วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 313 ความพินาศของตระกูลเถียน
“ในสายตาผู้อื่นการเลือกของนางอาจจะพิเศษอยู่สักหน่อย แต่สำหรับข้าแล้ว นางก็ไม่มีอันใดต่างจากฉุยซิงและจิ้งสุ่ย” หลัวเทียนเฉิงอยากจะยื่นมือออกไปจับมือเจินเมี่ยวแต่เพราะเขาเปียกโชกทั้งกายจึงมิได้กระทำเช่นนั้น
นัยน์ตาของเขาเปล่งประกาย น้ำเสียงแสนจริงใจ “เจี๋ยวเจี่ยว บนโลกนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่พิเศษสำหรับข้า ต่อไปจะไม่มีสาวใช้ทงฝังอีก มีแค่เราสองคนที่จะใช้ชีวิตไปด้วยกันอย่างมีความสุข ได้หรือไม่”
นิ่งเงียบอยู่นานเจินเมี่ยวจึงเอ่ยขึ้นว่า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ส่วนหย่วนซานเมื่อใดที่นางคิดได้แล้วก็ช่วยจัดการให้นางได้พบที่ทางที่ดีเถิด”
แม้ซื่อจื่อจะกล่าวเช่นนี้แต่นางก็ต้องทำลายความเป็นไปได้ใดๆ ก็ตามที่จะทำให้หย่วนซานกลายมาเป็นไฝติดตามกายเขา
อีกอย่างหย่วนซานเองก็มิได้ผิดอันใด นางเองก็มีจุดที่น่าสงสารเช่นกัน
“วางใจได้ หากภายหน้านางได้พบกับจิ้งสุ่ยและฉุยซิง ไม่แน่อาจเปลี่ยนใจก็ได้”
“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มอย่างมั่นใจแล้วเอ่ยว่า “เพราะคนที่ข้าเลือกให้จิ้งสุ่ยกับฉุยซิงนั้นเหมาะสมกับพวกนางยิ่ง คิดว่าหากมิใช่สุกรโง่ตัวหนึ่งก็ย่อมต้องเลือกมีชีวิตที่มีความสุขแน่ รอให้หย่วนซานเห็นพวกนางมีความสุขดีก็ย่อมต้องหวั่นไหวแน่”
“หากนางไม่หวั่นไหวเล่า”
เขาจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตหรือไม่
หลัวเทียนเฉิงยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “หากนางยังคงยืนยันที่จะออกบวช เช่นนั้นก็แสดงว่านางมีสติปัญญาดีและมีวาสนากับทางธรรมอย่างไรเล่า”
เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขาคราหนึ่ง “ท่านนี่ช่างเอาใจใส่ผู้อื่นดีเสียจริง”
หลัวเทียนเฉิงอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็ชะงักไป
“มีอันใดหรือ”
“หากข้าพูดไปก็กลัวเจ้าจะโกรธแล้วไม่สนใจข้าอีก”
“ท่านไม่พูด ข้ายิ่งจะโกรธ!”
หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว พวกนางสามคนติดตามข้ามานาน นอกจากหย่วนซานที่ใช้อุบายเช่นนั้นแล้ว อีกสองคนที่เหลือก็มิได้ทำความผิดอันใด ความจริงกล่าวไปแล้วก็เป็นข้าที่ผิดเอง หากข้ารู้ว่า…”
เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดไปคล้ายละอายที่จะเอ่ยต่อ
เจินเมี่ยวเพียงเหล่ตามองเขาเท่านั้น
หลัวเทียนเฉิงก็หูแดงขึ้นมา “หากรู้ว่าจะได้พบกับเจ้าทำให้ข้ามิอาจควบคุมตนได้ปานถูกมนต์ปีศาจเช่นนี้ ข้าคงไม่รับพวกนางมาเพื่อสร้างเวรกรรมนี้ให้ตนดอก ดังนั้นข้าจึงหวังว่าจะสามารถหาคนดีๆ ให้พวกนางได้ เจ้าเข้าใจข้าหรือไม่”
เจินเมี่ยวยื่นมือออกไปหยิกเข้าที่แขนเขาคราหนึ่ง “ท่านบอกว่าผู้ใดมีมนต์ปีศาจกัน”
หลัวเทียนเฉิงได้แต่ยิ้มขืนแล้วปล่อยให้นางหยิกต่อไป
เจินเมี่ยวถอนหายใจออกมาแล้วบอกว่า “ที่ท่านพูดมา ข้าเข้าใจทั้งสิ้น แต่ข้าก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ ทำอย่างไรดี”
“เช่นนั้นเจ้าจะด่าจะตีข้าอย่างไรก็ได้ ดีหรือไม่ หรือจะสาดน้ำล้างเท้าใส่ข้าอีกก็ได้?”
“ข้าไม่อยากล้างเท้าอีกแล้วเสียหน่อย” เจินเมี่ยวส่งเสียง ‘ฮึ’ ขึ้นคราหนึ่ง “ท่านรีบไปอาบน้ำเถิด แล้วกลับไปที่ห้องตำรา ข้าจะได้มิเห็นท่านแล้วอารมณ์เสียขึ้นมาอีก”
หลัวเทียนเฉิงรู้ดีว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อทุกอย่างก็นับว่าเป็นฟ้าหลังฝนแล้ว เขาจึงเผยยิ้มโง่งมออกไปแล้วไปอาบน้ำทันที
ผ่านไปอีกไม่กี่วัน ฎีกาฟ้องร้องหลัวเทียนเฉิงก็ถูกส่งไปถึงเจาเฟิงตี้
เขาเรียกให้หลัวเทียนเฉิงเข้าวังแล้วเอาฎีการายงานให้เขาดู
หลัวเทียนเฉิงกวาดตามองคราหนึ่งก็คุกเข่าคงข้างหนึ่งในทันใด “กระหม่อมมีความผิดขอฝ่าบาทโปรดลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
แม้เจาเฟิงตี้จะหน้าซีดขาวไปบ้างแต่กลับยังคงรักษาท่าทีอันคาดเดามิได้อยู่เช่นเดิม “ขุนนางหลัวมีความผิดอันใดหรือ การให้ที่ซ่อนตัวกับเผ่าเย่ว์อี๋ที่เขียนอยู่ในฎีกานั้นเป็นเรื่องของตระกูลเถียนอย่างเห็นได้ชัด เราว่าการดึงเจ้าเข้าไปเกี่ยวนั้นออกจะเขียนเกินเลยไปมากอยู่ ตู้เยี่ยนเซิงผู้นี้มิอาจแยกแยะผิดถูกได้ถึงเพียงนี้ ประเดี๋ยวข้าต้องตักเตือนเขาสักหน่อยแล้ว”
หลัวเทียนเฉิงคุกเข่าหลังตรงเอ่ยว่า “กระหม่อมละอายใจนัก ใต้เท้าตู้มิได้ผิดอันใดเลย กระหม่อมต่างหากที่เป็นถึงหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน มีอำนาจในการสืบและสอบสวนเรื่องต่างๆ แต่สุดท้ายตระกูลมารดาของอาสะใภ้ของกระหม่อมกลับให้ที่หลบซ่อนเผ่าเย่ว์อี๋ กระหม่อมผิดต่อพระเมตตาของพระองค์ หากไม่ลงโทษกระหม่อมคงไม่มีหน้าไปขุนนางทั้งหลายในราชสำนักแน่พ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์โปรดทรงยึดตำแหน่งหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินของหม่อมฉันไว้ชั่วคราวแล้วมอบเรื่องนี้ให้กับใต้ตู้สืบสวนต่อเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เจาเฟิงตี้นิ่งเงียบอยู่นานก็เรียกคนเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “ประกาศราชโองการออกไปว่าหลัวเทียนเฉิงหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินบกพร่องในหน้าที่จึงมิทราบเรื่องที่ตระกูลเถียนของอาสะใภ้ตนให้ที่ซ่อนแก่คนของเผ่าเย่ว์อี๋จึงให้งดทำหน้าที่นี้เป็นการชั่วคราวเพื่อตรวจสอบเรื่องราวให้ละเอียด ระหว่างนี้ให้เขากักตนสำนึกผิดในจวนเป็นเวลาหนึ่งเดือน”
ครั้นราชโองการนี้ถูกประกาศออกไปคนทั่วทั้งราชสำนักต่างก็ฮือฮายิ่ง
หลัวเทียนเฉิงเดินออกมาอย่างมิได้ใส่ใจกับสายตาที่แปลกไปเหล่านั้นเลย
เซียวอู่ซางกลับตามเขามา “หลัวซื่อจื่อ ที่แท้แล้วเกิดอันใดขึ้นกันแน่ มีอันใดให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่”
หลัวเทียนเฉิงพลันอุ่นใจขึ้นมา
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในเวลาที่ทุกคนต่างหลบเลี่ยงเขาจนแทบไม่ทันนั้นกลับมีคนผู้หนึ่งเข้ามาขวางเขาไว้ทั้งยังเอ่ยวาจาเช่นนี้อีก
ดูท่าแล้วความเอ็นดูที่องค์ชายหกมีให้เขาตลอดมานั้นก็อาจเพราะเหตุผลนี่เอง
เขามองเซียวอู๋ซางคราหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างมีเลศนัยว่า “ขอบใจมาก แต่หากสืบเรื่องไปจนถึงต้นตอได้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว”
เซียวอู๋ซางฟังแล้วรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง
เมื่อเขาพบองค์ชายหกก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ออกมา องค์ชายหกเพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามิต้องไปกังวลเรื่องนี้แล้ว หลัวซื่อจื่อย่อมรู้ดีว่าต้องทำเช่นใด”
นายท่านรองสกุลหลัวกลับเข้าจวนมาด้วยสีหน้าดำคล้ำ
นางเถียนยังคงตรวจดูรายการสินเดิมของหลัวจื้อหยาอยู่โดยไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในราชสำนัก
ใกล้จะถึงปลายวสันต์แล้ว แม้นทางเหนือจะหนาวแต่หิมะก็เริ่มละลายหมดแล้ว อีกไม่นานขบวนส่งตัวเจ้าสาวก็จะออกเดินทางแล้ว
นายท่านรองสกุลหลัวเตะประตูเข้ามาทันที
เมื่อได้ยินเสียงนางเถียนก็หันไปมอง นางวางบัญชีสินเดิมลงเสียงดังปึกแล้วยืนขึ้น
“ท่านมีเป็นอันใดอีกเล่า”
“หรือคนเรือนนั้นยั่วโทสะท่าน เป็นไปไม่ได้กระมัง?” นางทำบ้างบุ้ยใบ้ไปยังเรือนของเยียนเหนียง
เมื่อเห็นรอยยิ้มจอมปลอมของนาง นายท่านรองสกุลหลัวก็โกรธเกรี้ยวมากยิ่งขึ้นจนสูญเสียสติ สัมปชัญญะไปทันที
เขาจึงคว้ามือเข้าบีบคอนางเถียนแล้วเอ่ยเสียงดุดันว่า “สตรีจัญไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้าหลังถูกพักตำแหน่งชั่วคราว!”
ซี๊ด… นางเถียนเจ็บจนต้องซูดปาก นางพยายามดึงมือของนายท่านรองสกุลหลัวออก “ท่านรีบปล่อยมือก่อน ท่านพี่ ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรือไร ต้าหลังถูกพักตำแหน่งแล้วอย่างไรเล่า นั่นมิใช่เรื่องดีหรอกหรือ หากเขายิ่งมีหน้ามีตาก็ยิ่งไม่เห็นเราอยู่ในสายตามิใช่หรือ!”
ถุย! นายท่านรองสกุลหลัวถ่มน้ำลายใส่หน้านางเถียนแล้วเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดต้าหลังจึงถูกพักตำแหน่งชั่วคราว? ก็เป็นเพราะตระกูลมารดาเจ้าทำเรื่องงามหน้าไว้นั้นแล!”
นางเถียนหน้าซีดลงทันที นางร้องเสียงแหลมขึ้นว่า “อันใดกัน แล้วมันเกี่ยวอันใดกับตระกูลมารดาข้า? ท่านพี่ ท่านพูดมาให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้!”
นายท่านรองสกุลหลัวโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งจึงมิกะหนักเบา เมื่อเขาออกแรงบีบคอนางก็ทำเอานางเถียนตาถลนออกมาทีเดียว
หลัวจื้อหยาจึงพุ่งเข้ามาตีแขนของนายท่านรองสกุลหลัวทันที “ท่านพ่อ ท่านรีบปล่อยท่านแม่เดี๋ยวนี้!”
นายท่านรองนั้นขาดสติไปนานแล้ว เขาจึงสะบัดแขนโดยแรงทำเอาหลัวจื้อหยากระเด็นไปทันใด
ตั้งแต่เกิดเรื่องของเยียนเหนียง คุณชายสามก็ออกจากสำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยน แม้จะถูกนายท่านรองเฆี่ยนตีปางตายอยู่หลายคราก็ไม่ยอมไปเรียน
นายท่านสี่สกุลหลัวเคยสัญญาว่าจะหาทางให้เขาไปอยู่ในหกค่าย ระยะเวลาที่ผ่านมานี่คุณชายสามจึงอยู่แต่ในจวน เวลาส่วนใหญ่มักหมดไปกับการฝึกที่ลานฝึกยุทธ์
เขามีกำลังมากจึงเดินเข้าไปดึงนายท่านรองออกมาได้สำเร็จ “ท่านพ่อ มีอันใดก็พูดจากันดีๆ เถิด”
นายท่านรองตบเข้าที่ข้างหูคุณชายสาม “ลูกจัญไร เจ้ากล้ามาขวางข้า?”
“ท่านพ่อ หากท่านยังทำเช่นนี้ต่อไปท่านแม่ก็คงต้องตายเป็นแน่ แล้วจะให้ลูกกับน้องสาวลืมตามองเฉยๆ งั้นหรือ หากท่านแม่เกิดเหตุอันใดขึ้นจริง ท่านจะให้ลูกกับน้องสาวมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”
นายท่านรองจึงมีสติกลับคืนมาได้บ้าง
เขาหอบหายใจอยู่ตลอด ดวงตาแดงก่ำนั้นเอาแต่จ้องถลึงนางเถียน มองดูแล้วช่างน่าขนลุกนัก
นางเถียนถูกบีบคอจนหน้าเขียวคล้ำไปหมด ผมของนางกระเซอะกระเซิงรากลับผีร้ายก็มิปาน สภาพยามนี้ของคนทั้งสองก็ไม่ต่างกันนัก
“ท่านพูดมา ตระกูลมารดาข้ามีอันใด?” นางเถียนไอเสียงดังอยู่หลายคราก็พุ่งเข้าไปเอ่ยคำถาม แต่ถูกหลัวจื้อหยาขวางไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย
นายท่านรองแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ที่ต้าหลังถูกพักตำแหน่งชั่วคราวก็เพราะทางการสืบพบว่าตระกูลมารดาเจ้าให้ที่ซ่อนเผ่าเย่ว์อี๋อย่างไรเล่า!”
นางเถียนหน้าซีดไปทันที นางส่ายหน้าติดกันหลายครา “เป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร! ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องกลับไปถามให้แน่ชัด”
นางพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการกอดกุมของหลัวจื้อหยาแต่ถูกนายท่านรองถีบเอาคราหนึ่ง “สตรีจัญไร เจ้ายังกล้ากลับตระกูลมารดาอีกหรือ คิดว่าเท่านี้ยังแปดเปื้อนไม่พออีกหรือ เหตุใดข้าถึงได้แต่งสตรีโง่งมเช่นเจ้าได้เล่า!”
นางเถียนถูกนายท่านรองถีบจนมึนงงไปหมด นางได้แต่มองเขาอย่างเหม่อลอย
“เจ้าอยู่ที่นี่เฉยๆ ก็พอ ตั้งแต่นี้ต่อไปข้าไม่อนุญาตให้เจ้ากลับตระกูลมารดาอีก ข้าจะลองไปหาทางอื่นดู!”
นายท่านรองสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
นางเถียนอึ้งงันอยู่ครู่หนึ่งจึงร้องไห้ออกมาเสียงดัง
หลัวจื้อหยารู้สึกว่าทางข้างหน้าช่างมืดมนนักจนอยากจะหลับตาแล้วไม่ลืมขึ้นมาอีก แต่ก็แข็งใจเอ่ยปลอบประโลมนางเถียน
คุณชายสามกลับมุ่งหน้าไปหาคุณชายรองที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนเพื่อหารือ
นายท่านรองเที่ยวไปไหว้วานผู้คนไปทั่ว แต่น่าเสียดายที่เขาตำแหน่งต่ำต้อยไร้อำนาจ ที่พอมีอยู่บ้างก็คือเกียรติแห่งจวนกั๋วกงเท่านั้น
เวลานี้คุณชายผู้สืบทอดของจวนกั๋วกงที่เป็นถึงหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน มีทั้งตำแหน่งและอำนาจยังแทบจะล้มครืนลงมาแล้ว ผู้ใดจะให้เกียรติกับขุนนางยศน้อยเช่นเขาเล่า ทุกคนต่างพากันหลบเลี่ยงจนแทบไม่ทันเลยทีเดียว
ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้ก็ถอนหายใจยาวออกมา “ช่างเถิด คนแก่เช่นข้าคงต้องยอมแบกหน้าเข้าวังเพื่อไปขอร้องไท่โฮ่วเสียแล้ว”
นายท่านสี่สกุลหลัวที่รีบกลับเข้ามาจากนอกเมืองได้เข้าไปขวางฮูหยินผู้เฒ่าไว้
“ท่านแม่แม้แต่ต้าหลังยังถูกฝ่าบาทลงอาญาเพราะเรื่องของตระกูลพี่สะใภ้รอง ข้าว่าหากท่านเข้าวังไปขอร้องไท่โฮ่วจะมิยิ่งทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วหรอกหรือ ถึงตอนนั้นการพักตำแหน่งของต้าหลังอาจจะกลายเป็นปลดจากตำแหน่งก็ได้!”
วาจานี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าล้มเลิกความคิดนั้นไป
ความจริงนางก็มิคิดจะไปยุ่งเรื่องของตระกูลเถียนอยู่แล้ว
นางนับวันก็ยิ่งเห็นการกระทำอันไม่เหมาะสมของนางเถียนในช่วงสองปีนี้ดี หากการที่ตระกูลนางต้องเผชิญเรื่องเช่นนี้ก็อาจทำให้นางสงบเสงี่ยมลงได้บ้าง เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีไม่น้อยเลย
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าไปยุ่งสักคน นายท่านรองก็หมดหนทางอย่างที่สุดแล้ว
ยามนี้เขาจึงเริ่มหงุดหงิดที่เหตุใดต้าหลังจึงถูกพักตำแหน่งชั่วคราว หากเขาไม่เป็นอันใด ยามนี้ก็คงพอมีทางช่วยได้บ้าง
ต่อให้ต้าหลังจะพอระแคะระคายความคิดของตนกับภรรยา แต่หากอาสะใภ้ตกที่นั่งลำบากแล้วเขาไม่ช่วย ผู้คนคงได้ด่าเขาสาดเสียเทเสียอยู่ลับหลังแน่
ทว่ายามนี้ฝ่าบาทกลับมีรับสั่งให้ต้าหลังสำนึกผิดอยู่ในจวน เขาจึงไม่มีหนทางใดอีกแล้ว
คนที่ร้อนใจในจวนเจิ้นกั๋วกงต่างก็พยายามหาทุกวิถีทาง แต่คนที่ไม่ร้อนใจก็ใช้ชีวิตในจวนอยู่อย่างสบาย ส่วนผู้ตู้เยี่ยนเซิงหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินอีกผู้หนึ่งที่คิดจะกดหลัวเทียนเฉิงให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็ทุ่มเทแรงกายในการสืบคดีอย่างเบิกบานใจ
การสืบครั้งนี้ไม่เพียงสืบไปถึงเผ่าเย่ว์อี๋แต่ยังสืบพบการค่าเกลือเถื่อนของตระกูลเถียนในอดีตเมื่อหลายปีก่อนอีกด้วย
ตระกูลเถียนนั้นยากจนแต่กลับร่ำรวยขึ้นมาอย่างกะทันหัน ตระกูลเช่นนี้ไหนเลยจะสะอาดบริสุทธิ์ เมื่อตู้เยี่ยนเซิงผู้ดูแลหน่อยองครักษ์จิ่นหลินสืบทราบเรื่องนี้ก็คาดเดาได้อยู่แล้วว่าหลัวเทียนเฉิงจะต้องทูลขอรับโทษอย่างแน่นอน
การแทงทะลุรังแตนเช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าขอร้องแน่ เจาเฟิงตี้จึงลงอาญาต่อตระกูลเถียนอย่างรวดเร็วยิ่ง
สมบัติที่มีนั้นยึดเข้าหลวง ทายาทที่เป็นชายที่มีอายุมากกว่าสิบปีให้ส่งไปเป็นนักโทษเสริมทัพที่ชายแดนอันไกลโพ้น แต่อาจเพราะเห็นแก่หน้าของตระกูลเจิ้นกั๋วกงจึงมิได้ละเว้นโทษสตรีในตระกูล พวกนางจึงมิต้องถูกขายไปเป็นทาส
นางเถียนทราบข่าวนี้แล้วถึงกลับกระอักโลหิตออกมาทีเดียว