วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 318 พลีชีพ
เขาหมุนกายเดินออกไปทันที
ไป๋เสาจึงรีบตามออกมา “ซื่อจื่อ…”
หลัวเทียนเฉิงหันกลับไปมอง เดิมมิคิดจะพูดอันใดมาก แต่ก็กลัวว่าหากตนออกไปแล้ว เจินเมี่ยว กลับมาเล่าจึงรีบเอ่ยบอกว่า “หากต้าไหน่ไหน่กลับมาให้นางรอข้าอยู่ที่เรือน”
ไป๋เสาเห็นหลัวเทียนเฉิงเดินไปไกลแล้วจึงถอนหายใจออกมา
พวกนางเป็นสาวใช้ตามมารับใช้มิได้มีความคิดที่จะเป็นสาวใช้ทงฝังเลยจึงมิอยากพูดอันใดให้มากความยามอยู่ต่อหน้าซื่อจื่อ ทว่าเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของซื่อจื่อแล้วก็เห็นชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ หรือต้าไหน่ไหน่จะได้รับบาดเจ็บเล่า?
นางรีบไปหาชิงไต้ทันที “ซื่อจื่อเพิ่งกลับมาก็มาหาต้าไหน่ไหน่ทันที ข้าเห็นว่าซื่อจื่อได้รับบาดเจ็บมาด้วย เกรงว่าต้าไหน่ไหน่จะเกิดเรื่อง เจ้ารีบตามไปดูสักหน่อยเถิด”
ความจริงแล้วยามปกติไป๋เสาก็น้อยนักที่จะเรียกใช้ชิงไต้เพราะนางเป็นสาวใช้ที่หลัวเทียนเฉิงมอบให้เจินเมี่ยว แต่ยามนี้มีเพียงชิงไต้ที่มีวรยุทธ์เท่านั้นที่สามารถทำเรื่องนี้ได้
ชิงไต้พยักหน้าแล้วรีบตามออกไป
หลัวเทียนเฉิงร้อนใจดุจไฟเผา เขาเดินไปตามทางของเรือนชิงเฟิงจนทะลุไปถึงประตูที่สอง ครั้นเมื่อถึงทางเลี้ยวเขาก็ได้กลิ่นหอมโชยมาจึงรีบหลบไปอีกทางแทบไม่ทัน แล้วเอ่ยด่าทอประหนึ่งอัสนีผ่าแสกหน้าว่า “สาวใช้เมืองป่าของเรือนใด ไม่มีตาหรืออย่างไร”
ดรุณีน้อยสองคน ผู้หนึ่งอยู่หน้า ผู้หนึ่งตามหลัง สตรีที่สวมชุดสีชมพูอ่อนผู้เกือบจะชนกับหลัวเทียนเฉิงนั้นคือเถียนอิ๋ง ส่วนสตรีสวมชุดสีขาวนวลที่อยู่ด้านหลังก็คือเถียนเสวี่ย
เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงด่าทอเหมารวม คนทั้งสองก็หน้าแดงเรื่อขึ้นทันใด
เถียนอิ๋งอดที่จะโต้เถียงไม่ได้ว่า “พวกเรามิได้ตั้งใจเสียหน่อย ญาติผู้พี่มิเห็นจำเป็นต้องด่าว่าเพียงนี้เลย”
สำหรับญาติผู้พี่ที่ทั้งหนุ่มแน่นและรูปงาม ตำแหน่งอำนาจสูงส่งผู้นี้ เพราะเป็นญาติกับจวนกั๋วกง เถียนอิ๋งจึงได้พบเขาอยู่หลายครา หากได้พบกับบุรุษเช่นนี้แล้วสตรีใดมิหวั่นไหวขึ้นมาแม้แต่สักนิด นั้นย่อมเป็นคำโกหกแน่นอน
ทว่าเถียนอิ๋งเป็นอ่อนไหวทั้งคิดมาก ตั้งแต่ที่ตระกูลนางได้รับโทษ หากเห็นสาวใช้ทั้งหลายจับกลุ่มซุบซิบกันนางก็จะสงสัยทันทีว่าพวกสาวใช้กำลังเยาะหยันตน ยิ่งมิต้องพูดถึงการที่ถูกเพศตรงข้ามที่นางเคยมีความรู้สึกดีๆ ด้วยเอ่ยตำหนิ ความรู้สึกหวั่นไหวนั้นจึงถูกแทนที่ด้วยความโมโหแค้นเคือง สายตาที่มองหลัวเทียนเฉิงจึงมีความแค้นผสมอยู่หลายส่วน
หลัวเทียนเฉิงร้อนใจในความปลอดภัยของเจินเมี่ยว ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจ เมื่อได้ยินเถียนอิ๋งเอ่ยถามก็เพียงแค่นเสียงเย็นคราหนึ่งแล้วก็เดินผ่านนางไปเลย
เมื่อถึงมองข้ามอย่างที่สุดเช่นนี้ เถียนอิ๋งก็มือสั่นขึ้นมาทันทีจึงไปร้องไห้เอ่ยฟ้องกับนางเถียนโดยไม่สนคำทัดทานของเถียนเสวี่ย
“ท่านอา ต่างก็กล่าวกันว่าจวนกั๋วกงเป็นผู้มีน้ำใจรักใครญาติมิตร ยามตระกูลเถียนลำบากก็เข้ามาช่วยเหลือ แต่คิดไม่ถึงว่าญาติผู้พี่จะดูถูกข้ากับเถียนเสวี่ยเช่นนี้ หากรู้แต่แรกหลานคงยอมอยู่กับท่านย่าและท่านแม่ แม้ต้องกินแค่น้ำต้มผักก็ยังดีเสียกว่า”
นางพูดพลางน้ำตาร่วงหล่นอยู่เงียบๆ เพื่อรอให้นางเถียนไปเอาคืนให้ตน
นางเถียนฟังแล้วกลับถอนหายใจ “ญาติผู้พี่ของเจ้ามีตำแหน่งใหญ่โตตั้งแต่เยาว์วัย จึงออกจะมีอุปนิสัยเถรตรงไปบ้าง”
เถียนอิ๋งแค่นยิ้มเย็น “ญาติผู้พี่กำพร้าตั้งแต่เล็ก ท่านอาเป็นคนเลี้ยงเขาจนเติบใหญ่ ย่อมไม่ต่างอันใดกับมารดา เขาดูแคลนพวกเราก็มิใช่เป็นการดูแคลนท่านอาด้วยหรอกหรือ เห็นชัดว่าเป็นคนใจดำยิ่ง!”
วาจานี้ทำเอานางเถียนอึ้งงันไปเลยทีเดียว
สุภาษิตนั้นพูดไว้ดียิ่ง บุญคุณที่ให้กำเนิดมิสู้บุญคุณที่เลี้ยงดู หากตอนที่พี่สะใภ้ใหญ่สิ้นไปแล้วนางมิได้มีความคิดเป็นอื่นกับต้าหลัง คอยเลี้ยงดูเขาด้วยดีมาจนถึงตอนนี้ เขาจะรักและเคารพนางดุจมารดาหรือไม่
หากเป็นเช่นนั้น ต่อให้ตระกูลมารดาต้องวิบัติลง หรือจะมีจิ้งจอกร้ายอย่างเหยียนเหนียงอีกสักกี่คน ท่านพี่จะยังมิให้เกียรตินางเช่นนี้อยู่หรือไม่
มิต้องพูดถึงงานเลี้ยงสังสรรค์ต่างๆ ในยามนี้เลย แม้แต่เทียบเชิญนางยังมิได้รับสักเทียบ
เมื่อนางเถียนคิดได้เช่นนี้ ในใจก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างแท้จริงอยู่หลายส่วน แต่นางก็รู้ว่ายากจะหันหลังกลับไปได้แล้ว
แม้นเถียนเสวี่ยจะเป็นคนเรียบร้อยเก็บวาจา แต่กลับฉลาดหลักแหลม เดิมทีนางก็ไม่อยากให้เถียนอิ๋งก่อเรื่องวุ่นวายอยู่แล้ว อย่าเพราะนางเป็นพี่สาวจึงขวางนางไม่ได้ แต่เมื่อเห็นเถียนอิ๋งยุยงนางเถียนในยามนี้แล้ว นางเถียนกลับเงียบไม่พูดจา นางก็คาดเดาได้ว่าท่านอากับญาติผู้พี่ท่านนั้นคงมิได้มีความสัมพันธ์ดั่ง ‘มารดาเมตตาบุตรกตัญญู’ อย่างที่คนภายนอกเข้าใจเป็นแน่ ประการที่หนึ่งคือนางไม่อยากล่วงเกินคุณชายผู้เป็นนายท่านที่แท้จริงของจวนกั๋วกง ประการที่สองคือไม่อยากให้ท่านอาที่รับพวกนางมาดูแลต้องลำบากใจ เถียนเสวี่ยจึงกระตุกแขนเสื้อเถียนอิ๋งพลางเอ่ยว่า “ข้าว่าญาติผู้พี่ดูมีเรื่องร้อนใจอยู่ ท่าทีลนลานยิ่ง ไหนเลยจะเป็นอย่างที่พี่ว่า”
นางจึงบังคับจูงมือเถียนอิ๋งเดินออกมา
นางเถียนเห็นเถียนเสวี่ยทั้งฉลาดและรู้ความก็รู้สึกเสียดายขึ้นมาที่ตระกูลมารดาตกต่ำไปเช่นนี้ มิฉะนั้นยกให้นางแต่งกับเจ้าสามคงเหมาะสมกันยิ่ง
เมื่อกลับถึงเรือนพักที่จัดไว้ให้สองพี่น้องอยู่ เถียนอิ๋งก็สะบัดมือเถียนเสวี่ยออกโดยแรง “เจ้าชอบเจ้าคนร้ายกาจนั้นใช่หรือไม่ ถึงได้ตัดบทข้าต่อหน้าท่านอาเช่นนั้น”
เถียนเสวี่ยแทบจะลมจับไปทันใด “พี่สาว ยามนี้เรามาอาศัยพึ่งพาผู้อื่นอยู่ หรือว่าผู้อื่นยังมิทันได้เหยียบย่ำข้าด้วยซ้ำ แต่ท่านก็เอาน้ำสกปรกมาสาดรดบนศีรษะข้าเสียก่อน?”
เถียนอิ๋งรู้ว่านางพูดจาเกินไป แต่ใจก็ยังคงโกรธกรุ่นอยู่จึงมิอาจยอมอ่อนข้อให้ได้
เถียนเสวี่ยแค่นยิ้มเย็น “หรือพี่สาวดูสถานะขอท่านอาในยามนี้ไม่ออก หากทุกอย่างเป็นตามที่ท่านอาแสดงให้เห็นเมื่อยามกลับไปเยี่ยมจวนจริงว่านางเป็นผู้ดูจัดการจวนเจิ้นกั๋วกง แล้วเหตุใดท่านอาเขยจึงมิให้เกียรตินางสักนิดทั้งที่อยู่ต่อหน้าเรา? แล้วตั้งแต่ที่อยู่มากหลายวันก็มิเคยเห็นท่านอาเขยมาหาท่านอาเลยสักครา ในเมื่อพวกเราได้รับการช่วยเหลือจากท่านอา แม้นมิอาจช่วยอันใดได้ก็อย่าไปสร้างความวุ่นวายให้ท่านอาเลย”
เถียนอิ๋งก็คิดว่าที่เถียนเสวี่ยพูดนั้นมีเหตุผลอยู่มาก แต่ก็เคืองที่นางมีฐานะเป็นน้องสาวแต่กลับมาสั่งสอนตนดุจเป็นผู้อาวุโสโดยไม่ไว้หน้านางสักนิด สุดท้ายหาทางลงให้ตนมิได้จึงเอ่ยย้อนประชดประชันนางไปหลายประโยค
ญาติพีน้องสองคนจึงแยกจากกันอย่างไม่ใคร่เบิกบานนัก ตั้งแต่นั้นก็พูดจากันน้อยลงแม้จะพักอยู่ในเรือนเดียวกันก็ตาม
ส่วนหลัวเทียนเฉิงก็คิดไปว่าแค่เดินออกจากประตูก็พบเข้ากับเรื่องอัปมงคลอย่างพี่น้องสกุลเถียนเสียแล้ว หรือจะเป็นการเตือนจากเบื้องบน เจี๋ยวเจี่ยวเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรืองั้นหรือ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ร้อนใจขึ้นมาจึงจูงมาออกไปเตรียมกระโดดขึ้น แต่ถูกปั้นซย่าขวางไว้อย่างเอาเป็นเอาตายเสียก่อน “ซื่อจื่อ แผลของท่านกำลังจะปริออกมาแล้ว ท่านมิอาจขี่ม้าขอรับ!”
“หลบไป!” หลัวเทียนเฉิงก็ร้อนใจมากเช่นกันจึงยกเท้าขึ้นถีบปั้นซย่าคราหนึ่ง
ปั้นซย่าล้มกลิ้งลงไปกับพื้นหลายตลบ แต่กลับกอดขาหลัวเทียนเฉิงแน่นไม่ยอมปล่อย
หลัวเทียนเฉิงกำลังคิดจะเตะเจ้าสุนัขหนังเหนียวนี้ให้กระเด็นออกไปก็ได้ยินเสียงหนึ่งลอยมาว่า “พวกท่านกำลังทำอันใดกันอยู่หรือ”
เขาหันกลับไปด้วยความตกใจระคนยินดี เป็นเจินเมี่ยวจริงๆ ด้วย นางยืนอยู่ไม่ไกลนักและกำลังมองมาด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
แต่พริบตาสีหน้าของเจินเมี่ยวก็เปลี่ยนไปทันที นางพุ่งเข้ามาพลางเอ่ยว่า “ท่านเป็นอันใดหรือ”
เมื่อเห็นเสื้อของเขาค่อยๆ ถูกยอมด้วยโลหิตสีแดง นางก็ตกใจเสียจนวิญญาณแทบหลุดลอย “ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไรกัน”
ครั้นเห็นเจินเมี่ยวมีท่าทีห่วงใยเขา หลัวเทียนเฉิงที่ใบหน้าซีดขาวอยู่นั้นกลับอดยิ้มออกมามิได้ เขายื่นมือไปจับจูงนาง “กลับเรือนก่อนค่อยว่ากันเถิด”
“ข้าว่าไปเชิญหมอมาตรวจดูอาการก่อนค่อยว่ากล่าวกัน!”
“ไม่ต้อง แค่แผลที่ทำเสร็จแล้วมันปริเท่านั้น พันแผลลใหม่ก็พอแล้ว”
เมื่อคนทั้งสองเข้าเรือนตน เจินเมี่ยวก็ให้สาวใช้ยกอ่างล้างหน้าและผ้าผืนนุ่มมาให้ นางเช็ดแผลและใส่ยาให้เขาเองกับมือ ทั้งยังพันแผลให้เขาเป็นโบสวยงาม ครั้นเสร็จแล้วจึงค่อยโล่งอกลงได้
นางเห็นเขาใบหน้าขาวซีดจึงสั่งให้ชิงเกอไปต้นโจ๊กพุทราแดงมาให้เขากิน
รอกระทั่งภายในห้องไม่มีใครแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงผ่อนคลายลงได้และเอ่ยอย่างรู้สึกเสียใจขึ้นมาหลายส่วน “กลับจวนมาไม่เห็นเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าเกิดเรื่องเสียแล้ว เหตุใดจึงเพิ่งกลับมายามนี้เล่า”
จากการคาดคะเนของเขา เจินเมี่ยวควรจะต้องกลับมาถึงก่อนเขาจึงจะถูก
“ข้าไปส่งฉงสี่เซี่ยนจู่กลับวังองค์หญิงก่อน”
หลัวเทียนเฉิงฟังแล้วถึงกับเม้มริมฝีปากแน่น “มิใช่กำชับเจ้าว่าเสร็จเรื่องแล้วให้กลับจวนทันทีหรอกหรือ เหตุใดจึงไปส่งฉงสี่เซี่ยนจู่กลับก่อนเล่า”
เจินเมี่ยวจึงอธิบายว่า “เดิมข้าเชิญฉงสี่เซี่ยนจู่กลับจวนมาด้วยกัน นางจึงนั่งรถม้ามากับข้า คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นข้างหน้า คนที่ท่านสั่งให้ไปคุ้มกันเราจึงพาเราออกมาจากที่นั่น ฉงสี่เซี่ยนจู่กลัวจั่งกงจู่จะเป็นห่วงจึงขอกลับไปก่อน แต่ข้าจะให้นางกลับไปเองได้อย่างไร จึงทำให้กลับจวนช้าไปสักหน่อย”
หลัวเทียนเฉิงยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่บ้าง
เจินเมี่ยวผลักแขนเขาเบาๆ คราหนึ่ง “เป็นอันใด ยังโกรธข้าอยู่หรือ”
“สรุปคือเจ้าก็มิได้ใส่ใจในคำพูดของข้าเลย หากรู้เช่นนี้ข้าคงมิอนุญาตให้เจ้าออกจากจวนแน่ แม้ว่าจะทำให้เจ้าโกรธก็ตาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากลับเรือนมาไม่เห็นเจ้า ใจข้ารู้สึกเช่นไร ตอนนั้นข้าเสียใจจนอยากจะเอามีดมากรีดใจตนด้วยซ้ำ!”
ทั้งที่รู้ว่าจะเกิดเรื่องแต่เพราะกลัวว่าหากขวางนางมิให้ไปแล้วนางจะโกรธเคืองตน สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยนางไป เขานี่มันโง่เหลือเกินจริงๆ
บนโลกนี้มักมีเรื่องคาดไม่ถึงเสมอ หากเจี๋ยวเจี่ยวเป็นอันใดขึ้นมา เขาจะเสียใจอย่างไรก็คงไม่ทันแล้ว
“ชูสยาแต่งออกไปแดนไกล ข้าจะไม่ไปได้อย่างไรกัน”
หลัวเทียนเฉิงได้แต่ถอนหายใจอยู่ในอก
ก็เพราะเหตุนี้เขาจึงมิได้บอกนางถึงเรื่องวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น อย่างไรเสียมันก็ต้องเกิด สตรีอ่อนแอผู้หนึ่งจะรู้เรื่องนี้หรือไม่ก็มิได้มีความแตกต่างอันใดนัก เช่นนี้มิสู้ให้นางไปส่งสหายสนิทอย่างไม่รู้อันใดดีกว่า อย่างน้อยก็มิต้องมากังวลกับเรื่องพวกนั้น
“ท่านควรจะบอกข้าสักคำ” เจินเมี่ยวประคองหลัวเทียนเฉิงให้นอนลง แล้วหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดหน้าผากให้เขา “หากฉงสี่มิได้นั่งรถม้าไปกับข้าแล้วเกิดเรื่องขึ้นกับนางจะทำฉันใดเล่า ท่านลุงรองของข้าก็อยู่ที่นั่นด้วย”
หากเกิดเรื่องอันน่าเสียใจอันใดขึ้นมา นางก็ไม่รู้ว่าควรจะมีความรู้สึกเช่นใดกับเขาดี
กว่าที่คนทั้งสองจะเดินมาถึงวันนี้ไม่ง่ายเลย ไม่ว่าจะเพื่อความปลอดภัยของสหายและญาติ หรือความรู้สึกของคนทั้งสอง นางล้วนไม่อยากกลายเป็นคนที่ถูกขังอยู่ในกลองไม่รู้รับรู้เรื่องราวใด
หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยอธิบายว่า “เป้าหมายของคนชั่วพวกนั้นคือองค์ชายทั้งหลาย ส่วนผู้อื่นที่อยู่ที่นั่นและบรรดาบ่าวไพร่ที่ติดตามไปก็อาจจะโดยลูกหลงบ้าง แต่ฉงสี่เซี่ยนจู่อยู่ในรถม้าไม่มีทางเป็นอันใดแน่นอน ส่วนที่ที่ลุงรองของเจ้าอยู่ก็มิได้รับผลกระทบอันใดนักหรอก”
เจินเมี่ยวถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยว่า “แม้ข้ารู้แล้วจะไม่เป็นประโยชน์อันใดนัก แต่ข้าย่อมมีการเตรียมพร้อมไว้ก่อน หากพบเจอเรื่องอันใดอย่างกะทันหันข้าก็จะได้รับมือได้ถูก เช่นเรื่องฉงสี่ ที่ข้าไปเชิญนางมาขึ้นรถม้าด้วยก็มิใช่เพราะเกิดอยากจะพานางมากินซาลาเปาด้วยกันที่จวนกั๋วกงเสียหน่อย”
หลัวเทียนเฉิงเงียบไปอยู่นานจึงเอ่ยขึ้นว่า “เป็นข้าเองที่คิดน้อยไป ต่อไปหากมีเรื่องใดเกี่ยวกับข้าหรือเจ้า ข้าก็จะบอกเจ้าก่อน”
“เช่นนั้นแผลนี้ของท่านมาได้อย่างไร เจ็บมากหรือไม่” เจินเมี่ยวมองบาดแผลเขาแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
แม้แต่เข็มปักมือยังเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบาดแผลที่ใหญ่ปานนี้ แค่นางคิดก็รู้สึกเจ็บแทนแล้ว ไม่ทราบว่าเขาไปเอาความอดทนมาจากที่ใดจึงไม่ร้องเลยสักแอะ
เพราะคำสัญญาที่ให้ไว้เมื่อครู่ หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยอย่างไม่ปิดบังนางว่า “รัชทายาทก่อกบฏแต่ถูกข้าจับตัวเอาไว้ได้ ข้าจึงได้บาดแผลนี้มา ฝ่าบาทมิอยากให้ผู้คนทราบเรื่องนี้ เกรงว่าหากตำแหน่งรัชทายาทสั่นคลอนจะทำให้แผ่นดินวุ่นวาย ดังนั้นเจ้าก็แค่ทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้แล้วกัน”
“เช่นนั้นมือสังหารที่ส่งมาในวันนี้ก็เป็นคนของรัชทายาทหรือ”
“อืม แต่นามเรียกขานนี้ เกรงว่าคงต้องย้ายตำแหน่งเสียแล้ว”
เวลานี้เองชิงเกอก็ได้ยกโจ๊กพุทรามาให้ คนทั้งสองจึงหยุดหัวสนทนากันถึงเรื่องนี้ไป
วันต่อมา เรื่องที่เกิดขึ้นนอกวังนั้นก็ได้แพร่ออกไปทำให้ราชสำนักและราษฎรต่างต้องตกใจ
เพราะเผ่าเย่ว์อี๋กับรัชทายาทที่ถูกปลดจากตำแหน่งในรัชสมัยก่อนร่วมมือกันหวังจะทำลายพิธีอภิเษกและลอบสังหารองค์ชาย
องค์ชายสามได้รับบาดเจ็บ องค์ชายหกเข้าไปรับธนูแทนองค์ชายห้าจึงได้รับบาดเจ็บเช่นกัน มีบ่าวไพร่และองครักษ์มากมายที่สละชีพ และยังมีขุนนางหลายคนที่ต้องตายไปในความวุ่นวายครั้งนี้ หนึ่งในนั้นมีคนผู้หนึ่งที่มีตำแหน่งสูงที่สุด นั้นคือซูหันรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งกรมขุนนาง และเป็นบิดาของไท่จื่อเฟยด้วย