วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 308 หย่วนซาน
“เช็ดก่อนเถิด ที่นี่ลมแรง เจ้าร้องไห้ตาบวมหมดแล้ว กลับไปจะตอบผู้อื่นอย่างไร?” หย่วนซานล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้เสวี่ยเยี่ยน
เสวี่ยเยี่ยนเห็นผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีนั้นแล้วก็กัดมันไว้อยู่นานจึงเอ่ยขึ้นว่า “อย่างไรการได้อยู่เรือนชิงเฟิงก็ดีกว่าสักหน่อยจริงๆ ผ้าเช็ดหน้าเช่นนี้ ข้าไม่มีทางได้ใช้แน่”
หย่วนซานแค่นยิ้มเย็น “เจ้าพูดวาจาตัดพ้อเช่นนี้เพื่ออันใด ใครไม่รู้บ้างว่าตอนนี้เจ้ารับใช้นายท่านรองอยู่”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้เสวี่ยเยี่ยนก็เม้มริมฝีปาก น้ำตารินไหลออกมา “หย่วนซาน เราเป็นสาวใช้รุ่นเดียวกัน ข้าจึงไม่กลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะข้า นายท่านรองมีเยียนเหนียงผู้นั้นอยู่ทั้งคนแล้วจะหันมามองข้าได้อย่างไร แค่ทำลายความบริสุทธิ์ของข้าไปเพียงครั้งก็ปัดทิ้งไม่ไยดีอีกเลย”
วาจานี้กระตุกใจหย่วนซานยิ่ง
ผู้อื่นอาจไม่รู้ว่าตั้งแต่ที่ต้าไหน่ไหน่แต่งเข้ามา มิใช่…ตั้งแต่ซื่อจื่อกับต้าไหน่ไหน่หมั้นหมายกัน มีเพียงฉี่เย่ว์ที่ถูกขายไปแล้วเท่านั้นที่เคยได้รับความโปรดปราน แต่พวกนางสามคนกลับไม่เคยได้เข้าใกล้ซื่อจื่ออีกเลย!
แน่นอนว่าในเรื่องการอยู่การกินนั้นไม่มีผู้ใดปฏิบัติไม่ดีต่อพวกนาง เพราะคนของเรือนชิงเฟิงย่อมต้องใช้ของดีมากกว่าเรือนอื่นๆ เป็นธรรมดา
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ใจของหย่วนซานก็ยังรู้สึกเจ็บปวดจนยากจะเอื้อนเอ่ย
นางยังอยู่ในวัยแรกแย้ม รูปโฉมก็งดงามยิ่ง ในอดีตซื่อจื่อมักจะให้นางคอยเฝ้าอยู่ข้างกายเสมอ ยามความรักสุกงอมอย่างยิ่งนั้น บางราตรีก็เรียกร้องนางอยู่หลายครั้ง ผู้ใดจะทราบว่าสองปีนี้กลับละทิ้งไม่ไยดีเสียแล้ว
หย่วนซานไม่เข้าใจจริงๆ แม้นต้าไหน่ไหน่จะรูปโฮมงดงาม อุปนิสัยแสนดี ซื่อจื่อจึงรักถนอมต้าไหน่ไหน่ แต่ก็ย่อมมีช่วงที่ต้าไหน่ไหน่มิอาจปรนนิบัติซื่อจื่อได้กระมัง แต่ก็อ่านมาปีกว่าแล้ว เหตุใดจึงมิเห็นซื่อจื่อมาที่เรือนฝั่งตะวันตกบ้างเลยเล่า
ต้าไหน่ไหน่…
หย่วนซานท่องสามคำนี้อยู่เงียบๆ ความเจ็บปวดผุดขึ้นมาในใจระลอกหนึ่ง แล้วคิดอย่างแค้นเคืองว่า ต้าไหน่ไหน่ช่างประเสริฐยิ่งนัก หากนางแสนดีจริงเหตุใดจึงจับซื่อจื่อไว้ไม่ยอมปล่อยเลย ไม่มีความใจกว้างอย่างผู้เป็นนายหญิงปกครองเรือนแม้แต่น้อย!
“หย่วนซาน…” เมื่อเห็นนางนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา เสวี่ยเยี่ยนก็ร้องเรียกขึ้น
หย่วนซานรู้สึกระคายหูยิ่ง นางแค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “อย่างเรียกข้าว่าหย่วนซาน ต้าไหน่ไหน่เปลี่ยนชื่อให้ข้าใหม่เป็นเฉินอวี๋แล้ว”
พลันคิดถึงเมื่อคราแรกเริ่มขึ้นมา พวกนางห้าคน ซิ่วเฟิง จิ้งสุ่ย ฉี่เย่ว์ ฉุยซิง หย่วนซาน ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะแปลกหู ทั้งยังเป็นชื่อที่ซื่อจื่อตั้งให้ด้วยตนเองอีกด้วย ซิ่วเฟิงตายไปก่อนจึงมิขอพูดถึง แต่เมื่อต้าไหน่ไหน่มาถึงก็เปลี่ยนชื่อพวกนางเป็นเฉินอวี๋ ลั่วเยี่ยน ปี้เย่ว์ ซิ่วฮวา ชื่อที่แสนจะธรรมดาไร้ความสง่า คงเห็นแล้วว่ามิใช่คนดีอันใด!
เสวี่ยเยี่ยนอึ้งงันไปครู่หนึ่ง พลันยิ้มขื่นออกมา “เฉินอวี้ชื่อนี้ช่างเข้ากับข้าเสวี่ยเยี่ยนเหลือเกินแล้ว!”
หย่วนซานเองก็เงียบลงเช่นกัน
ช่วงเวลานี้ คนทั้งสองที่เป็นสาวใช้ทงฝังเช่นเดียวกันก็เกิดเห็นใจในความทุกข์ของกันและกันขึ้นมา
คนทั้งสองผู้หนึ่งนั่งผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ซุ้มดอกไม้ ดอกจื่อเถิงเลื้อยขยายเต็มซุ้มดอกไม้แล้ว แม้ยังมิบานสะพรั่งแต่ก็มีดอกตูมขึ้นเต็มจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่กระจายอยู่โดยรอบ ทั้งยังคอยขวางกั้นสายลมอันเสียดแทงนั้นไว้ให้อยู่แต่เพียงภายนอก แสงแดดสายส่องเข้ามาจากช่องว่างเล็กๆ นั้นคล้ายถูกเจาะทะลุไว้ก็มิปาน เกิดเป็นเงาสลับทับซ้อนกระจายไปทั่วบริเวณ เมื่อลมพัดดอกจื่อเถิงปลิวไหว แสงนั้นก็ขยับตามไปด้วย
“หย่วนซาน ข้าขอพูดความในใจกับเจ้าสักประโยคเถิด การเป็นสาวใช้ทงฝังที่มิได้รับความโปรดปรานนั้นช่างทุกข์ทรมานเหลือเกิน อย่างไรเจ้าก็ดีกว่าข้ายิ่ง”
หย่วนซานหัวเราะเยาะออกมาคราหนึ่ง “ตาข้างใดของเจ้าที่เห็นว่าข้าดีกว่าเจ้า?”
เสวี่ยเยี่ยนลอบเยาะหยันอยู่ในใจว่าหย่วนซานยังคงมีอุปนิสัยเหมือนเดิม ใจแคบ ชอบอยู่แถวหน้า พูดจาประชดประชัน แต่ว่าคนเช่นนี้ ความจริงมิใคร่จะมีสติปัญญานัก ง่ายต่อการถูกหลอกล่อมากที่สุด
นางถอนหายใจแผ่วต่ำ
ฮูหยินรองช่างเก่งกาจนัก ถึงกับมองอุปนิสัยของคนเหล่านั้นในเรือนชิงเฟิงได้อย่างชัดเจน
เสวี่ยเยี่ยนเผยสีหน้าอิจฉาออกมา “พวกเจ้าติดตามซื่อจื่อมานาน ย่อมมีความผูกพัน ทั้งซื่อจื่อก็ยังหนุ่มแน่นแม้จะรักต้าไหน่ไหน่มากแต่ก็ยังมีแรงเหลือเฟือมาดูแลพวกเจ้า ไม่เหมือนข้า…”
พูดถึงตรงนี้นางก็แดงขึ้นมาเล็กน้อย “นายท่านรองอายุปูนนั้นแล้ว เกรงว่าคงเอาความคิดและจิตใจไปไว้ที่เยียนเหนียงหมดแล้ว แม้แต่ฮูหยินรองก็มิได้ไปหานานแล้ว ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงข้าเลย”
หย่วนซานจ้องเสวี่ยเยี่ยนด้วยท่าทีแปลกประหลาด
นางอยากจะพูดเหลือเกินว่าซื่อจื่อนั้นมิสู้นายท่านรองด้วยซ้ำ สองปีมานี้มิเคยมองพวกนางแม้แต่หางตาด้วยซ้ำ ทว่ารู้สึกขายหน้าจึงได้อดทนเอาไว้
เสวี่ยเยี่ยนเอ่ยเสียงเบาลงอีกเล็กน้อยว่า “ข้าได้ยินว่าต้าไหน่ไหน่สุขภาพมิค่อยดี คงมิอาจตั้งครรภ์ได้ในระยะเวลาสั้นๆ นี้?”
“เรื่องนี้…ข้าจะรู้ได้อย่างไร” หย่วนซานเอ่ยด้วยท่าทีลังเล
เสวี่ยเยี่ยนแสดงสีหน้าเห็นใจออกมา “หากเป็นเช่นนี้จริง พวกเจ้าก็มิใช่ต้องคอยกินยาอยู่ตลอดหรอกหรือ”
ในที่สุดหย่วนซานก็อดกลอกตา มองบนมิได้ นางจึงหลุดเอ่ยออกมาว่า “ต้องหยุดกินยาด้วยหรือ ตั้งแต่ต้าไหน่ไหน่แต่งเข้ามา ซื่อจื่อก็มิเคยมาเรือนฝั่งตะวันตกอีกเลย!”
นางเจตนาเอ่ยเป็นนัยๆ ถึงเรื่องที่หลัวเทียนเฉิงมิเคยแตะต้องพวกนางมาตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว หากเอ่ยเช่นนี้แล้วก็คล้ายว่าจะสามารถผลักสาเหตุทั้งหมดไปที่ต้าไหน่ไหน่ได้ เช่นนี้นางก็มิได้ดูย่ำแย่เกินไป
“ห๊ะ?” เสวี่ยเยี่ยนปิดปากด้วยความตกใจ
หย่วนซานรู้สึกเสียใจขึ้นมาหลายส่วน แต่วาจานั้นเอ่ยออกไปแล้วมิอาจแก้ไขอันใดทันได้ นางจึงกัดริมฝีปากเอ่ยว่า “วาจานี้เจ้าได้อย่าเอาไปพูดที่ใดเล่า ซื่อจื่อทราบเข้าต้องโกรธข้าแน่”
เสวี่ยเยี่ยนพยักหน้าหงึกหงัก น้ำเสียงยิ่งดูสนิทชิดเชื้อขึ้นอีกหลายส่วน “หย่วนซาน ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าเองก็ขมขื่นเช่นกัน”
หยวนซานนิ่งไป
เสวี่ยเยี่ยนเอ่ยลากเสียงยาว แล้วถอนหายใจออกมา เสียงถอนหายใจนั้นยืดยาวยิ่ง คล้ายจะยาวไปถึงใจของหย่วนซานเลยทีเดียว
“ยามนี้ข้าไม่หวังเป็นที่รัก หากมีบุตรสักคนชีวิตอีกครึ่งคงมีที่พึ่ง เท่านี่ก็พอใจแล้ว มิเช่นนั้นผ่านไปอีกสักสองสามปีก็อาจจะถูกยกไปให้ผู้อื่น สตรีที่ไร้ความบริสุทธิ์แล้วเช่นเรายังมิสู้สาวใช้คนสนิทของบรรดานายท่านด้วยซ้ำ แล้วจะหวังให้บุรุษเหล่านั้นจริงใจกับเราได้สักกี่ส่วนกัน?”
วาจานี้คล้ายดั่งค้อนหนักที่ทุบเข้าไปในใจของหย่วนซาน
เหตุใดจุดจบที่เสวี่ยเยี่ยนเป็นกังวลจะมิใช่สิ่งที่นางกังวลเช่นกันเล่า!
ยามนี้นางมีความงามอันเย้ายวนอยู่หลายส่วนแท้ๆ แต่ซื่อจื่อกลับไม่ไยดีนางเสียแล้ว หากผ่านไปอีกสักสองสามปีจะเป็นเช่นไรเล่า
หากนางมีบุตรสักคน…
หย่วนซานบอกลาเสวี่ยเยี่ยนแล้วกลับห้องไปนอนคิดกลับไปกลับมา
ไม่…ไม่ได้ หากมีบุตรก่อนที่ภรรยาเอกจะตั้งครรภ์จะต้องถูกทำแท้งแน่
ทว่า…ต้าไหน่ไหน่มิใช่สุขภาพไม่ดี มิอาจตั้งครรภ์ได้ในระยะอันใกล้นี้หรอกหรือ หากอีกสองสามปีไม่มีบุตรสักที ไม่แน่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าอาจจะยอมเมตตาให้นางเก็บเด็กไว้
คิดถึงตรงนี้หย่วนซานก็ยิ่งกลัดกลุ้ม เรื่องที่เร่งด่วนตอนนี้เกรงว่าคงมิใช่เรื่องบุตรแต่จะทำอย่างไรให้ซื่อจื่อยอมมาที่ห้องของนางอีกครั้งต่างหาก
เสวี่ยเยี่ยนพูดถูก หากไม่พยายามตอนนี้ จะต้องให้แก่ชราร่วงโรยจนถูกขับไล่ออกไปงั้นหรือ
ผ่านไปอีกหลายวัน หย่วนซานกับเสวี่ยเยี่ยนก็ได้บังเอิญพบกันอีก นางจึงเห็นว่าเสวี่ยเยี่ยนมีสีหน้าดีขึ้นมาก ครั้นเห็นใบหน้านัยน์ตานางมีความสดใสดุจดรุณีแรกรุ่น หย่วนซานก็เกิดสงสัยจึงเข้าไปรั้งเสวี่ยเยี่ยนเข้ามาสอบถาม
เสวี่ยเยี่ยนหน้าแดงไปหมด นิ่งเงียบอยู่นานก็มิยอมเอ่ย
หย่วนซานร้อนใจยิ่ง “เสวี่ยเยี่ยน ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่น้องจึงได้ถามเจ้า หากจ้าไม่อยากบอกก็แล้วไปเถิด!”
เสวี่ยเยี่ยนดึงหย่วนซานที่หมุนตัวจะเดินหนีไปไว้ แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “เจ้าอย่าโกรธเลย ข้าพูดแล้วก็ได้ แต่เรื่องนี้เจ้าอย่าไปบอกบุคคลที่สามเด็ดขาด มิเช่นนั้น…ข้าคงไม่มีหน้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว”
“ร้ายแรงเพียงนั้น?” หย่วนซานรู้สึกแปลกใจยิ่ง
เสวี่ยเยี่ยนดึงนางไปในถ้ำหุบเขาจำลองแล้วเอ่ยด้วยหน้าอันแดงก่ำว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้ามีญาติผู้พี่คนหนึ่งใช่หรือไม่”
หย่วนซานพยักหน้า
เสวี่ยเยี่ยนมีญาติผู้พี่ที่บิดามารดาเสียชีวิตไปแล้วผู้หนึ่ง นางเป็นสตรีทำงานบนเรือสำราญ พวกนางยังเคยหัวเราะขบขันเสวี่ยเยี่ยนเพราะเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
“ญาติผู้พี่ของข้าก็เป็นคนที่มีชีวิตรันทดคนหนึ่งเช่นกัน ความจริงหลายปีก่อนตอนที่พวกเราออกไปซื้อของด้วยกันจึงทำให้ได้พบกับญาติผู้พี่ที่มิได้เจอกันนานแล้วเข้า นานๆ ทีข้าก็ติดต่อกับนางไปบ้าง หลายวันก่อนข้าอดที่จะส่งจดหมายไปถามนางมิได้ว่า…ว่ามีวิธีใดจะทำให้บุรุษมาหาเราถึงห้องบ้าง…”
หย่วนซานฟังแล้วอึ้งไป
เสวี่ยเยี่ยนผลักนางคราหนึ่ง “นี่ ข้าไม่พูดแล้ว เจ้าต้องดูถูกข้าเป็นแน่!”
“ไม่ เจ้ารีบพูดมาเถิด”
เสวี่ยเยี่ยนหน้าแดงกว่าเดิม นางไม่กล้ามองตาหย่วนซานแล้ว “ญาติผู้พี่ข้าส่งยาลูกกลอนชนิดหนึ่งมาให้ ข้าใช้แล้วสองครั้ง นายท่านรองก็มาข้าถึงสองครั้ง” เอ่ยถึงตรงนี้ก็เหลือบตาขึ้นมองหย่วนซานคราหนึ่ง “ข้ามิได้ขอสิ่งใด แค่อยากจะมีบุตรสักคนก็พอ…”
หย่วนซานใจเต้นรัวเร็วขึ้นมาทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ในที่สุดก็อดถามออกมามิได้ว่า “ยาลูกกลอนนั่น เจ้าแบ่งให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่ ข้าจะซื้อ!”
เสวี่ยเยี่ยนไม่พอใจขึ้นมา “หย่วนซาน เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นใด ข้าจะรับเงินเจ้าได้งั้นหรือ? อีกอย่าง นั่นเป็นยาสูตรลับเฉพาะของญาติผู้พี่ นางกำชับหนักหนาว่ามิอาจแพร่งพราย”
สีหน้าหย่วนซานเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เสวี่ยเยี่ยนถอนหายใจออกมา “เช่นนั้นข้าจะแบ่งให้เจ้าก่อนสามเม็ดแล้วกัน ญาติผู้พี่นางมีข้าเป็นญาติเพียงคนเดียวแล้วจึงดีต่อข้ายิ่ง”
“ขอบใจเจ้ามาก” ดวงตาหย่วนซานเป็นประกายขึ้นมา แต่ก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย “ยานี้มีผลต่อสุขภาพของบุรุษหรือไม่”
นางนั้นชอบซื่อจื่อด้วยใจจริง แต่นางก็มิได้ขออันใดมาก แค่มีบุตรสักคนข้างกายได้ใช้ชีวิตอยู่กับซื่อจื่อตลอดไปนางก็พอใจแล้ว
“ไม่เลย กลิ่นหอมของมันเพียงทำให้บุรุษระลึกถึงเจ้าเท่านั้น มิได้ให้กินเสียหน่อยจะมีโทษต่อสุขภาพได้อย่างไร หากเป็นเช่นนั้นจริง แม้ตีข้าให้ตายข้าก็คงมิกล้าใช้”
หย่วนซานจริงวางใจลงได้
เสวี่ยเยี่ยนจึงหาโอกาสนำยาลูกกลอนสามเม็ดนั้นมาให้นางทั้งเอ่ยกำชับว่า “ให้ใส่ยานี้ไว้ในถุงหอมพกติดกาย เมื่อจะใช้ก็บีบให้แตก บุรุษต้องดื่มสุราจึงจะเห็นผล หากตอนนั้นเขาได้กลิ่นนี้ก็จะกระทำทุกอย่างตามแต่ใจเจ้าทั้งสิ้น”
หย่วนซานกำขวดกระเบื้องที่บรรจุยาลูกกลอนนั้นไว้แน่นแล้วพยักหน้า
วสันตฤดูมาเยือน หมอกควันที่ติดตามมากับเรื่องการลอบสังหารนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป งานเลี้ยงฉลองต่างๆ ก็เริ่มมีมากขึ้น
หลัวเทียนเฉิงมักจะกลับมาในยามพลบค่ำเสมอ บางคราเขาก็หลีกเลี่ยงการดื่มสุรากับสหายร่วมงานมิได้
วันนี้เขากลับช้ากว่าปกติอยู่สักหน่อย ดวงดารากระจายเต็มท้องฟ้า สายลมยามวสันต์หอบมาปะทะหน้า กลิ่นหอมของดอกไม้อบอวลจนทำให้คนแทบลุ่มหลงมัวเมา แต่ใจของเขากลับหนักอึ้งอยู่ไม่น้อย
ดูเหมือนว่ารัชทายาทจะมีการเคลื่อนไหวบางอย่างแล้ว
เพราะเรื่องราวดำเนินไปไม่เหมือนชาติก่อน เขาจึงไม่รู้ว่ารัชทายาทจะทำเรื่องใด แม้ไม่คิดก็ยังรู้ว่าการที่องค์ชายหลายพระองค์ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องและเข้าดูแลงานในหกกรม หากคืนวันผ่านไปนานรัชทายาทก็จะไร้ตัวตนไปในที่สุด
เกรงว่ารัชทายาทคงทนได้อีกไม่นานแล้ว
หากรัชทายาทคิดกบฏจะต้องถูกปลดแน่ เมื่อตำแหน่งรัชทายาทไม่มั่นคง ใจคนก็จะเริ่มคลอนแคลนเกรงว่าชิงเป่ยจะฉวยโอกาสนี้เข้ามาทำสงครามเอาได้ หากเป็นเช่นนั้น ไม่แน่ว่าเขาก็คงต้องเข้าร่วมสมรภูมิรบในครั้งนี้
ออกไปสู้รบนั้นเขาไม่กลัวแต่หากสงครามได้เริ่มขึ้นก็อาจจะเป็นปีหรือสองปีมิอาจตอบ เจี๋ยวเจี่ยวไร้บุตรข้างกาย นานวันเข้าเกรงว่าจะต้องถูกผู้คนวิจารณ์ต่อว่า
แต่นางยังมิหยุดกินยาทั้งมิอาจเร่งให้นางหายได้
หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วขึ้นอย่างยุ่งยากใจ
สายตามองไกลๆ ไปเห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตู ในมือถือตะเกียงครอบแก้ว อาภรณ์พัดปลิวไปตามลมทำให้เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีรูปร่างบอบบางผู้หนึ่ง ใจเขาพลันสั่นไหวขึ้นมา ความสุขอันยากจะบรรยายเอ่อล้นขึ้นเต็มหัวใจ
เจี๋ยวเจี่ยวถึงกับมารอเขาที่หน้าประตูเชียวหรือ!
เขารีบก้าวเท้าเดินเข้าไปโดยเร็ว กระทั่งได้เห็นหน้าสตรีผู้นั้นชัดๆ เขาก็ถึงกับอึ้งงันไป