“ห๊ะ?” นางเถียนมีปฏิกิริยาที่ค่อนข้างรุนแรงอยู่สักหน่อย นางลุกขึ้นทันทีจนเก้าอี้ล้มคว่ำไป ทำให้ท่าทีอันเล็กน้อยนั้นของคุณชายรองถูกมองข้ามไป มีเพียงหลัวเทียนเฉิงที่เหลือบไปเห็น เขาจึงยิ้มออกมาอย่างล้ำลึก
ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วมองนางเถียนคราหนึ่ง
นางเถียนมิสนใจสายตาคนรอบข้างสักนิด นางจ้องจี้เหนียงจื่อเขม็งพลางถามว่า “เยียนเหนียงตั้งครรภ์จริงๆ หรือ”
คลื่นลูกใหญ่สาดซัดขึ้นมาในใจนางทันที
ครั้งที่นางได้ยาที่สามารถยั่วยวนบุรุษมาจากตระกูลมารดานั้น นางก็ได้ถามเพิ่มอีกประโยคว่ามียาที่สามารถทำให้บุรุษมิอาจมีบุตรหรือไม่
คำตอบนั้นย่อมไม่มีแน่นอน แต่ท่านอาใหญ่บอกว่าหากบุรุษกินขึ้นฉ่ายเป็นเวลานานก็สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เช่นกัน แต่หากหยุดกินร่างกายก็จะฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม
วิธีนี้นางมือไม่ยาวพอที่จะไปใช้ในเรือนชิงเฟิงจึงลงมือกับนายท่านรองแทน
อาหารทุกๆ วันของนายท่านรองจะต้องมีกับข้าวหนึ่งอย่างที่ใส่ขึ้นฉ่าย
แต่น่าเสียดายที่ตระกูลมารดานางล่มสลาไปแล้ว ท่านอาใหญ่ก็นับเป็นบุคคลที่กระทำความผิดด้วย นางจึงไร้หนทางจะไปสอบถามได้
“เรื่องนี้ ข้าย่อมไม่มีทางตรวจผิดแน่” จี้เหนียงจื่อเอ่ยอย่างด้วยน้ำเสียงไร้ความอวดเบ่ง
นางเถียนฝืนยิ้มออกมา “เช่นนั้นจี้เหนียงจื่อช่วยจัดยาบำรุงครรภ์ให้ด้วยเถิด ต่อไปก็มาคอยตรวจอาการที่จวนบ่อยๆ หากมีอันใดผิดแปลกไปจะได้บอกกับข้าและฮูหยินผู้เฒ่าทันท่วงที”
ฮูหยินผู้เฒ่าลอบพยักหน้า
ตั้งแต่ตระกูลเถียนล่มสลายไป นางเถียนกลับปฏิบัติตัวดียิ่งขึ้น
ทว่าเยียนเหนียงตั้งครรภ์ ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมิได้ดีใจสักนิด นางจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “แค่สาวใช้ทงฝัง มิจำเป็นต้องมารายงานให้ข้าทราบดอก”
นายท่านรองได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เขาคิดจะพูดแทนเยียนเหนียงสักสองสามประโยค แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันเรียบเฉยของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็ได้แต่กลืนคำเหล่านั้นลงท้องไป
ช่างเถิด อย่างไรเขาก็ไม่มีอันใดต้องทำในศาลาว่าการอยู่แล้วจึงสามารถอยู่ที่จวนให้มากหน่อยเพื่อดูแลเยียนเหนียงได้ มิให้นางเถียนภรรยาชั่วช้ามาทำนางได้
เมื่ออาหารมื้อที่ไร้รสชาตินั้นได้ผ่านไป
นายท่านสี่จึงกลับเรือนอวี้หยวนกับนางชีด้วยความเบิกบานใจ
หูอี๋เหนียงเป็นอนุจึงไม่มีสิทธิ์มากินอาหารค่ำของตระกูลในวันนี้ได้ เมื่อนางทราบว่านายท่านสี่กลับมาแล้วก็เอาแต่คอยมองไม่กินแม้แต่ข้าว
ในที่สุดก็เห็นหันจู สาวใช้ของนางชีพาจังเกอมาส่ง เมื่อไม่เห็นเงาของนายท่านสี่ นางจึงรับจังเกอกลับเข้าเรือนไปอย่างยากจะปิดบังความผิดหวังได้
ครั้นตกดึกจึงส่งอาซิ่งไปแจ้งที่เรือนกลาง
“นายท่าน คุณชายเจ็ดไม่สบาย อี๋เหนียงเชิญท่านไปดูอาการสักหน่อยเจ้าค่ะ”
นายท่านสี่ขมวดคิ้วมุ่น “เชิญท่านหมอแล้วหรือไม่”
“ยังเจ้าค่ะ คุณชายเจ็ดเอาแต่ร้องไห้เรียกหาท่าน”
นางชีจึงเอ่ยว่า “ท่านพี่ ในเมื่อเจ้าเจ็ดไม่สบาย ท่านก็รีบไปดูเถิด”
นายท่านสี่รู้สึกลำบากใจยิ่ง
จังเกออ่อนแอมาตั้งแต่เยาว์วัย เขาเองทราบดี ในฐานะของบิดามีหรือจะไม่เป็นห่วง แต่นางชีเพิ่งตั้งครรภ์ เป็นช่วงที่ต้องการคนดูแล…
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางชีรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา นางผลักเขาคราหนึ่ง “ท่านพี่ รีบไปเถิด เข้าโตป่านนี้แล้ว จะมีเรื่องใดได้ แต่เจ้าเจ็ดกำลังต้องการท่าน”
นายท่านสี่กุมมือนางชีแล้วพยักหน้าพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นข้าจะไปดูเขาสักหน่อย หากเขาไม่เป็นอันใดแล้วข้าก็จะกลับมา”
นางชีมองเขาด้วยสายตาตำหนิ “ดึกดื่นป่านนี้แล้วไยต้องกลับไปกลับมาให้เหนื่อยเล่า ท่านพักอยู่ที่นั่นเถิด อีกอย่างข้ากำลังตั้งครรภ์ ตามธรรมเนียมแล้วควรแยกห้องกันนอน”
นายท่านสี่ห่มผ้าให้นางแล้วค่อยจากไป
กระทั่งถึงเรือนปีกข้าง นายท่านสี่เห็นหูอี๋เหนียงที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูก็ถามว่า “เจ้าเจ็ดเล่า”
“เจ้าเจ็ดเพิ่งจะเข้านอนก็อาเจียนออกมา อาจเพราะกินข้าวเหนียวมากไปทำให้ไม่ย่อย” นางหูมองนายท่านสี่ด้วยสายตาคาดหวังคราหนึ่ง เชิญชวนให้เข้าเขามาด้านใน
สายตาของนายท่านสี่ร่วงตกไปที่ดอกเสาเย่าอันสวยงามบนข้างหูหูอี๋เหนียง แล้วขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ข้าจะไปเจ้าเจ็ดสักหน่อย”
คุณชายเจ็ดนั้นพักอยู่ที่ห้องฝั่งตะวันตก ร่างเล็กๆ มุดอยู่ในผ้านวมเผยเพียงใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือใหญ่ออกมา หน้าเตียงมีโคมแสงขมุกขมัวตั้งอยู่ ทำให้มองไม่เห็นว่าสีหน้าของเขาเป็นเช่นไรกันแน่
เมื่อมองบุตรชายคนเล็กแล้ว นายท่านสี่ก็ใจอ่อนขึ้นมา
เมื่อครู่เขายังรู้สึกสงสัยอยู่บ้างว่าหูอี๋เหนียงอาจนำลูกน้อยมาเป็นข้ออ้างเพื่อเรียกเขามา แต่เรื่องที่บุตรคนเล็กสุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่เยาว์นั้นอย่างไรก็เป็นความจริง
บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเอง
“ท่านพี่ เจ้าเจ็ดเพิ่งหลับไป เราอย่าไปทำให้เขาตื่นเลย ไปพักผ่อนก่อนเถิด” หูอี๋เหนียงเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
นายท่านสี่นิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็พยักหน้ารับ
เขาอยู่ที่ค่ายทหารมาตลอด กลับมาก็เพียงไม่กี่ครั้ง ทุกคราที่กลับมาก็จะอยู่เพียงไม่กี่วัน หากนับดูเขาก็มิได้มาที่นี่นานมากแล้ว
นางเป็นอนุภรรยาทั้งยังเคยใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายปีในฐานะภรรยาเอก ในเมื่อตามเขากลับมาที่จวนกั๋วกงแล้ว ไม่ว่าในด้านความรู้สึกหรือเหตุผลก็มิควรปล่อยให้นางอยู่ในเรือนอย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง
หูอี๋เหนียงเห็นนายท่านสี่พยักหน้า ความยินดีก็กระจายเต็มหน้า นางเอาใจปรนนิบัติประคองเขานอนลงเตียง สายตาจ้องไปยังเปลวเทียนสีแดงที่ยังคงเผาไหม้ด้วยแล้วยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ
ไม่อาจกินข้าวร่วมกับตระกูลแล้วอย่างไร วันแรกที่กลับมาถึงจวนก็ยังมานอนที่เรือนนาง
มิรู้เช่นกันว่าวันนี้นางชีจะนอนหลับหรือไม่
“เหมยเหนียง ฮูหยินนางตั้งครรภ์แล้ว” เสียงของนายท่านสี่ดังลอยขึ้น
หูอี๋เหนียงตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง นางหยิกตนเองไว้โดยแรงจึงสามารถหาเสียงตนเจอ “เช่นนั้นก็น่ายินดียิ่งแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปแสดงว่ายินดีกับฮูหยิน”
กล่าวถึงตรงนี้ เสียงของหูอี๋เหนียงก็พลันสะอื้นขึ้น นางหันหน้าไปสบตากับนายท่านสี่ มือขาวเนียนนั้นโอบรอบคอเขาไว้แล้วเอ่ยตัดพ้ออย่างเด็กน้อยแสนแง่งอน “ท่านพี่ ได้ยินข่าวดีเช่นนี้แล้ว ข้าดีใจแทนฮูหยินยิ่ง แต่ไม่รู้เหตุใดจึงรู้สึกทุกข์ทนอยู่บางส่วน เจ้าเจ็ดร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เยาว์ ใจนี้ของข้าดั่งถูกบีบเค้นอยู่ร่ำไป…”
นายท่านสี่ตบหลังนางคราหนึ่ง “มีท่านหมอผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลเขาอยู่ เขาต้องดีขึ้นเรื่อยๆ แน่”
หูอี๋เหนียงรับคำ “อืม” แล้วเริ่มรุกเร้าเข้าหาเขา
ไม่นานยวนยางก็เริ่มกอดกระหวัดพลอดรักกันเสียจนคลื่นน้ำกระเพื่อมไหว เมื่อหูอี๋เหนียงคิดว่านางชีตั้งครรภ์ ในใจดั่งมีกองไฟสุมอยู่ นางจึงเว้าวอนรัดรึงนายท่านสี่จนดึกดื่น สาวใช้ต้องยกน้ำมาให้ถึงสามคราทุกอย่างจึงสงบลงได้
ครั้นฟ้าสางนางก็เอ่ยเสียงอ่อนอยู่ในอ้อมอกนายท่านสี่ว่า “ท่านพี่ ข้าได้ยินว่าปีนี้จะมีการจัดสอบในเมืองต่างๆ ปีหน้าก็จะมีการสอบครั้งใหญ่ ถึงตอนนั้นผู้มากความสามารถจากทั่วสารทิศก็จะมารวมตัวกันที่เมืองหลวง ท่านก็ทราบว่าฉีเกอ น้องชายข้าแม้ยังเล็กแต่กลับร่ำเรียนตำราได้ดียิ่ง ข้าอยากให้เขามาหาประสบการณ์ที่เมืองหลวง จะต้องมีประโยชน์ต่อการทำการค้าของเขามากเป็นแน่”
นายท่านสี่นั้นมีความรู้สึกที่ดีกับฉีเกอ น้องชายของนางหูไม่น้อย เขาไม่เพียงเป็นคนฉลาดแต่ยังมีอุปนิสัยที่ดีด้วย การให้เขามาเมืองหลวงกลับเป็นเรื่องที่นายท่านสี่หวังให้เกิดขึ้นเช่นกัน
“เช่นนั้นเจ้าเขียนจดหมายไปบอกเขาก่อน หากฉีเกอยินยอม ข้าจะส่งคนไปรับเขาเอง”
“ยังต้องถามอีกหรือ ท่านพี่ส่งคนไปรับเขาเลยก็สิ้นเรื่องแล้ว” นางหูเอ่ยด้วยใจยินดี
นายท่านสี่ส่ายหน้า “แม้ฉีเกอยังเล็กแต่เขาเป็นคนมีความคิดเป็นของตน เจ้าไปพูดกับเขาให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า”
หูอี๋เหนียงจึงพยักหน้ารับ กระทั่งนายท่านสี่จากไปนางก็เขียนจดหมายทันทีแล้วสั่งให้คนไปส่งที่อำเภอเป่าหลิง
ตั้งแต่ทราบว่าเยียนเหนียงตั้งครรภ์ ใจของคุณชายรองก็เกิดคลื่นลูกใหญ่ซัดสาดไม่หยุดจนมิอาจนอนหลับได้ทั้งคืน วันต่อมาขอบตาจึงคล้ำเขียวยิ่ง
เขาก็ไม่ทราบว่าเหตุใดทั้งที่ตนคิดจะใช้ประโยชน์จากเยียนเหนียงไปกลั่นแกล้งพี่ใหญ่ แต่ภายหลังกลับเผลอใจให้กับนางเสียเอง
แน่นอนว่าเขามิใช้น้องสามที่แสนดื้อดึงนั่น เขาไม่เสียใจที่ชอบเยียนเหนียง และไม่มีทางเสียขวัญจะเป็นจะตายเช่นนั้นแน่!
อย่างไรก็เป็นเพียงแค่สาวใช้ทงฝัง มิใช่อนุที่ถูกบันทึกรายนามของจวนเสียหน่อย รอบิดาเบื่อแล้ว เขาแค่วางแผนให้บิดาขายเยียนเหนียงออกไป เขาค่อยหาที่สักแห่งให้นางอยู่ก็มิใช่เรื่องที่ทำมิได้
แต่เวลานี้เยียนเหนียงกลับตั้งครรภ์ช่างทำให้คนรู้สึกอยากจะบ้าเสียจริง
หากเด็กผู้นี้เกิดมา ภายหน้าจะนับว่าเป็นน้องชายหรือบุตรของเขากันแน่
หากเป็นบุตรของบิดา ต่อให้ภายหน้าเยียนเหนียงถูกไล่ออกไปแล้วแต่เขาไหนเลยจะยังเก็บสตรีที่คลอดบุตรของบิดาไว้ได้ หากภายหน้ามีบุตรขึ้นมาอีกจะนับเป็นเรื่องเช่นใดกันเล่า
คุณชายรองเดินกลับไปกลับมา เขาอยากจะพุ่งเข้าใส่กำแพงจริงๆ
ไม่ได้ เขาจะต้องไปพบกับเยียนเหนียงสักครา!
อาจเพราะดีใจมากอย่างยิ่ง นายท่านรองจึงคอยอยู่เฝ้าเยียนเหนียงทั้งกลางวันกลางคืนติดต่อกันหลายวัน คุณชายรองจึงทำได้เพียงเก็บความคิดตนไว้ก่อน เมื่อมีความกังวลใจท่าทีจึงมิสู้ดีนัก บังเอิญเหลือเกินที่สหายร่วมเรียนก็เชิญเขาไปดื่มสุราพอดีจึงออกจากจวนไป
หลัวจากคุณชายสามทราบข่าวนี้ หัวใจที่กำลังลิงโลดเพราะจะได้ไปค่ายกองทัพทหารนั้นกลับห่อเ**่ยวลง
สำหรับสตรีที่กระโจนเข้ามาในหัวใจของเขาเพียงแค่แรกพบสบตาในคืนนั้น หากบอกว่าตอนนี้เขาสามารถตัดใจได้อย่างหมดจดคงเป็นไปไม่ได้ แต่หลังจากเขาทราบว่าเป็นสตรีของบิดา ความรู้สึกนี้ก็ถูกซ่อนไว้ในซอกหลืบที่ลึกที่สุด หลังจากที่เขารู้ว่านางมีบุตรกับบิดา เขาก็เข้าใจในทันทีว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องตัดทิ้งความรักอันไร้เดียงสาในคราแรกเริ่มนั้นทิ้งไปเสีย
อาจเพราะพระจันทร์คืนนี้ช่างดูพิสุทธิ์ทั้งสูงส่ง หรืออาจเพราะอารมณ์สับสนที่คอยรัดรึงหัวใจเขาอยู่ทำให้คุณชายสามอดที่จะเปิดประตูเดินไปยังสถานที่ที่พวกเขาพบกันครั้งแรกอย่างอดไม่ได้
เมื่อเรื่องเริ่มขึ้นที่นี่ก็ควรจบที่นี่เช่นกัน…มันดีแล้ว
คุณชายสามยิ้มเยาะตนออกมา
แต่ทันใดนั้นกลับมีมือเสลาคู่หนึ่งยื่นออกมาโอบรอบคอเขาไว้ คุณชายสามหันไปโดยพลัน ท่าทีที่พร้อมจะสลัดแขนนั้นออกหายไปทันทีที่เห็นชัดว่าคือผู้ใด เขายังมิทันได้สติคืนมาด้วยซ้ำก็ถูกนางพาเข้าไปในถ้ำของหุบเขาจำลองนั่น
คุณชายสามมองใบหน้างดงามนั้นด้วยความตะลึงลาน เมื่อตื่นจากภวังค์จึงสะบัดมือนางออกแล้วหมุนกายจากไป
“คุณชายสาม…” เสียงแผ่วเบานั้นดั่งน้ำที่ราดรดลงไปยังบัวหยก หางเสียงมีความอาลัยอาวรณ์ฉุดรั้งฝีเท้าของเขาได้ชะงัดนัก
คุณชายสามหันหลังให้นาง เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะสลัดหลุดจากน้ำเสียงอันอาลัยอาวรณ์นั้น “เยียนเหนียง โปรดระวังท่าที…”
เอ่ยถึงตรงนี้กลับพูดต่อไปมิได้อีก อย่างไรเสียก็เป็นเองที่หวั่นไหวก่อน นางมิได้เกี่ยวอันใดด้วยเสียหน่อย
ทว่านางดึงเขามาที่นี่ด้วยเหตุใดเล่า
ชั่วขณะนั้นใจของคุณชายสามก็เกิดสับสนขึ้นมาอีก เขากลั้นใจก้าวเท้าเดินหนีไป
ร่างอันอ่อนนุ่มทั้งหอมละมุนกลับขยับเข้ามาประชิด สองแขนโอบเอวเขาไว้ดุจเถาวัลย์
คุณชายสามยืนนิ่งไม่ไหวติงดุจถูกฟ้าผ่า
นางใช้ใบหน้าอันอ่อนนุ่มนั้นถูไถไปมาที่แผ่นหลังเขา แล้วผ่อนลมหายใจอันหอมละมุนดุจกล้วยไม้ออกมา “คุณชายสาม เด็กผู้นี้เป็นบุตรของท่าน ท่านรู้หรือไม่”
“ห๊ะ?” คุณชายสามหันไปถลึงตาใส่เยียนเหนียงทันใด
ใบหน้าเยียนเหนียงขาวนวลดุจหยกหิมะ มีเพียงสองแก้มที่แดงเรื่อเล็กน้อยคล้ายสีของบุปผาที่กำลังผลิบาน ดูบริสุทธิ์และงดงามอย่างที่สุด
แต่วาจาที่นางเอ่ยกลับทำให้เขารู้สึกมึนงงยิ่ง “หลายวันมานี้ท่านไม่มาหาข้าเลย คืนนี้ข้าจึงตั้งใจให้นายท่านปลีกตัวออกจากข้า เพราะอยากจะไปหาท่าน บังเอิญเหลือเกินที่ได้พบกันที่นี่…”
วาจายังมิทันเอ่ยจบ ข้อมือนางก็ถูกคุณชายสามจับไว้แน่น “เจ้าบอกว่า เจ้ามีบุตรกับข้างั้นหรือ”
MANGA DISCUSSION