วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 309 ความเชื่อใจ
คิ้วงามดั่งหุบเขาในเมฆหมอกอันแสนไกล นัยน์ตาคล้ายสายน้ำยามวสันต์ที่พลิ้วไหว หย่วนซาน[1]ช่างงดงามนัก หลัวเทียนเฉิงในชาติก่อนคิดว่าตนฉลาดหนักหนา เขาตั้งชื่อให้กับสาวใช้ผู้เองทั้งยังเคยชอบนางยิ่ง
แน่นอนว่าความชอบชนิดนี้มิอาจเรียกได้ว่าเป็นความรักของหนุ่มสาว มันเป็นเพียงแค่ชมชอบหลงใหลในสิ่งงดงามน่ามองเท่านั้น ความรู้สึกที่บุรุษในยุคสมัยนี้มีต่อสาวใช้ทงฝังหรืออนุของตนมากที่สุดก็คงมีเพียงเท่านี้แล้ว
พูดตามตรงคือสาวใช้ทงฝังนั้นมีไว้เพื่อความบันเทิงของบุรุษเท่านั้น หากทำตัวดี บุรุษก็ย่อมเอ็นดูมากสักหน่อย หากมีวันใดมิได้ดั่งใจก็สามารถละทิ้งได้ทันที แล้วเปลี่ยนไปหาคนที่สวยงามน่ามองมากยิ่งกว่าเท่านั้นเอง
แต่หลัวเทียนเฉิงนั้นเป็นบุคคลที่ตายแล้วเกิดใหม่อีกครั้ง เขาย่อมมีความคิดต่อสาวใช้ทงฝังที่งดงามดุจบุปผาดั่งหยกเหล่านั้นแตกต่างไปจากคนทั่วไปเป็นธรรมดา
หรืออาจจะพูดว่าเป็นเพราะเรื่องที่เจินเมี่ยวคบชู้ในชาติก่อนทำให้เขากลายเป็นฆาตกร จนต้องไปเป็นนักโทษเสริมกำลังในกองทหาร เผชิญเรื่องทุกข์ทรมานต่างๆ ดังนั้นความคิดของเขาที่มีต่อสตรีเพศจึงแตกต่างจากบุรุษทั่วไป
ครั้นพบสตรีงดงามผู้หนึ่งมายืนรอตนอยู่ตรงนี้ เขากลับมิได้คิดว่านางมารอเขา แต่คิดว่านางกำลังจะก่อเหตุอันใดบางอย่างมากกว่า
สีหน้าของเขาพลันเคร่งขรึมขึ้นมา แววตามืดดำกว่าฟ้าในยามราตรีนี้เสียอีก น้ำเสียงเย็นชาไร้ความอบอุ่นใด “เจ้ามาทำอันใดที่นี่”
น้ำเสียงที่เย็นเยียบเช่นนี้ไม่ต่างอันใดกับการสาดน้ำเย็นเฉียบถังหนึ่งใส่ร่างหย่วนซานทำให้นางหนาวสั่นไปถึงขั้วหัวใจ ขนลุกซู่ขึ้นมาทั่วกายคล้ายมิได้อยู่ในวสันตฤดูอันอบอุ่นแต่อยู่ในเหมันตฤดูที่เหน็บหนาว
ใบหน้านางค่อยๆ ขาวซีดขึ้นแต่เมื่อคิดว่าจะต้องบีบเม็ดยานั้นให้แตกยามหลัวเทียนเฉิงเดินผ่านไป นางก็เริ่มมีความเชื่อมั่นขึ้นมาเล็กน้อย
กลิ่นหอมนั้นมิฉุนเกินไปจึงถูกกลิ่นหอมที่สตรีมักประพรมกลบจนสิ้น ไม่มีทางที่จะถูกผู้คนสงสัยแน่
ที่สุดสำคัญคือนางโชคดีไม่เลว นางมาคอยอยู่ที่นี่มาสองสามวันแล้ว และวันนี้ซื่อจื่อก็มาเสียที นางบีบเม็ดยานั้นแตกทันทีโดยไม่มีเวลาแม้แต่จะลังเล ทว่าหากซื่อจื่อมิได้ดื่มสุรา เม็ดยาอันล้ำค่านี้ก็คงเสียไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดนางก็ได้กลิ่นสุราจางๆ มาจากกายของซื่อจื่อ
ดูเอาเถิดแม้แต่สวรรค์ก็ยังเข้าข้างนาง แล้วนางจะมีเหตุผลใดที่จะทำไม่สำเร็จเล่า
หย่วนซานให้กำลังใจตนอยู่เงียบๆ นางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ดวงตางดงามนั้นจ้องมองหลัวเทียนเฉิง น้ำเสียงอ่อนโยนคล้ายสายน้ำพลิ้วไหวยามวสันต์ “ซื่อจื่อ บ่าวมารอท่านเจ้าค่ะ ฟ้ามืดแล้วทางเดินก็ลื่น บ่าวจึงมาถือตะเกียงให้ท่านเจ้าค่ะ”
หลัวเทียนเฉิงเม้มริมฝีปากแน่น
เขาย่อมต้องเข้าใจในความหมายของหย่วนซาน
หากเอ่ยถึงสาวใช้ทงฝังหลายคนในชาติก่อนของเขา หย่วนซานคือคนที่จริงใจกับเขาอยู่หลายส่วน ตอนที่เขาสูญเสียตำแหน่งคุณชายผู้สืบทอดทั้งยังกลายเป็นนักโทษก็มีเพียงหย่วนซานที่ไปเยี่ยมเขา ทั้งยังเอาเงินให้เขาอีกนับสิบตำลึง
ตอนที่เขาอับจนและเศร้าเสียใจอย่างที่สุด ไมตรีนั้นเขาจดจำไว้ในใจตลอดมา ภายหลังเขาจับน้องสามของตนในสงครามจึงถามถึงสาวใช้ผู้นั้นที่เคยมีใจจงรักภักดีต่อเขา น้องสามแค่นยิ้มเย็นแล้วบอกกับเขาว่า หย่วนซานตายไปนานแล้ว นางเถียนไม่อยากให้พวกนางอยู่ในเรือนจึงหาคนให้แต่งออกไป หยวนซ่านจึงวิ่งชนกำแพงตาย
เขายังจำท่าทีโกรธแค้นและเหยียดหยามของน้องสามได้ ‘พี่ใหญ่ ท่านเห็นหรือไม่ ขอเพียงเป็นคนใกล้ชิดกับท่านต่างก็ต้องพบจุดจบอันเลวร้าย! ทั้งที่ท่านเป็นผู้ทำผิดแต่กลับมิยอมรับโทษ แต่กลับไปเป็นบ่าวรับใช้กบฏจนทำให้จวนเจิ้นกั๋วของเราต้องเผชิญกับความยากลำบาก!’
หลัวเทียนเฉิงได้ฟังแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งใจในตัวสาวใช้ผู้จงรักผู้นั้นอยู่หลายส่วน
แน่นอนว่าเป็นเพราะนางเถียนตั้งใจจะแก้แค้นที่หย่วนซานให้เงินหลัวเทียนเฉิงจึงคิดยกนางให้กับพ่อบ้านที่ป่วยเป็นกามโรค แต่คุณชายสามสกุลหลัวมิได้เอ่ยถึงเพราะเขาไม่รู้รายละเอียดเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็เป็นสาวใช้ทงฝังของพี่ใหญ่ เขาย่อมมิไปใส่ใจอันใดมากนักแค่ได้ยินบ่าวไพร่พูดคุยกับโดยบังเอิญไม่กี่คราจึงได้ทราบว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
ดังนั้นแม้หลัวเทียนเฉิงจะตัดสินใจว่าจะอยู่ห่างจากสาวใช้ทงฝังทุกคนแต่กับหย่วนซานนั้นอย่างไรก็มีความแตกต่างกันอยู่หลายส่วน
แตกต่างเช่นไรหรือ
หากเป็นฉุยซิง จิ้งสุ่ยหรือคนอื่นๆ มายืนรอที่นี่ เกรงว่าเขาคงจะเตะกระเด็นไปไกลโดยไม่พูดจาอันใดสักคำแล้ว แต่เมื่อเป็นหย่วนซาน เขากลับยังมีความอดทนพอที่จะเอ่ยปฏิเสธ “ไม่ต้องถือตะเกียงให้ข้าดอก ข้ามองเห็น”
เขาพูดแล้วก็เดินก้าวยาวผ่านหย่วนซานไป กลิ่นหอมคล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นกำจายออกมาจากร่างนาง ไม่ทราบด้วยเหตุใด ใจของเขาก็พลันร้อนรุ่มขึ้นมาจึงชะงักฝีเท้าตนอย่างไม่รู้ตัว
หย่วนซานจับแขนเสื้อหลัวเทียนเฉิงไว้ทันที “ซื่อจื่อ“
หลัวเทียนเฉิงก้มหน้ามองมือนวลดุจที่จับแขนเสื้อเขาไว้แล้วขมวดคิ้วมองหน้าหย่วนซาน
“ซื่อจื่อ บ่าวมิกล้าขออันใดมาก เพียงอยากถือตะเกียงส่องทางให้ท่านเท่านั้น ท่านโปรดอย่าปฏิเสธบ่าวเลย ได้หรือไม่เจ้าคะ” นางเงยหน้าขึ้น ประกายคลื่นในดวงตาเต้นระริกอยู่ภายใน เป็นความรักความรู้สึกที่มิอาจปิดบังเอาไว้ได้
ไม่ทราบเหตุใดหลัวเทียนเฉิงจึงรู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจมากยิ่งขึ้นอีก
เมื่อต้องเผชิญกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรักความอาวรณ์ เขาก็ไพล่คิดไปว่าตนมิเคยได้เห็นท่าทางเช่นนี้จากเจี๋ยวเจี่ยวเลย แม้นางจะเริ่มชอบเขาแล้วแต่ความต่างระหว่างรักกับชอบนั้นมองแค่แวบเดียวก็สามารถแยกออกได้ชัดเจน
เขาเป็นคนละโมบยิ่งจึงอยากจะได้รับจากนางให้มากกว่านี้
กลิ่นหอมนั้นลอดมุดเข้าไปในโพรงจมูกหลัวเทียนเฉิงอย่างไร้สุ้มเสียง ทำให้เขารู้สึกสับสนวุ่นวายใจขึ้นมา
“ไปเถิด” เขาพยักหน้ารับดั่งพูดบอกเทพสั่ง
หย่วนซานพลันผลิยิ้มออกมาทันที รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ภายใต้แสงจันทร์อันขมุกขมัวนี้มันช่างดูงดงามอย่างยากจะบรรยายออกมาได้
ไม่ว่าใครก็ตามหากพบคนผู้หนึ่งที่เผยรอยยิ้มแห่งความรักภักดีอย่างหมดใจให้เขาก็คงยากที่จะไม่เกิดความซึ้งใจ
ในช่วงเวลาที่ไม่ทันรู้ตัวนี่ความรู้สึกปิดกั้นที่มีมาแต่แรกก็จืดจางลงไปหลายส่วน แต่ภาพที่นางช่วยเหลือตนในชาติก่อนกลับค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้น
คนทั้งสองผู้หนึ่งเดินนำหน้า ผู้หนึ่งเดินตามหลัง แต่หย่วนซานก็ทิ้งห่างหลัวเทียนเฉิงไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างยังคงได้กลิ่นกายของกันและกัน
เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่กำจายออกมาจากกายนาง นางก็ได้กลิ่นหอมของสุราที่คละคลุ้งออกมาจากกายเขา กลิ่นหอมสองชนิดนี้รัดรึงผสมผสานกันอยู่ทั่วบริเวณคล้ายแยกพวกเขาออกจากโลกภายนอกไปในทันที
เมื่อหลัวเทียนเฉิงเดินผ่านประตูไปจึงรู้สึกตัวว่านี่คือเรือนฝั่งตะวันตก เรือนพักของหย่วนซาน!
ร่างกายของเขาถึงกับมีปฏิกิริยาขึ้นมาโดยที่เขาไม่ทันแม้แต่จะรู้ตัว บริเวณใต้ท้องน้อยของชุดคลุมตัวยาวสีเขียวเข้มถูกผลักออกมาจนเกิดเป็นกระโจมเล็กหลังหนึ่ง
“ซื่อจื่อ…” เมื่อเห็นมีปฏิกิริยาเช่นนั้นหย่วนซานก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหวอีกจึงซบลงบนอกเขาด้วยร่างอันอ่อนปวกเปียก
กลิ่นนั้นกลับส่งกลิ่นหอมมากยิ่งขึ้น
มู่จือที่ยืนอยู่มุมประตูนั้นแทบจะบินทะยานเข้าไปในเรือนเลยทีเดียว
นางเป็นสาวใช้ขั้นสามและเพิ่งมารับตำแหน่งแทนเจี้ยงจูได้ไม่นานจึงไม่มีสิทธิ์ดูแลรับใช้ใกล้ชิดเจินเมี่ยว ยามนี้ฟ้าก็มืดแล้ว เมื่อนางวิ่งพรวดพราดเข้ามาจึงถูกไป๋เสาขวางไว้
“ต้าไหน่ไหน่กำลังอาบน้ำ วิ่งลนลานเข้ามาในนี้ทำอันใดกัน”
มู่จือร้อนใจจนวางเท้าไม่ติดพื้นแล้ว “พี่ไป๋เสา ข้าเห็น…เห็นซื่อจื่อไปที่เรือนฝั่งตะวันตก!”
ไป๋เสาหน้าเปลี่ยนสีไปทันที “จริงหรือ”
มู่จือพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าเห็นกับตา พี่ไป๋เสา ท่านรีบไปบอกต้าไหน่ไหน่เร็ว”
ไป๋เสากำลังจะหมุนกายจากไปแต่ก็ต้องชะงักหยุดทันที
อย่าว่าแต่บุรุษที่ฐานะเช่นซื่อจื่อเลย ไม่ว่าจะเป็นบุรุษคนใดหากคิดจะไปร่วมหลับนอนกับสาวใช้ทงฝัง ภรรยาเอกก็มิอาจทัดทานอันใดได้มิใช่หรือ
หากต้าไหน่ไหน่ทราบก็ทำได้แค่เพียงเสียใจ ความสัมพันธ์ที่กำลังดีขึ้นของคนทั้งสองจะกลับไปแย่ลงอีกหรือไม่
หากเป็นเช่นนั้นก็มิสู้ไม่รู้ดีกว่า
ไป๋เสาพลันเกิดความคิดนี้ขึ้นมาในหัวอย่างกะทันหัน แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวฉับๆ อยู่ภายในห้อง นางก็สะบัดศีรษะตนคราหนึ่ง
นางเป็นสาวใช้ใหญ่ของต้าไหน่ไหน่ นางอาจมีใจที่อยากปกป้องเจ้านายตน แต่ไม่ควรล้ำเส้นด้วยการตัดสินใจแทนต้าไหน่ไหน่โดยพลการ
ไป๋เสาจึงเดินเข้าไปด้านในทันที
เจินเมี่ยวเพิ่งอาบน้ำเสร็จ นางปล่อยผมเปลือยเท้านั่งอยู่บนขอบเตียง อาหลวนกำลังถือผ้าผืนนุ่มคอยเช็ดผมให้นางอยู่
เมื่อได้ยินเสียงคนนางก็หันไปมอง ครั้นเห็นว่ามีมู่จือตามมาด้วยก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “ไป๋เสา มีอันใดหรือ”
ภายในห้องมีเพียงอาหลวนและเยี่ยอิง ไป๋เสาจึงมิจำเป็นต้องอ้อมค้อมใดๆ แต่ก็ยังรู้สึกลำบากใจอยู่เล็กน้อยที่จะเอ่ยวาจานั้นออกมา นางสูดลมหายใจเข้าลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่เจ้าคะ มู่จือเห็นซื่อจื่อไปที่เรือนฝั่งตะวันออกเจ้าค่ะ!”
ยามนี้มิใช่เวลากลางวัน การไปที่เรือนฝั่งตะวันตกหมายความว่าอย่างไรนั้นคนที่อยู่ที่นี่ต่างเข้าใจดี
ผ้าผืนนุ่มที่อาหลวนใช้เช็ดผมให้เจินเมี่ยวร่วงลงพื้นทันที นางรีบก้มลงเก็บ รู้สึกไม่กล้ามองหน้าเจินเมี่ยวขึ้นมา จึงส่งสัญญาณให้เยี่ยอิงไปเปลี่ยนผ้าผืนใหม่มาให้
เยี่ยอิงกลับมัวแต่ตกตะลึงอยู่จึงมิเห็นสัญญาณที่อาหลวนส่งมาให้ตน
ชั่วขณะนั้นคล้ายว่าบรรยากาศทุกอย่างในห้องพลันหยุดชะงักไป
สุดท้ายเป็นเจินเมี่ยวเองที่เอ่ยปากถามขึ้นก่อนว่า “ซื่อจื่อไปหาใคร”
ทุกคนหันไปมองที่มู่จือ
มู่จือจึงเอ่ยว่า “บ่าวเห็นซื่อจื่อเข้าไปในห้องของเฉินอวี๋เจ้าค่ะ”
“ซื่อจื่อไปทำอันใดเล่า” เจินเมี่ยวขมวดคิ้ว
สาวใช้ทั้งหลายพลันเบ้ปากขึ้นพร้อมกัน ทั้งอดเอามือขึ้นก่ายหน้าผากมิได้
เหตุใดเมื่อเรื่องอันน่ากระอักกระอ่วนที่ทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดใจนี้ถูกเอ่ยออกมาจากปากของต้าไหน่ไหน่แล้วกลับให้ความรู้สึกว่ามันมิได้หนักหนาอันใดเลย
ครั้นเห็นว่าเจินเมี่ยวยังคงรอให้ตอบคำถาม ไป๋เสาจึงแข็งใจเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่เจ้าค่ะ ท่านกินยาอยู่ตลอดจึงมิอาจปรนนิบัติซื่อจื่อได้ คิดว่าซื่อจื่อคง คง…”
เจินเมี่ยวตกใจขึ้นมา “ซื่อจื่อจะไปนอนที่ห้องของหย่วนซานงั้นหรือ”
ในความคิดของนางนั้นแม้ยามที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองย่ำแย่ที่สุดเขาก็ยังไม่เคยไปนอนกับสาวใช้ทงฝังสักครั้ง แล้วยามนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว เขาไม่มีเหตุผลใดที่ต้องทำเรื่องเช่นนั้นเลย
จุดสำคัญที่สุดที่ทำให้นางค่อยๆ เอาเขาเข้ามาไว้ในหัวใจทีละนิดๆ นั้นก็เพราะเขามิได้เที่ยวนอนกับสตรีไปทั่วในตอนที่แต่งงานกับนางแล้ว
มิใช่ว่านางเก่งกาจอยู่เหนือสตรีอื่นอยู่ขั้นหนึ่ง สามีผู้อื่นล้วนเป็นเช่นนี้นางมีสิทธิ์อันใดไปแง่งอน
แต่อย่างไรนางก็มาจากโลกที่ต่างกัน บุรุษผู้หนึ่งร่วมหลับนอนกับสตรีมากหน้าหลายตาในเวลาเดียวกัน นางรู้ดีว่าสำหรับที่นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในด้านความรู้สึกนางกลับมิอาจรับได้ แน่นอนว่านางมิอาจทำอันใดได้แต่อย่างน้อยนางก็สามารถรักษาใจของตนไว้มิให้เอาไปมอบแก่บุรุษเช่นนั้น
แต่การกระทำของหลัวเทียนเฉิงได้ทลายความกังวลใจของนางไปเสียสิ้น ทำให้นางค่อยๆ ชอบเขา เช่นนั้นนางก็จะเชื่อใจเขา
ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยานั้นอาจจะต้องวางความรักไว้หลังความเชื่อใจมันจึงจะคงอยู่ได้นาน
ในเมื่อนางคิดว่าจะใช้ชีวิตอันยาวนานอย่างมีความสุขไปด้วยกัน ทั้งเขายังมีฝันร้ายที่เคยเผชิญเมื่อชาติก่อนอีก เช่นนั้นางก็ยินดีที่จะมอบความเชื่อใจให้เขาก่อน
“อาหลวนช่วยเช็ดผมให้ข้าเร็วเข้า” เจินเมี่ยวเอ่ยกำชับคราหนึ่ง แล้วหันไปไป๋เสาว่า “ไป๋เสา เจ้าไปบอกซื่อจื่อที่เรือนฝั่งตะวันตกว่าหากเขาจัดการธุระเสร็จแล้วให้มาที่นี่ ข้ารอเขาอยู่”
“ต้าไหน่ไหน่?” ไป๋เสาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าต้าไหน่ไหน่จะไม่มีอาการโกรธเคืองสักนิด ทั้งยังคิดไปว่าซื่อจื่อไปหาหย่วนซานเพราะมีธุระ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
“ไปเถิด”
ไป๋เสาอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็มิได้พูดออกไป สุดท้ายจึงหมุนกายเดินออกไป นางออกจากห้องเดินเข้าไปในความมืด ในมือถือโคมสีเหลืองเข้ม ยิ่งใกล้เรือนฝั่งตะวันตกมากเท่าใด เท้าของนางก็เริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
ต้าไหน่ไหน่คงจะต้องเสียใจแน่กระมัง?
——
[1] หย่วนซาน (远山) แปลว่าหุบเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป มองเห็นอยู่ไกลลิบๆ