดคิ้วขบคิด “ลูกแค่กลัวว่าครรภ์นี้ก็จะเป็นลูกสาวอีก ลูกอายุปูนนี้แล้ว ต่อไปหากตั้งครรภ์อีกคงไม่ง่ายนัก ต่อให้ชิ่งอวี่ไม่เอ่ยออกมา ก็ต้องออกตัวให้ยับยั้งการให้ยาคุมกำเนิดแก่พวกอนุเหล่านั้นเป็นแน่ จะให้เขาไร้ทายาทต่อไปก็คงมิได้
เจี่ยงฮูหยินเมื่อได้ฟังก็มีสีหน้าย่ำแย่
เจินหนิงกดเสียงต่ำถามออกมา “ท่านแม่ ท่านว่าน้องสี่ นางได้รับตำราโอสถพิสดารอะไรมาหรือไม่เจ้าค่ะ”
“ตำราโอสถพิสดารรึ”
“เจ้าค่ะ ก่อนหน้านั้นไท่เฟยโปรดปรานนางยิ่งนัก ได้ยินมาว่านางมอบตำราโอสถหายากมากมายไว้ให้นาง ไม่แน่ว่าอาจจะมีตำราโอสถที่ทำให้มีบุตรชายก็เป็นได้”
“นะ นี่มันดูไม่ค่อยจะเป็นไปได้นะ จะมีตำราพิสดารอย่างที่ว่ารึ”
“ท่านแม่ ตำราจากตำหนักไท่เฟย เล่มใดบ้างที่ไม่อัศจรรย์”
บางทีที่คนชื่นชอบเรื่องแปลกประหลาดคงเป็นเพราะว่าชื่นชอบในสาเหตุของความประหลาดนั้นกระมัง จวบจนเด็กแฝดคู่นั้นจัดงานครบเดือน ผู้คนที่มาสอบถามเรื่องตำรายาก็มากไปด้วย
เจินเมี่ยวเอาแต่ปฏิเสธเสียจนเวียนเกล้าไปหมดแล้ว วันเวลาหลังจากนั้น เทียบเชิญให้นางไปร่วมงานพิธีต่างๆ ก็ปลิวว่อนเข้าบ้านราวกับเกล็ดหิมะทีเดียว ยังมีบางคราก็เป็นคนวัยฮูหยินผู้เฒ่าที่ปรากฏตัวขึ้น เป็นราวกับเส้นโค้งกู้ชาติที่เข้ามาในช่องทางของฮูหยินผู้เฒ่า
รอจนเมื่อนางถูกจ้าวไท่โฮ่วเทียบเชิญเข้าวัง คำกล่าวทั้งหมดล้วนเอ่ยร้องขอเคล็ดลับการให้กำเนิดบุตรแทนจ้าวเฟยชุ่ย ฮูหยินผู้เฒ่าที่ฐานะสูงส่งผู้นี้ กุมมือเล็กๆ ของนางแล้วร้องไห้คร่ำครวญเสียยกใหญ่ ขาดที่ไม่ได้ทำก็คือลงไปร้องดีดดิ้นอยู่กับพื้นเท่านั้น สุดท้ายเมื่อจ้าวเฟยชุ่ยเร่งรีบมาช่วยนางหลังจากได้ยินข่าวลือ เจินเมี่ยวเองแทบจะเสียสติไปเสียแล้ว
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าจะไปไหนหรือ”
“ข้าจะไปไหว้เจ้าแม่ประทานบุตร” เจินเมี่ยวเอ่ยตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
“หากต่อไปข้าให้กำเนิดบุตรชายอีก ข้าเกรงว่าคนพวกนั้นจะกลืนกินข้าเสีย” นางอดใจไม่ไหวต้องยกกำปั้นขึ้นทุบไปที่เขา “ล้วนเป็นเพราะท่าน เพราะท่านห้ามไม่ให้หมอหลวงบอกข้าว่าข้าท้องลูกแฝด ตอนข้าอยู่ในห้องคลอดแล้วได้ยินว่าบุตรชายทั้งคู่ ใจข้าราวกับถูกลูกธนูสองดอกปักเข้ากลางใจ”
“ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า” หลัวเทียนเฉิงให้นางตบตีได้ตามแต่ใจ เขาเพียงแค่หัวเราะออกมาเบาๆ เท่านั้น
ทั้งสองแอบๆ ออกมาจากจวน เจินเมี่ยวเกรงว่าจะถูกเหล่าฮูหยินเหล่านั้นล้อมหน้าล้อมหลัง จึงไม่กล้าไปที่อารามที่มีชื่ออย่างวัดต้าฝูหรือวัดหัวรั่ว นางไปวัดเล็กๆ ที่ทรุดโทรมด้วยท่าทางราวกับจะไปขโมยของก็มิปาน
นางคุกเข่าลงบนเสื่อเก่าผืนนั้น ร้องขอด้วยใจศรัทธา “เจ้าแม่ผู้มีเมตตา ครั้งหน้าโปรดประทานบุตรสาวให้ข้าด้วยเถิด หากว่ามิได้จริงๆ บุตรสาวนั้นข้าไม่เอาแล้วก็ได้ ด้วยที่บ้านตอนนี้มีถึงห้าคนแล้ว เยอะไปมากแล้วจริงๆ”
แต่นางกลับไม่รู้ว่าการเดินทางหนนี้ถูกจับจ้องโดยบรรดาเหล่าฮูหยินที่ไม่มีบุตรชายและประสงค์อยากมีบุตรชายเพิ่มเข้าแล้ว หลัวเทียนเฉิงที่สังเกตได้กลับทำท่าทางราวกับไม่ใส่ใจ
วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเขาเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตานัก มีเพียงเจ้าอาวาสคนเดียวที่ดูแลเหล่าลูกศิษย์ ปกติแล้วก็ออกบิณฑบาตบ้างหรือไม่ก็ปลูกผักกาดขาวที่ตีนเขาเพื่อประทังชีวิต หลายวันผ่านไปกลับพบว่าตีนเขานั้นมีรถม้าทุกประเภทจอดอยู่เต็มไปหมด ยังมีที่แย่งชิงหาที่จอดไม่ได้ บรรดาคนรับใช้เหล่านั้นเกิดการวิวาทขึ้นก็มี
หลังจากนั้นสามปี วัดเก่าแห่งนั้นได้รับการบูรณะเสียยกใหญ่ กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีแต่คนไปสักการบูชา ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่งก็คือการอธิษฐานขอบุตรชายนั่นเอง
“เหลียนเหนียง เดินเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ ให้ข้าแบกเจ้าเถิด” บนเขา ชายร่างกำยำผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น โดยที่สายตามิได้ทอดมองไปที่อื่นนอกจากหญิงข้างกายตน
หญิงผู้นั้นสวมชุดลายดอกไม้ สวมกระโปรงผ้าฝ้ายสีน้ำเงินธรรมดา ผิวกายนางค่อนข้างคล้ำ หากมองเพียงชั่วแวบเดียว ก็จะคิดว่าคงเป็นหญิงชาวนาธรรมดา แต่หากมองอย่างพินิจพิจารณาจะเห็นว่านางมีความงามอยู่หลายส่วน
“ไม่ต้อง ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าไม่มา”
ชายผู้เป็นสามีไม่ฟังคำโต้แย้งใด อุ้มนางขึ้นทันที “ไม่มาได้อย่างไรเล่า ล้วนบอกกันว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก มีฮูหยินท่านหนึ่งมาไหว้เจ้าแม่ประทานบุตรที่นี่ แล้วให้กำเนิดบุตรชายติดกันถึงห้าคนเชียว ข้าไม่ขอลูกชายหรอก ขอเพียงเป็นลูกที่เกิดกับเจ้า ข้าก็ชอบทั้งนั้น”
หญิงที่อยู่บนหลังชายผู้นั้นเม้มริมฝีปาก “ปีก่อนข้าเจ็บป่วยหนัก เกรงว่าคงมีลูกไม่ได้เสียแล้ว”
ชายผู้นั้นยังคงยิ้มอยู่ “ก็ถึงได้มาลองอธิษฐานดูอย่างไรเล่า เกิดไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ต่อไปข้าก็จะมองเลี้ยงดูเจ้าแบบภรรยาและเลี้ยงดูแบบลูกคนหนึ่ง”
หญิงผู้นั้นจูบเขาครั้งหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองชายคาของวัดที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้เขียวชอุ่ม นางพิงลงกับหลังชายผู้ที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีผู้นี้ที่กำลังเดินลงเขาไป หัวใจของนางรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความสัมพันธ์ของนางกับคนผู้นั้น ในที่สุดก็เหลือไว้เพียงแค่เส้นทางที่มีแค่เขากับภรรยาเดินร่วมเคียงกันไป
เมื่อนางตื่นขึ้นมาในบ้านของชาวบ้านในปีนั้น นางยิ้มอย่างขมขื่นพลางมองไปยังมีดสั้นและถุงเงินที่ตกข้างกาย
นางล้วนเป็นถึงขนาดนั้นแล้ว ตัวคนเดียว เมื่อเอ่ยว่ายอมปล่อยไป ยังมีทางใดให้รอดชีวิตอีกเล่า เมื่อคิดได้อย่างนั้นความทุกข์ระทมก็ถาโถมเข้าสู่จิตใจ นางคิดอย่างอดใจไม่ได้ไม่รู้กี่ครั้งว่าอยากใช้มีดสั้นเล่มนั้นจบสิ้นทุกอย่างเสีย แต่เมื่อฟ้าสว่าง กลับมีคนที่เขามอบหมายให้เป็นธุระเดินเข้ามา นำนางเดินทางไปยังทางใต้ของเมืองหลวง ให้นางอาศัยใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
คิดไม่ถึงเลยว่านางจะได้แต่งงานกับชายผู้อยู่ข้างกาย เวลาหมุนเวียนผันผ่าน เขาพานางมาทำมาหากินที่เมืองหลวง และนางเองเดิมทีที่เดิมกังวลและไม่ปลอดภัยก็ค่อยๆ รู้สึกมั่นคงและอิสระขึ้นในตอนนี้ อดีตที่เหลือทนเหล่านั้น ดูราวกับเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว
“ท่านวางข้าลงเถิด ให้ผู้อื่นเห็นเข้าจะดูไม่ดี”
“ไม่วางลงหรอก เวลานี้ผู้คนบางตา อีกอย่าง เจ้าเป็นฮูหยินของข้า ข้าแบกเจ้าก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วนี่”
เพิ่งกล่าวจบ ก็แว่วเสียงคนคุยกันลอยมา เมื่อเลี้ยวโค้ง ก็พบเจอเข้ากับชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังเดินขึ้นเขามา
ชายร่างกำยำผู้นั้นเมื่อครู่ยังปากแข็งอยู่เลย ตอนนี้หน้าแดงก่ำเสียแล้ว หัวเราะอย่างเก้อเขินว่า “แหะๆ ฮูหยินข้าขาแพลงน่ะ”
เจินเมี่ยวที่เดินสวนชายผู้นั้น มองเห็นหญิงสาวบนหลังเขา นางตกใจทันที คำว่า “เยียนเหนียง” เกือบจะหลุดออกมาจากปากนางเสียแล้ว
เยียนเหนียงมองไปยังหลัวเทียนเฉิงที่อยู่ข้างกายนางหนึ่งที นางถอนสายตามาสบตากับเจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวมองชายร่างกำยำอย่างพิจารณา แล้วยังมองไปที่เยียนเหนียง นางไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ทำเหมือนกับว่าพบเจอคนแปลกหน้าที่คุ้นตาเท่านั้นเอง นางเผยรอยยิ้มที่สดใสออกมาทันที
เยียนเหนียงก็ยิ้มเช่นกัน
หลัวเทียนเฉิงยิ้มให้ชายผู้นั้น แต่ไม่ได้มองไปยังหญิงสาวที่อยู่บนหลังเขา เขาหันมองเจินเมี่ยวพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจี๋ยวเจี่ยว ขาเจ้าก็แพลงใช่หรือไม่”
“เปล่านะ ไม่นี่…”
นางยังไม่ได้ทันได้พูดจบ ก็ถูกหลัวเทียนเฉิงอุ้มขึ้นมาทันที เขาค่อยๆ เดินขึ้นเขาไป เมื่อเขาเดินสวนกับชายร่างกำยำนั้น ยังยกยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า “พี่ชาย บังเอิญเสียจริง ฮูหยินข้าก็ขาแพลงเช่นกัน”
ชายผู้นั้นยกยิ้มแหะๆ ส่งสายตาเลื่อมใสมาให้เขาหนึ่งที เขาใช้มือสองข้างอุ้มเยียนเหนียงขึ้นกระชับสูงอีกหน่อย พลางก้าวยาวๆ เดินลงเขาไป
เจินเมี่ยวอดไม่ไหวหันกลับไปมอง นางก็ได้เห็นว่าเยียนเหนียงก็หันกลับมามองนางเช่นกัน
ทั้งสองยิ้มส่งสัญญาณให้กัน ทั้งยังหันกลับพร้อมกันเช่นกัน
“ ขึ้นเขาแลเห็นเถาวัลย์พันเกี่ยวต้นไม้ ลงเขากลับเห็นต้นไม้พันเกี่ยวเถาวัลย์ ต้นไม้สิ้นเถาวัลย์ยืนยงพัวพันจนสิ้น เถาวัลย์สิ้นต้นไม้ยืนยงแม้นม้วยยังข้องเกี่ยว …”
เพลงลำเนาเขาที่ร้องโดยชายร่างกำยำกังวานก้องไปทั้งเขา บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนานและความเสน่หา เยียนเหนียงเอนกายพิงลงบนบ่าเขา ทั้งยังหยิกไปเสียที “หยุดร้องเสียที รีบกลับบ้านเถิด ข้าจะทำลูกชิ้นตุ๋นให้ท่านทาน”
“ดี” ชายผู้นั้นยิ้มเต็มใบหน้า เขาแบกเยียนเหนียงพลางเร่งฝ่าเท้าเดินลงเขาไปอย่างว่องไว
หลัวเทียนเฉิงหยุดฝีเท้าฟัง และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ร้องได้ดีมาก เหตุใดจึงไม่ร้องแล้วเล่า เพลงนี้น่าสนใจเสียจริง”
“อาจจะเร่งรีบกลับบ้านกระมัง” เจินเมี่ยวตีไปที่ไหล่เขาเบาๆ “ปล่อยข้าลงเถิด จะอุ้มข้าไปถึงเมื่อไร ประเดี๋ยวก็กลับบ้านดึกกันพอดี”
“กลับดึกก็ดีสิ เจ้าเด็กซนห้าคนนั้นเอะอะเสียจนปวดหัว ดีที่เจ้าหกเป็นบุตรสาวที่แสนจะเชื่อฟัง อย่างไรเสียมีบุตรสาวก็ดีกว่ามาก”
เจินเมี่ยวกลอกตาอย่างอดไม่ไหว “เจ้าหกเพิ่งจะสองเดือนเท่านั้น ไม่เชื่อฟังได้หรือ แต่ว่าที่นี่ก็ถือว่าศักดิ์สิทธิ์มากนัก ครั้งนี้ในที่สุดก็มิใช่บุตรชายเสียที”
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าเชื่อเรื่องพวกนี้หรือ”
เจินเมี่ยวยกยิ้มในแววตา “ข้าเชื่อ วันคืนจะต้องยิ่งนับวันยิ่งดีขึ้นแน่นอน จิ่นหมิง…”
“หืม”
“อีกสามสิบปี ท่านก็ยังจะแบกข้าขึ้นเขามาแก้บนใช่หรือไม่”
หลัวเทียนเฉิงครุ่นคิดอยู่นานก่อนเอ่ยถาม “พวกเราเปลี่ยนเป็นจูงมือดีหรือไม่”
—จบตอนพิเศษ—