วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 317 คลี่คลาย
มุมปากหลัวเทียนเฉิงเคลือบไปด้วยรอยยิ้ม แต่กลับจ้องมองรัชทายาทด้วยแววตาเย็นเยียบอย่างหาใดเปรียบ
เขาอยากจะพูดเหลือเกินว่าในที่สุดคนโง่ก็ฉลาดขึ้นมาเสียที
แต่เขาเชื่อว่าหากต้องเลือกจริงๆ เจาเฟิงตี้จะยอมทิ้งองค์หญิงฟังโหรวแล้วรักษาเขาไว้
กล่าวตามตรงคือโอรสสวรรค์นั้นสามารถคิดคำนวณทุกอย่างได้หมด เพียงแค่ว่ามันจะมีค่ามากพอหรือไม่เท่านั้นเอง เห็นชัดว่าความรักที่เจาเฟิงตี้มีต่อองค์หญิงนั้นเกรงว่าจะมิอาจเทียบเท่ากับแผ่นดินนี้ได้ แล้วเจาเฟิงตี้จะกล้าทำเรื่องที่ทำให้ขุนนางของตนต้องถอดใจจากตนหรือ
แต่คนเรามักชอบพาลพาโล เพื่อหาเหตุผลในการกระทำแย่ๆ ของตน หากองค์หญิงฟังโหรวต้องตายไปก็อาจจะกลายเป็นหนามที่คอยทิ่มแทงใจของเจาเฟิงตี้ไปตลอด วันหน้าหากคิดขึ้นมาได้ เขาจะไม่คิดว่าตนได้คำนวณถึงผลประโยชน์แล้วจึงเอ่ยปากละทิ้งบุตรสาวตน แต่จะกล่าวว่าเป็นความผิดของหลัวเทียนเฉิงไปตามจิตใต้สำนึกทันที
ยามที่จักรพรรดิและขุนนางมีประโยชน์ร่วมกันย่อมต้องไม่คิดถึงจุดนี้ แต่หากภายหน้ามีโอกาส หนามแหลมที่ซ่อนตัวอยู่นั้นก็จะผุดขึ้นมาทันที ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงมิอาจหนีพ้นไปได้
เหตุใดหลัวเทียนเฉิงต้องยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะรัชทายาทโง่เขลาผู้หนึ่งด้วยเล่า
ในขณะที่เจาเฟิงตี้ยังมิทันได้มีปฏิกิริยาใด เขาก็ระบายยิ้มอ่อนๆ ออกมาแล้วเอ่ยว่า “ได้”
เขาหันดาบยาวในมือตนเข้าหาตัว แล้วแทงเข้าไปที่ท้องน้อย
“อย่า…” เจาเฟิงตี้ตกใจจนลุกพรวดขึ้น
องค์หญิงฟังโหรวตกใจจนกรีดร้องออกมา
แม้รัชทายาทเองจะบอกให้เขาปลิดชีพตน แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำตามอย่างไม่ลังเลเลยสักนิดเช่นนี้
ตกใจ ยินดี ไม่อยากเชื่อความรู้สึกหลากหลายชนิดต่างประเดประดังเข้ามาทำให้เขาชะงักงันไปเล็กน้อย เขาคลายแรงกดของกริชที่จ่อคอองค์หญิงฟังโหรวอยู่ลงมาอย่างไม่รู้ตัว
หลัวเทียนเฉิงเจ็บจนต้องงอตัว
คนทั้งหลายต่างก็กำลังตกอยู่ในอาการตะลึงลาน
อย่างไรเสียหากเป็นองครักษ์ธรรมดาปลิดชีพตนผู้คนก็คงไม่ตะลึงลานเช่นนี้แน่ เพราะมิได้เป็นบุคคลสำคัญอันใด แต่บุคคลตรงหน้านี้คือคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงทั้งยังเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการหน่อยองครักษ์จิ่นหลินที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วหล้า!
ก็เปรียบกับการเห็นขอทานวิ่งไล่แย่งของกินจากสุนัขบ้ากับรัชทายาทแย่งของกินกับสุนัขบ้านั้นแล มันย่อมให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างยิ่งแน่นอน
หากเป็นอย่างแรกผู้คนอาจจะรู้สึกว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง แต่หากเป็นอย่างหลังคงได้พูดกันแน่ว่ารัชทายาทถูกสุนัขบ้ากัดจนเสียสติไปแล้ว
คล้ายว่าเวลาทุกอย่างได้หยุดนิ่งลงกระนั้น มิใช่เพราะความเงียบแต่เป็นเพราะอาการตกตะลึงอึ้งงันอย่างที่สุดนั้นได้หยุดความคิดของทุกคนไปชั่วขณะ
มีเพียงบุรุษที่ร่างกายย้อมไปด้วยโลหิตผู้ที่คุดคู้อยู่ผู้นั้นที่อาศัยจังหวะนี้ใช้มือข้างซ้ายที่ว่างอยู่นั้นล้วงเอากริชสั้นออกมาจากรองเท้าแล้วขว้างออกไป
กริชสั้นนั้นวาดตัวเป็นเส้นโค้งอยู่ในอากาศ แสงสีเงินอันเยียบเย็นนั้นทำให้คนรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
หลังจากนั้นรัชทายาทก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อมือ มือข้างที่ถือกริชอยู่นั้นก็คลายออกตามสัญชาตญาณ กริชร่วงหล่นลงพื้นและตกใส่หลังเท้าขององค์หญิงฟังโหรวเข้าพอดี
องค์หญิงฟังโหรวร้องโหยหวนขึ้นมาเสียงหนึ่งแล้วล้มคว่ำลงไปทำให้ร่างของรัชทายาทที่อยู่ด้านหลังไร้สิ่งกำบัง
หลัวเทียนเฉิงพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขาใช้มือข้าหนึ่งรับองค์หญิงฟังโหรวไว้แล้วส่งให้คนของตน และมิได้หยุดการเคลื่อนไหวแต่เพียงเท่านั้น เขายังใช้ดาบเล่มยาวที่ยังคงอาบโลหิตสดของตนอยู่นั้นจ่อเข้าไปที่ลำคอของรัชทายาท
กลุ่มคนที่ติดตามรัชทายาทมาจึงมิกล้าขยับอีก
เพราะเคลื่อนไหวรวดเร็วและรุนแรงจนเกินไปทำให้โลหิตสดนั้นไหลออกมาจากท้องของหลัวเทียนเฉิงไม่หยุด แต่เขากลับไม่มีเวลาใส่ใจมัน เขาจับตัวรัชทายาทไว้แล้วส่งให้องครักษ์อีกสองคนคุมตัวไว้จึงนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “หม่อมฉันทำให้รัชทายาทต้องบาดเจ็บ ขอฝ่าบาททรงลงอาญาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ในเวลาอันสั้นนี้ เจาเฟิงตี้กลับได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างมากที่สุดแล้ว เขาเอ่ยด้วยโทสะและใบหน้าเฉยชาว่า “รัชทายาทที่ใดกัน!”
พูดพลางเข้าไปประคองเข้าลุกขึ้นด้วยตนเอง “ขุนนางหลัวมีความผิดที่ใดกันเล่า รีบลุกขึ้นเถิด พวกเจ้ารีบไปเชิญหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!”
รัชทายาทได้ยินคำนั้นก็ลืมแม้กระทั่งความเจ็บปวดที่ข้อมือตน เขาได้แต่ยืนเหม่ออยู่ตรงนั้นแล้วเอ่ยพึมพำกับตน ต่อมาจึงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “รัชทายาทที่ใดกัน ฮ่าๆๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเสด็จพ่อได้ปลดตำแหน่งรัชทายาทของข้าไปนานแล้ว คงได้แต่แค้นใจที่ตนลงมือช้าไปก้าวหนึ่งเท่านั้น!”
“เจ้าโง่!” เจาเฟิงตี้เดินเข้าไปแล้วเตะรัชทายาทล้มคว่ำไปกับพื้น “เอาเขาไปขังไว้!”
“เสด็จพ่อๆ ท่านจะต้องเสียใจ ข้าต่างหากที่เป็นบุตรชายที่ดีที่สุดของท่าน เป็นรัชทายาทที่ถูกต้อง!”
การดิ้นรนและเสียงร้องอันโหยหวนของรัชทายาทค่อยๆ หายไป หมอหลวงหลายคนต่างเดินตามกันมาอย่างเร่งร้อน
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
เจาเฟิงตี้สะบัดแขนเสื้อตนทันที “พูดพร่ำอันใด รีบเข้าไปดูอาการใต้เท้าหลัวกับองค์หญิงฟังโหรวเร็วเข้า!”
องค์หญิงฟังโหรวกำลังร้องไห้เสียงดังด้วยความเจ็บปวด หมอหลวงผู้หนึ่งเดินไปดูกลับเห็นกริชเล่มหนึ่งยังคงปักอยู่บนหลังเท้านาง
หมอหลวงผู้นั้นถึงกับหน้าถอดสี สองมือสั่นระริกไม่ยอมหยุด
อาการบาดเจ็บเช่นนี้ไม่น่ากลัว แต่การที่บาดแผลเช่นนี้เกิดขึ้นในวังต่างหากที่น่ากลัว หรือว่ามีมือสังหารปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว
ส่วนด้านหลัวเทียนเฉิงนั้นหมอหลวงสองคนก็ตรวจอาการเสร็จแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“ทูลฝ่าบาท ใต้เท้าหลัวมิได้บาดเจ็บสาหัสอันใด เพียงแค่เคลื่อนไหวตัวแรงไปหน่อยจึงทำให้แผลปริและโลหิตไหลออกมามาก…”
“รีบรักษาเร็วเข้า หากใต้เท้าหลัวเป็นอันใดไป พวกเจ้าก็มิต้องเป็นแล้วหมอหลวง”
หมอหลวงหลายคนต่างตัวสั่นงันงกแล้วรีบรับคำทันที
“เสด็จพ่อ…” องค์หญิงฟังโหลวเห็นกริชที่ปักบนเท้าตนส่องแสงวิบวับก็เกิดกลัวขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว
เจาเฟิงตี้เริ่มมีสติคืนมาหลายส่วนแล้วจึงเอ่ยปลอบใจว่า “ฟังโหรวไม่ต้องกลัว ประเดี๋ยวหมอหลวงทำแผลให้ก็หายแล้ว เจ้าดูใต้เท้าหลัวเถิด โลหิตไหลมากมายเพียงนั้นยังไม่ร้องสักแอะ”
เวลานี้เจาเฟิงตี้รู้สึกยินดีอยู่ลึกๆ
หากเขาตัดสินใจพูดออกไป ยามนี้คงไม่รู้จะเผชิญหน้ากับบุตรสาวอย่างไรแล้ว
เมื่อคิดถึงการตัดสินใจอันเด็ดขาดของหลัวเทียนเฉิง เจาเฟิงตี้ก็ยิ่งรู้สึกพอใจในตัวเขามากยิ่งขึ้น
“ขันทีไปเอารังนกโลหิตชั้นดีที่เทียนหลัวกั๋วนำมาบรรณาการมาตุ๋นให้ใต้เท้าหลัวสองจิน”
รังนกโลหิตเป็นของล้ำค่าหาใดเปรียบ ส่วนรังนกโลหิตชั้นดียิ่งหายากยิ่งกว่าซึ่งมีแหล่งกำเนิดอยู่ที่ดินแดนเทียนหลัวกั๋ว ทุกปีจะถวายมาให้สิบจิน ไท่โฮ่วมีสามจิน หวงโฮ่วมีสองจิน ส่วนที่เหลือยังคงอยู่กับเจาเฟิงตี้ หากมีสนมคนใดที่ได้รับความโปรดปรานก็อาจพระราชทานให้สักเล็กสักน้อยเท่านั้น
ยามนี้เจาเฟิงตี้กลับออกปากว่าจะให้หลัวเทียนเฉิงถึงสองจิน เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญกับเขาเพียงใด
ในขณะที่หมอหลวงหลายคนกำลังตกตะลึงจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก เจาเฟิงตี้ก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “ใต้เท้าหลัวจะพักรักษาตัวอยู่ในวัง พวกเจ้าจะต้องคอยดูแลอย่างดี”
ครานี้คนทั้งหลายไม่เพียงแต่ตะลึงลานแต่กระทั่งสงสัยว่าตนหูฝาดไป
ควรต้องทราบว่าหากขุนนางนอกวังใดได้รับบาดเจ็บแล้วให้พักรักษาตัวอยู่ในวังนั้นย่อมแสดงว่าทรงโปรดปรานอย่างมากเหลือเกินแล้ว!
เวลานี้องค์หญิงฟังโหรวก็ได้ทำแผลที่เท้าเสร็จแล้ว ขณะที่กำลังถูกขันทีพาออกมาจากห้องทำแผลชั่วคราวก็ได้ยินว่าหลัวเทียนเฉิงจะพักรักษาตัวอยู่ในวังชั่วคราว ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา จึงเอ่ยออกมาว่า “ดีเหลือเกิน เสด็จพ่อ เช่นนั้นลูกก็มีเพื่อนแล้ว”
เจาเฟิงตี้และหลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกัน
“ฟังโหรว เจ้าก็อายุสิบสองแล้ว เหตุใดจึงได้เอ่ยวาจาไร้หูรูดเช่นเด็กน้อยเยี่ยงนี้!”
องค์หญิงฟังโหรวรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง
นางยังคิดจะเอ่ยว่าก่อนหน้านี้ใต้เท้าหลัวก็ยังเคยเป็นเพื่อนเล่นกับนาง ยามนี้ทั้งสองต่างก็บาดเจ็บ เหตุใดจึงมิอาจอยู่เป็นเพื่อนกันได้เล่า
นางมองไปที่หลัวเทียนเฉิงอย่างคนมิได้รับความเป็นธรรม
หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วแต่มิได้หันมององค์หญิงฟังโหรว นางจึงเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างที่งดงามดุจคมดาบนั้นของเขา
เพราะเขาเสียเลือดมากเกินไปทำให้ใบหน้าไร้สีคล้ายหยกเย็นก็มิปาน มันยิ่งทำให้เขาดูหล่อเหลาโดดเด่นกว่าใคร
ไม่ทราบด้วยเหตุใด องค์หญิงฟังโหรวจึงหน้าเห่อร้อนขึ้นมาทำให้มิสามารถเอ่ยวาจานั้นออกมาได้
ใจของนางเกิดอาการชาวาบขึ้นมา คล้ายมีความเจ็บชนิดหนึ่งที่มิอาจบรรยายได้เกิดขึ้น ทั้งยังมีความหวานปนอยู่ด้วย กระทั่งบาดแผลที่เท้าก็มิได้เจ็บปวดถึงเพียงนั้นแล้ว
องค์หญิงฟังโหรวที่อายุสิบสองเอาแต่เหม่อมองใบหน้าด้านข้างของหลัวเทียนเฉิง ทั้งคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเข้าใจความรู้สึกของตนขึ้นมาบ้างแล้ว
แม้หลัวเทียนเฉิงจะเสียเลือกมาก แต่ความจริงแล้วบาดแผลมิได้ลึกอันใด ทั้งมิใช่บริเวณที่ยากต่อการรักษา ไม่นานก็ทำแผลเสร็จ เขาจึงรีบเอ่ยว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เมตตา กระหม่อมอยู่ในวังคงไม่สะดวกนัก กลับไปพักรักษาตัวที่จวนคงจะดีกว่า วันนี้ภรรยากระหม่อมไปส่งองค์หญิงชูสยาด้วย หากนางกลับจวนแล้วไม่พบกระหม่อม นางคงเป็นห่วงยิ่ง”
หลังจากส่งขบวนเสด็จของชูสยาจวิ้นจู่แล้วอาจจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นมาก็ได้ จักรพรรดิและขุนนางต่างทราบกันดีแก่ใจ เมื่อได้ยินหลัวเทียนเฉิงเอ่ยเช่นนี้ เจาเฟิงตี้ก็มิได้บังคับให้เขาอยู่อีก ทั้งเริ่มกังวลใจในเหตุการณ์ข้างนอกนั้นด้วย
หลัวเทียนเฉิงเองก็มิอาจสงบใจได้เช่นกัน
แม้จะบอกว่าเขาได้เตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้วเพื่อความปลอดภัยของเจี๋ยวเจี่ยว แต่บนโลกนี้ยังมีอีกวาจาหนึ่งที่เรียกกล่าวว่ามิกลัว ‘ว่าหาก’ แต่กลัว ‘หากว่า’ หากว่ามีความผิดพลาดใดเกิดขึ้นเล่า
เวลานี้หลัวเทียนเฉิงจึงรู้ตัวว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นมินับเป็นเรื่องสำคัญอันใด มีเพียงความปลอดภัยของคนผู้นั้นคนเดียวที่ทำให้เขาเข้าใจคำว่าร้อนใจดุจไฟเผาและความกลัวที่จะต้องสูญเสีย
เขามิอาจอยู่ที่นี่ได้แม้แต่หนึ่งเค่อ มีเพียงการได้เห็นเจี๋ยวเจี่ยวเท่านั้นที่จะทำให้ใจดวงนี้ของเขาสงบลงได้
เจาเฟิงตี้รับสั่งให้คนหามเกี้ยวอ่อนไปส่งหลัวเทียนเฉิงโดยเฉพาะ เมื่อเข้าประตูวังมา แม้แต่องค์ชายก็ยังต้องเดินเข้ามา การได้นั่งเกี้ยวอ่อนออกไปนั้นจึงเป็นเกียรติอย่างมากยิ่งโดยมิต้องสงสัยเลย
แต่เรื่องที่รัชทายาทก่อกบฏนั้นถูกเก็บเป็นความลับจึงไม่มีผู้ใดทราบได้ว่าผู้ที่อยู่ในเกี้ยวนั้นคือใคร
รถม้าคันหนึ่งที่ดูเรียบง่ายแต่มิสูญเสียความงดงามประณีตนั้นทะยานไปบนถนนอย่างรวดเร็ว เจินเมี่ยวมองหน้ากันกับฉงสี่เซี่ยนจู่
ผ่านไปนานเจินเมี่ยวจึงเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ฉงสี่ ท่านไม่ต้องกลัวนะ อีกประเดี๋ยวก็ถึงจวนกั๋วกงแล้ว”
ดูท่าหลัวเทียนเฉิงจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าวันนี้จะเกิดเรื่องขึ้น เมื่อคิดได้เช่นนี้นากก็อดรู้สึกแค้นเคืองขึ้นมาหลายส่วนมิได้ แต่ครั้นมาคิดดูอีกทีบุรุษในยุคสมัยนี้ก็ไม่มีทางพูดเรื่องข้างนอกจวนกับสตรีอยู่แล้วจึงได้แต่จนใจเท่านั้น
ที่สำคัญคือนางห่วงความปลอดภัยของท่านลุงรองของนางยิ่ง แต่เมื่อคิดว่าเขาอยู่กับเหล่าขุนนางใหญ่ ยังอยู่ห่างจากความวุ่นวายนี้อีกไกล จิตใจก็สงบขึ้นมาหลายส่วน
บางทีนี่ก็อาจจะอยู่ในการคาดคะเนของเขาด้วยก็ได้
เวลานี้เจินเมี่ยวอยากจะเจอหลัวเทียนเฉิงที่สุด จะได้ถามว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ กระทั่งความคิดที่จะทำซาลาเปาไส้น้ำแกงแตงกวาก็หมดไปทันที
ฉงสี่เซี่ยนจู่เห็นนางเหม่อลอยไร้วิญญาณก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้ากลับรู้สึกยินดียิ่งที่วันนี้พระมารดามิได้มาส่งด้วย”
เจาอวิ๋นจั่งกงจู่เป็นผู้อาวุโส วันนี้มิได้มาร่วมก็ย่อมต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่
ทว่าเมื่อได้ยินฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ยเช่นนี้ขึ้น เจินเมี่ยวก็พลันฉุกคิดขึ้นมา
แต่ก่อนนางคิดว่าเจาอวิ๋นจั่งกงจู่มีบางอย่างที่แปลกอยู่บ้างแต่ก็บอกไม่ถูกว่าตรงใด แต่ยามนี้มาคิดแล้วก็รู้สึกประหลาดยิ่ง
เจาอวิ๋นจั่งกงจู่กับเจาเฟิงตี้และหย่งอ๋องเป็นพี่น้องมารดาเดียวกัน เป็นองค์หญิงเพียงคนเดียวของไท่โฮ่ว แต่นอกจากงานสำคัญที่มิอาจขาดได้แล้วนั้นก็คล้ายจะมิเข้าวังเลยด้วยซ้ำ
หากอยู่ที่อื่นก็ยังพอทำเนา แต่วังของจั่งกงจู่ทำเลดียิ่ง อยู่ใกล้กับวังหลวงมากเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้มีเกียรติศักดิ์มากเพียงใด ผู้ที่อยู่ในวังก็เป็นพี่ชายและมารดาแท้ๆ ของตน แม้จะมีฐานะเป็นหม้ายแต่ก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกอยู่ดี
เจินเมี่ยวคิดว่าหากเป็นนางล่ะก็ อย่าว่าแต่งเทศกาลวันตรุษเลย แม้เป็นยามปกตินางก็คงจะเข้าไปเยี่ยมมารดาอยู่บ่อยครั้งเป็นแน่
“เกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ ข้าคงไม่ไปจวนกั๋วกงแล้ว หากท่านแม่ทราบข่าวแล้วไม่เห็นข้ากลับไปคงเป็นกังวลแน่”
เจินเมี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงพยักหน้า “ได้ เข้าจะไปส่งท่านกลับวังก่อน คราหน้าค่อยส่งเทียบไปเชิญท่านมาเล่นที่จวน”
คนทั้งสองตกลงกันเรียบร้อยแล้ว รถม้าจึงเลี้ยวไปส่งฉงสี่เซี่ยนจู่ที่วังก่อนค่อยกลับไปยังจวนกั๋วกง
หลัวเทียนเฉิงมาถึงจวนก่อนเมื่อพบว่าเจินเมี่ยวยังไม่กลับมาก็ใจหายวาบขึ้นมาทันที