นางเถียนกระอักโลหิตออกมาครานี้กลับมิกล้าเอาแต่นอนอยู่บนเตียงตามใจตนอีกแล้ว นางรู้ว่าขอร้องนายท่านสองสกุลหลัวไปก็เปล่าประโยชน์จึงไปคุกเข่าต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า
“ฮูหยินผู้เฒ่า ขอท่านโปรดอนุญาตให้ข้ากลับตระกูลมารดา ให้ข้าได้ช่วยเหลือบิดามารดาและญาติพี่น้องเป็นครั้งสุดท้ายเถิดเจ้าค่ะ”
นายท่านรองสกุลหลัวที่ตามมาในทันทีจึงเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าไปฟังสตรีจัญไรนี้กล่าวเหลวไหลเลย ตระกูลเถียนมีความผิดต้องได้รับโทษ ยามนี้หากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยคงต้องพาจวนกั๋วกงของเราไปลำบากด้วยแน่!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าขรึมขึ้นมาทันที ความผิดหวังอันยากจะปิดบังนั้นปรากฏขึ้นในดวงตา “เจ้ารอง นี่เป็นวาจาที่เจ้าควรเอ่ยออกมาหรือ นางเถียนเป็นสะใภ้ตระกูลหลัว นางเป็นบุตรสาวของตระกูลเถียน ไม่ว่านางจะไม่หรือไม่ก็มิอาจลบล้างความสัมพันธ์นี้ไปได้ หากไม่ไปสนใจไถ่ถามเลยต่างหากจึงจะทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะหยันว่าจวนเจิ้นกั๋วกงของเราช่างแล้งน้ำใจนัก!”
นายท่านรองสกุลหลัวถึงกับพูดอันใดไม่ออก
ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “นางเถียนเจ้าไปเถิด”
นางเอ่ยพลางหันไปหาเจินเมี่ยว “หลานสะใภ้ไปเบิกเงินจากส่วนกลางมาให้อาสะใภ้รองของเจ้าหนึ่งพันตำลึง”
เจินเมี่ยวกลับตอบรับคำโดยไม่แม้แต่จะลังเลสักเล็กน้อย
เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับเรือน นางก็ไปหาหลัวเทียนเฉิงที่ห้องตำรา
หลายวันมานี้หลัวเทียนเฉิงเอาแต่ปิดประตูอยู่ภายในเรือน คนทั้งสองได้อยู่ร่วมกันทุกเช้าค่ำ ความผิดใจที่เกิดขึ้นจากหย่วนซานจึงค่อยๆ สลายหายไป
แน่นอนว่าทุกคราที่คิดว่าหย่วนซานกำลังบำเพ็ญตนอยู่ที่อารามในจวน เจินเมี่ยวก็รู้สึกขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย แต่นางก็รู้ดีว่ามิควรทำอันใดให้เกินกว่าเหตุไป เพราะหากเอ่ยกันตามจริงแล้วหย่วนซานก็เป็นคนที่น่าสงสารและน่าเห็นใจผู้หนึ่ง จึงได้แต่หวังว่านางจะกลับใจเปลี่ยนความคิดแล้วหาความสุขที่เป็นของตนเสียที เช่นนั้นจึงเป็นเรื่องน่ายินดีของทุกคน
หลัวเทียนเฉิงกำลังยกตำราเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านด้วยท่าทีผ่อนคลาย ดูไม่ออกเลยว่าเขากำลังอยู่ในช่วงถูกลงโทษ
เมื่อเห็นเจินเมี่ยวมาเขาก็วางตำราลงข้างตัว “เหตุใดจึงมาเวลานี้เล่า”
อาจเพราะคิดอันใดได้มากขึ้นแล้วทำให้เขาดูเป็นดั่งมีดล้ำค่าที่รู้จักเก็บคมเอาไว้ ความร้ายกาจนั้นลดน้อยลงไปส่วนหนึ่งแต่เพิ่มความอ่อนโยนขึ้นมาอีกส่วนหนึ่งแทน
โดยเฉพาะท่าทียกตำราขึ้นอ่านอย่างสุภาพชนนั้นช่างดูงดงามราวกับหยก ทำให้เจินเมี่ยวอดมองเขาอยู่หลายครามิได้ นางถึงกับสงสัยว่าตนเปิดประตูมาผิดที่หรือไร
“เหตุใดจึงมิพูดเล่า” หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นเดินเข้าไปหา เขาใช้มือใหญ่ของตนกุมมือนางไว้แล้วจูงเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ไม้แดงริมหน้าต่าง
เจินเมี่ยวร่างกายเย็นอยู่แล้ว แม้จะกินยาปรับสมดุลมาตลอดแต่มือก็ยังเย็นกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง เมื่อกุมมาไว้มือก็คล้ายหยกงามชั้นดีชิ้นหนึ่งก็มิปาน
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เหตุใดจึงมิใส่ให้หนาหน่อยเล่า”
“ข้าใส่หนากว่าผู้อื่นแล้ว”
ยามนี้เป็นปลายวสันต์แล้ว สตรีที่ชมชอบแต่งกายก็เปลี่ยนไปใส่กระโปรงแบบบางเบานานแล้ว มีเพียงเจินเมี่ยวที่ยังคงใส่กระโปรงที่หนาเช่นนี้อย่างว่าง่าย แต่เพราะนางรูปร่างบอบบางจึงมิได้ดูอวบอ้วนอันใด แต่กลับดูอรชรอ้อนแอ้นเป็นพิเศษ
“ห้องตำราข้าออกจะเย็นไปสักหน่อย” หลัวเทียนเฉิงหยิบผ้าห่มผืนบางคลุมเข่าให้เจินเมี่ยว “มีอันใด มาหาข้ามีเรื่องใดหรือ”
“ไม่มีอันใด แค่คิดว่าช่วงไม่กี่วันมานี่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมากมายจึงรู้สึกไม่สบายใจเท่าใดนัก” นางเอ่ยพลางมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่ง เมื่อเห็นท่าทีเรียบนิ่งของเขาจึงเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาทคงมิได้ตำหนิท่านจริงๆ กระมัง”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มพลางส่ายหน้า “คงไม่ดอก มิเห็นหรือว่าทรงแค่ลงโทษให้ข้ากักบริเวณอยู่แต่ภายในจวนเป็นเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น”
รัชทายาทลงมือกระทำเรื่องต่างๆ ไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ เดือนนี้เขาย่อมต้องหายหน้าไปจากทุกคนจึงเป็นการดี ทั้งยังสามารถปิดปากอารองและอาสะใภ้รองได้ มีแต่จะเบิกบานใจเสียมากกว่า
เจินเมี่ยวจึงค่อยๆ วางใจลงได้
นางอยากถามว่าเรื่องของตระกูลเถียนนั้นเขาได้มีส่วนช่วยให้เรื่องทุกอย่างมันราบรื่นขึ้นหรือไม่ แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีก็มิได้ถามออกไป
มิต้องเอ่ยถึงความทุกข์ของเขาเมื่อชาติก่อนเลย แค่ในชาตินี้อารองและภรรยาก็คอยฉุดรั้งพวกเขาไว้ตลอดเวลา ต่อให้เขาลงมือรุนแรงสักหน่อยก็คงได้แต่บอกว่าพวกเขาดันเตะถูกแป้นเหล็กเองแล้ว
“เช่นนั้นข้ากลับก่อนแล้ว” นางลุกขึ้นจะเดินออกไปแต่ถูกหลัวเทียนเฉิงฉุดไว้เสียก่อน
“ปล่อยได้แล้ว” แม้คนทั้งสองจะคืนดีกันแล้ว แต่ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงติดตาอยู่ ในระยะเวลาสั้นๆ นี้เจินเมี่ยวจึงมิอาจยอมรับกับการใกล้ชิดที่เกินไปของเขาได้
นางคิดว่าหากหลัวเทียนเฉิงจูบนาง นางอาจจะอดถีบเขาไม่ได้ก็ได้
คิดไม่ถึงว่าหลัวเทียนเฉิงกลับปล่อยมืออย่างว่าง่ายยิ่ง เขาเอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “ปล่อยก็ปล่อย”
เมื่อเห็นเจินเมี่ยวเดินออกไปอย่างไม่แม้แต่จะเหลียวหลังมองก็รีบร้องออกไปว่า “ตอนกลางวันข้าจะไปกินข้าวด้วยนะ”
เจินเมี่ยวชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่ง แล้วจึงผลักประตูเปิดออกไป
หลัวเทียนเฉิงจ้องประตูไม้ที่ยังสั่นไปมาอยู่นั้นแล้วยิ้มออกมา
นางเถียนกลับไปที่ตระกูลเถียน นางกอดมารดาร่ำไห้เป็นการใหญ่
เพราะสมบัติของตระกูลถูกริบไปจนหมด ลูกหลานที่เป็นชายยังคงถูกขังอยู่ในเรือนจำอีกประเดี๋ยวก็จะต้องออกเดินทางแล้ว บ่าวไพร่ทั้งหลายต่างก็แตกกระจายไปคนละทิศทางนานแล้ว เหลือเพียงหลานชายสามคนที่อายุยังไม่ถึงสิบปี
“ท่านแม่ นี้เป็นตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึง ท่านเก็บไว้เถิด”
มารดานางตกใจยกใหญ่ “เจ้าเอาเงินมากมายออกมาเช่นนี้ หากสามีเจ้าไม่พอใจจะทำเช่นใดเล่า”
แม้ความผิดมิติดไปถึงตระกูลบุตรเขย แต่ก็มีไม่น้อยที่ตระกูลภรรยาเกิดเรื่องแล้วสามีขอหย่า
“ตั๋วเงินนี้ฮูหยินผู้เฒ่าให้ข้ามาเอง”
มารดานางเถียนอึ้งงันอยู่เป็นนานจึงเอ่ยอย่างทอดถอนใจออกมาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงช่างเป็นคนดีที่หายากนัก ข้าเคยบอกว่าเจ้าเป็นคนมีวาสนาคิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับเป็นตระกูลเราที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”
“ท่านแม่ คนในครอบครัวเดียวกันย่อมไม่พูดอันใดเช่นนี้ ท่านคิดจะทำอันใดต่อไปหรือ? ลูกคิดว่าเราควรขายเรือนหลังใหญ่นี้ไปเสียแล้วไปซื้อเรือนหลังเล็กๆ อยู่ เงินทองที่ได้มาก็เอาไว้ใช้จ่ายเมื่อจำเป็น ปล่อยที่นาทำเลดีให้เช่า แล้วซื้อร้านค้าสักสองแห่งเพื่อทำการค้าจะได้ไว้ใช้เลี้ยงตนต่อไปอีกแสนนาน”
“แม่ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่ยามนี้คนที่เหลืออยู่มีแต่คนแก่และเด็ก ทั้งยังมีแต่สตรี การจัดการเรื่องพวกนี้ไม่สะดวกจริงๆ ลูกรองหากเจ้ามีคนที่พอช่วยเหลือได้ก็คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
นางเถียนรับปากนางทันที
มารดาของนางจึงเอ่ยอีกว่า “หลานชายทั้งสามยังเล็ก ว่าไปแล้วต่อให้ตระกูลเราข้นแค้นเพียงใดก็จะต้องให้พวกเขาได้เล่าเรียน แต่หลานสาวทั้งสองของเจ้านั้นโตแล้ว กำลังอยู่ในช่วงพูดคุยหาคู่หมายพอดี แต่ตระกูลเรามาพบเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ เกรงว่าคงทำให้พวกนางต้องแต่งงานล่าช้าเสียแล้ว”
ยามนี้มีเพียงหลานสาวสองคนในตระกูลเถียนที่ยังมิออกเรือน ผู้หนึ่งคือเถียนอิ๋ง อีกผู้หนึ่งคือเถียนเสวี่ย ทั้งสองต่างอายุน้อยกว่าหลัวจื้อหยาอยู่สักหน่อย
เถียนอิ๋งนั้นช่างเถิด แต่สำหรับเถียนเสวี่ยนั้นนางเถียนออกจะชมชอบอยู่มาก นางเคยคิดจะให้เถียนเสวี่ยแต่งกับบุตรชายคนรองของตนด้วยซ้ำ
ส่วนบุตรชายคนโตนั้นเป็นทายาทของบ้าน หากแผนของพวกตนสำเร็จเขาก็จะได้เป็นผู้สืบทอดทันที ดังนั้นการแต่งงานของเขาจึงมิอาจกระทำแบบส่งๆ ได้
แม้นยามนี้สตรีในตระกูลเถียนจะมิได้ถูกขายไปเป็นทาส แต่หากจะให้เถียนเสวี่ยแต่งกับบุตรชายตน นางเถียนกลับไม่อยากทำเช่นนั้นแล้ว
แต่อย่างไรก็เป็นหลานสาวตน การจะให้ช่วยหาคู่ครองที่ดีให้นั้นนางก็ยินดีอยู่แล้ว
มารดานางเถียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ลูกรอง ตอนนี้ในเรือนเราวุ่นวายยิ่ง ทั้งยังมีคนพวกนี้มาคอยเฝ้าดู หากเกิดล่วงเกินพวกนางสองคนเข้าคงไม่ดีแน่ เช่นนั้นให้หลานสาวสองคนของเจ้าไปพักที่จวนเจิ้นกั๋วกงสักระยะหนึ่งก่อนได้หรือไม่”
“น้องรอง คงต้องฝากอนาคตของอิ๋งเจี่ยไว้กับเจ้าผู้เป็นอาแท้ๆ แล้ว” มารดาเถียนอิ๋งเอ่ยขอร้องขึ้น
มารดาของเถียนเสวี่ยก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอเช่นกัน นางคว้ามือของนางเถียนไว้แล้วเอ่ยว่า “พี่รอง ท่านแม่สามีพูดอยู่ตลอดว่าคนในตระกูลเรานั้นท่านเป็นผู้ได้ดีมีอนาคตที่สุด ครั้นเกิดเรื่องขึ้นก็เป็นท่านจริงๆ ที่เข้ามาคอยช่วยเหลือพยุงพวกเรา หากเทียบกับพี่น้องของบิดาที่กลายเป็นนักโทษเสริมทัพทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว การมีอาเช่นท่านนับเป็นวาสนาอย่างที่สุดของเสวี่ยเจี่ยแล้ว”
เมื่อเห็นความหวังของมารดากับการยกย่องของพี่สะใภ้และน้องสะใภ้ นางเถียนก็ได้แต่กลืนคำปฏิเสธที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากของตนลงท้องไป “เช่นนั้นข้าจะพาหลานสาวสองคนไปอยู่ด้วยสักระยะ รอให้เรื่องในตระกูลเราเรียบร้อยดีแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ในที่สุดมารดาของนางเถียนก็โล่งอกได้เสียที “ลูกรอง แม่รู้ว่าเจ้าไม่มีทางทิ้งเราไปไม่ไยดี”
สะใภ้ทั้งสองต่างมองตากันแล้วถอนหายใจโล่งอกออกมา
บุตรชายยังเล็ก หากภายหน้าสอบได้เป็นขุนนางย่อมดีที่สุด แต่หากได้จริงๆ ก็ยังสามารถช่วยสืบทอดดูแลกิจการได้ แต่ทั้งหมดนี้คงต้องมีคนคอยช่วยดูแล มิเช่นนั้นการทำการค้าในเมืองหลวงก็เป็นการยากยิ่ง
ถึงตอนนั้นนางเถียนก็อายุมากแล้ว อีกอย่างก็ห่างกันถึงหนึ่งรุ่น อย่างไรการที่พี่สาวแท้ๆ มีอนาคตที่ดีได้ก็ย่อมสามารถช่วยเหลือน้องชายตนได้
บุตรสาวทั้งสองล้วนอยู่ในวัยสะพรั่งจึงมิอาจขัดขวางอนาคตอันสดใสของพวกนางได้
นางเถียนกลับไปตระกูลมารดาครานี้ ได้มอบเงินให้พันหยวนยังพอว่าทั้งยังพาหลานสาวอีกสองคนกลับมาด้วยอีก
ในยุคสมัยนี้นั้นการบุตรสาวไปอยู่เรือนตาหรืออา น้า ชั่วระยะหนึ่งนั้นเป็นเรื่องปกติยิ่ง หากเป็นยามปกตินางเถียนพาหลานสาวมาอยู่ด้วยก็ย่อมมิเป็นอันใด แต่ยามนี้ตระกูลเถียนทำผิด นายท่านรองแค่เห็นคุณหนูน้อยสองคน ใบหน้าก็บึ้งตึงขึ้นมาทันที “ตัวซวย!”
เอ่ยคำนี้ออกมาแล้วก็สะบัดแขนเสื้อเดินมุ่งไปยังเรือนของเยียนเหนียงทันที
นางเถียนโกรธจนมือสั่นแต่กลับทำสิ่งใดไม่ได้
เถียนอิ๋งนั้นถูกเอาใจมาตั้งแต่เด็กทั้งยังเป็นคนอ่อนไหวง่ายอีกด้วย เมื่อเจอสถานการณ์อันไม่พอใจนางก็เอ่ยว่า “ท่านอา ในเมื่อสามีท่านรังเกียจข้ากับญาติผู้น้อง ท่านก็ส่งเรากลับเถิดเจ้าค่ะ”
เถียนเสวี่ยกลับสงวนท่าทีได้มากกว่า แม้นางจะหน้าแดงก่ำอย่างยิ่งแต่น้ำเสียงกลับยังคงดีอยู่ “ท่านอา ท่านย่าอายุมากแล้ว ตอนนี้สถานการณ์ในตระกูลก็กำลังวุ่นวาย ท่านแม่กับท่านป้าคงยุ่งมากเป็นแน่ ความจริงพวกเราไม่ควรมาที่นี่ เช่นนั้นท่านส่งพวกเรากลับไปก่อนก็ได้ รอให้สถานการณ์ดีขึ้นเราค่อยมาเยี่ยมท่านที่จวนอีกที”
นางเถียนถูกนายท่านรองหักหน้าเช่นนั้นยิ่งมิอาจส่งหลานสาวกลับไปได้เป็นการตบหน้าตนเองได้ นางดึงมือหลานทั้งสองมากุมไว้แล้วเอ่ยว่า “เด็กดี อย่าสนใจอาผู้นั้นของพวกเจ้าเลย ระยะนี้เขาอารมณ์มิใคร่สู้ดีนัก ข้าจะพาพวกเจ้าไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าก่อน”
นางเถียนพาเด็กสาวทั้งสองไปที่เรือนอี๋อาน ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้แสดงท่าทีรังเกียจอันใด ทั้งยังมอบกำไลทองให้คู่หนึ่ง ทั้งยังกำชับให้ดูแลพวกนางเหมือนกับหลัวจื้อหยาทุกประการ
ตั้งแต่นั้นมาเด็กสาวทั้งสองนั้นก็พักอาศัยอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงมาตลอด
หลัวเทียนเฉิงได้ฟังแล้วก็แค่นหัวเราะเสียงเย็นคราหนึ่ง
ในที่สุดอาสะใภ้รองก็ได้ลิ้มรสชาติการที่ญาติตนถูกส่งไปเป็นนักโทษเสริมทัพแล้ว แต่ยังมิต้องรีบร้อนไป นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
สำหรับคนแก่และสตรีอ่อนแอในตระกูลเถียนนั้นเขาก็มิได้คิดไปกระทำซ้ำเติมอันใดอีก ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตไปตามยถากรรมเถิด แต่ส่วนอื่นๆ นั้นเขาถือว่ามันยังไม่จบ!
พริบตาก็ล่วงเข้าสู่เดือนสี่แล้ว
บุปผาผลิบาน ต้นหลิวเขียวขจี แม้แต่คลื่นน้ำที่ต้องแสงแดดในทะเลสาบก็ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ กระจายออกมา
วันนี้เป็นวันดีที่หาได้ยากยิ่ง ทั้งยังเป็นวันอภิเษกสมรสขององค์หญิงชูสยาแห่งต้าโจวกับรัชทายาทแห่งหมานเหว่ย
ขบวนรับตัวเจ้าสาวนั้นคึกคักครื้นเครงยิ่ง ส่วนขบวนส่งตัวเจ้าสาวก็ยิ่งใหญ่เกรียงไกรยาวไปจนถึงสิบลี้
จักรพรรดิมิสะดวกเดินทาง ส่วนรัชทายาทก็กำลังรักษาอาการป่วยอยู่จึงมิได้มาร่วมงาน นอกนั้นองค์ชายหลายพระองค์ก็ต่างมากันทั้งสิ้น
เพราะองค์ชายสามได้เป็นตัวแทนเจาเฟิงตี้ในการเอ่ยคำอวยพร ทั้งยังเป็นตัวแทนปรึกษาหารือเรื่องการเดินทางขององค์หญิงกับทูตที่มารับตัวเจ้าสาวทำให้วันนี้ดูภาคภูมิสูงสง่าเป็นพิเศษ
เจินเมี่ยวกับฉงสี่เซี่ยนจื่นอยู่ข้างกันกำลังเอ่ยอำลากับชูสยาจวิ้นจู่อยู่
อาจเพราะจิ่งเกอเอาแต่พูดถึงท่านอาเจียหมิงให้เขาฟังอยู่ทุกวัน องค์ชายสามจึงเกิดความคิดว่าหากวันนั้นมาถึงเขาจะรับเจินเมี่ยวเข้ามาดูแลจิ่งเกออยู่ในวัง ถึงตอนนั้นนางก็เป็นผู้หญิงของเขาแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็อดที่จะมองมากขึ้นอีกสักหน่อยมิได้
เจินเมี่ยวสูงกว่าสตรีทั่วไปอยู่เล็กน้อย นางสวมกระโปรงยาวสีขาวปักลายกิ่งหลิวและใช้สายรัดเอวสีเหลืองอ่อนจึงยิ่งขับให้ดูเอวเล็กขายาว
องค์ชายสามพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ชูสยาจวิ้นจู่แต่งกายเต็มยศ ทับทิมแดงสีใสแวววาวเม็ดหนึ่งห้อยอยู่ตรงระหว่างคิ้วทำให้ดูงดงามยวนใจผู้คนมากเป็นพิเศษ
นางมองสหายสนิทสองคนแล้วของตาก็แดงก่ำขึ้น
MANGA DISCUSSION