หลังจากที่แม่นมไปส่งจดหมายตามที่นางบอก เจินจิ้งก็เริ่มลังเลขึ้นมา
ครั้งนี้นางต้องการหยั่งเชิงองค์ชายหก
หากองค์ชายหกรู้สึกกับนางแตกต่างจากผู้อื่นและมีความรักให้นางอยู่หลายส่วนจริง แม้เฉยชาต่อกันมาหลายวันแล้ว แต่หากได้ยินว่านางรู้สึกไม่สบายครรภ์ อย่างไรก็ต้องแสดงออกอันใดบ้างเป็นแน่
อาจจะส่งยาและของบำรุงหรือเชิญหมอหลวงมา อย่างน้อยก็ให้บ่าวไพร่ที่คอยปรนนิบัตินางได้เห็นสักหน่อยว่านางยังคงเป็นที่โปรดปรานขององค์ชายหกอยู่
หากแม่นมที่ไปส่งจดหมายกลับมามือเปล่าเล่า…
เจินจิ้งไม่กล้าคิดถึงความเป็นไปได้นี้เลย และไม่อยากจะคิดเช่นนั้นด้วย
นางเฝ้ารออยู่ท่ามกลางกองไฟที่เผานี้โดยไม่ยอมแตะน้ำแกงพิราบซานเย่าที่ห้องครัวเล็กทำมาให้นางโดยเฉพาะ กระทั่งมันเย็นชืดจนเกิดเป็นแผ่นหนังบางๆ ชั้นหนึ่งอยู่บนผิวน้ำแกง
เจินจิ้งมองแล้วรู้สึกคลื่นไส้จึงโบกมือเอ่ยว่า “รีบยกออกไปเดี๋ยวนี้!”
แม้บ่าวไพร่ที่คอยปรนนิบัติเจินจิ้งจะเห็นท่าทีอันเหนือความคาดหมายขององค์ชายหกในวันนั้นแล้วก็ตาม แต่พวกนางถูกเลือกให้มาปรนนิบัติเจินจิ้งตั้งแต่แรกแล้ว พวกนางจึงมีความสัมพันธ์แบบ ‘มีเกียรติก็มีเกียรติด้วยกัน ตกต่ำก็ตกต่ำด้วยกัน’ นับตั้งแต่นั้นมา จึงไม่กล้ามีใจดูแคลนนางแม้แต่น้อย เมื่อหนึ่งในนั้นได้ยินนางสั่งก็รีบยกออกไปโดยไว
ไม่นาน แม่นมผู้นั้นก็กลับมาด้วยสีหน้ายินดี เมื่อเห็นนางก็ย่อกายคารวะ “บ่าวขอแสดงความยินดีกับนายหญิงด้วยเจ้าค่ะ”
“มีเรื่องอันใดน่ายินดีเล่า” เจินจิ้งใจเต้นตึกตักขึ้นมา มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่นโดยไม่รู้ตัว
“ประเดี๋ยวองค์ชายจะเสด็จมาเจ้าค่ะ”
“ห๊ะ?” เจินจิ้งร้องออกมาด้วยความตกใจและไม่อยากเชื่อ
บ่าวไพร่ในห้องรวมถึงแม่นมต่างก็คุกเข่าลงเอ่ยว่า “ยินดีกับนายหญิงด้วยเจ้าค่ะ”
แม่นมที่ไปส่งจดหมายให้องค์ชายก็เอ่ยอย่างโล่งอกออกมาว่า “นายหญิง ในพระทัยขององค์ชายมีท่านอยู่จริงๆ เจ้าค่ะ”
เจินจิ้งชำเลืองมองนางคราหนึ่ง “เจ้ากล้าเอ่ยถึงพระทัยขององค์ชายส่งเดชเชียวหรือ”
แม้นนางจะกล่าวเช่นนี้แต่น้ำตากลับร่วงหล่นออกมาจากขอบตาแล้ว นางไม่อยากให้ผู้อื่นเห็นจึงเบี่ยงหน้าอีกทางแล้วยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับ
บ่าวไพร่ต่างแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แล้วเอ่ยแสดงคำยินดีซ้ำอีกครั้ง
เจินจิ้งอารมณ์ดีขึ้นมากจึงตกรางวัลให้สาวใช้คนละสองตำลึง และให้กำไลทองแก่แม่นมที่ไปส่งจดหมาย
นางเปลี่ยนอาภรณ์แล้วประทินโฉมใหม่อีกครา เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งให้สาวใช้นำกล่องไม้สลักลายกิ่งดอกไฮ่ถังที่ใส่บุปผาโลหะ[1]มา นางเลือกอย่างตั้งใจอยู่นาน สุดท้ายก็หยิบบุปผาโลหะรูปดอกเหมยขึ้นมาติดตรงระหว่างคิ้วตนอย่างบรรจง
แม้นบุปผาโลหะรูปดอกเหมยนั้นจะพบเห็นได้ทั่วไป แต่กลับเป็นสีเขียว มันจึงช่วยขับให้ใบหน้านางดูงดงามเฉิดฉันราวเทพธิดาก็มิปาน
หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วยามองค์ชายหกก็มาถึงที่นี่ดั่งคาดไว้และมีนางเจี่ยงนำทางมาเช่นเดิม
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า บุตรสาวอนุผู้ต่ำต้อยนี้จะทำให้องค์ชายผู้สง่างามมีพระทัยให้ได้จริงๆ ท่านพี่เคยบอกว่าหากเจินจิ้งคลอดบุตรผู้นี้ออกมา ตำแหน่งพระชายารองคงมิหนีไปไหนแน่ ดูท่าท่านพี่คงพูดไม่ผิดแล้ว
แม้ตำแหน่งพระชายารองจะเป็นเพียงอนุ แต่อนุของเชื้อพระวงศ์ย่อมแตกต่างจากตระกูลอื่นๆ ขอเพียงได้เป็นพระชายารองก็จะกลายเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์ขึ้นมาทันที
นางเจี่ยงรู้สึกขัดใจขึ้นมาเล็กน้อย
นางมิได้รู้สึกเบิกบานใจเช่นกับท่านพี่แน่ นางไม่เคยจงใจรังแกทารุณบุตรอนุผู้นี้เลยสักครั้ง แต่ไม่ทราบเหตุใดนางถึงได้ใฝ่สูงเพียงนั้น นางไม่หวังให้เจินจิ้งช่วยผลักดันญาติพี่น้อง แค่มิเป็นตัวถ่วงก็พอแล้ว
เจินจิ้งถวายพระพรต่อองค์ชายหก ทั้งยังจงใจหันไปทักทายนางเจี่ยงโดยเฉพาะ “ท่านแม่ก็มาด้วยหรือ”
แม้นางเจี่ยงจะยิ้มแย้มแต่กลับลอบด่านางอยู่ในใจ รอให้พระชายาขององค์ชายหกเข้าตำหนักมาเสียก่อนเถิด คงถึงคราเจ้าได้พบเคราะห์ร้ายบ้าง!
กระทั่งภายในห้องเหลือเพียงองค์ชายหกกับเจินจิ้ง นางก็ซบลงในอกขององค์ชายหกอย่างคนตัวอ่อนปวกเปียก “องค์ชาย หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ทรงเคืองหม่อมฉันเสียแล้ว”
องค์ชายหกโอบไหล่นางไว้แล้วระบายยิ้มอย่างคนเกียจคร้านพลางเอ่ยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ในครรภ์ของเจ้ามีบุตรของข้าอยู่แท้ๆ”
เจินจิ้งชอบรอยยิ้มเช่นนี้ของเขาที่สุด รอยยิ้มนี้บ่งบอกว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ที่ผ่อนคลาย นางยื่นมือออกไปผลักเขาเบาๆ แล้วเอ่ยตัดพ้อว่า “ที่แท้ที่องค์ชายดีต่อหม่อมฉันมากถึงเพียงนี้เป็นบุตรในครรภ์นี่เอง”
องค์ชายหกเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม ในดวงตามีแววล้ำลึกชนิดหนึ่งอยู่ “จิ้งเหนียงพูดผิดแล้ว เพราะเป็นของบุตรของเจ้าต่างหาก ข้าถึงชอบมากเพียงนี้”
วาจาที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้เจินจิ้งไม่สงสัยในความโปรดปรานขององค์ชายหกอีก
บุปผางามเบ่งบานในใจนางขึ้นมาทันที มือนุ่มนิ่มคล้ายไร้กระดูกนั้นลูบไล้อยู่บนแผ่นหลังขององค์ชายหก ค่อยๆ เคลื่อนลงมาที่เอวสอบแล้วปลดสายรัดเอวของเขาออก
องค์ชายหกรู้สึกตกใจอยู่บ้าง
ฟ้ายังสว่างโร่อยู่แท้ๆ เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจินจิ้งที่นับว่าเป็นคุณหนูมีชาติตระกูลจะใจกล้าถึงเพียงนี้ อีกอย่างนางก็ตั้งครรภ์อยู่ด้วย
ข้ออ้างที่ว่าไม่สบายนั้นคนทั้งสองต่างรู้กันดีแก่ใจ เจินจิ้งย่อมไม่กลัวว่าองค์ชายหกจะมีโทสะเพราะเรื่องนี้แน่
มารดาเคยกล่าวไว้ว่า หากบุรุษมีเจ้าอยู่ในใจ ต่อให้เจ้าผิดก็กลับเป็นถูกได้ หากไม่มีเจ้าในใจ เจ้าถูกก็กลายเป็นผิดได้เช่นกัน
จะทำให้บุรุษผู้หนึ่งมีใจให้เจ้าได้อย่างไรนั้นหรือ
หากเจ้าทำตัวแข็งทื่อดั่งท่อนไม้ แต่เขากลับยังจดจำแต่เจ้า…นั่นคงเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดยิ่ง
มิเช่นนั้นเหตุใดบุรุษมากมายที่มีหญิงงามดุจบุปผาอยู่ในเรือนแท้ๆ กลับยังชมชอบไปสถานที่เช่นนั้นเล่า
ยามนั้นนางฟังวาจานี้แล้วรู้สึกแสลงหูยิ่ง แต่หลังจากไปอยู่ท่ามกลางสตรีมากมายในตำหนักองค์ชาย แต่มีเพียงนางผู้เดียวที่ได้รับความโปรดปราน นางจึงเริ่มเข้าใจวาจาเหล่านั้นของมารดา
เจินจิ้งถอดสายรัดนั้นออกมาอย่างชำนาญว่องไวแต่กลับถูกองค์ชายหกจับมือไว้ “จิ้งเหนียง เจ้าตั้งครรภ์อยู่นะ”
เจินจิ้งหน้าแดงขึ้นมาโดยพลัน นางก้มหน้าลงแต่กลับเห็นได้ชัดว่าสีแดงเรื่อข้างแก้มนั้นค่อยๆ ลุกลามไปถึงใบหู ลำคอขาวอมชมพู และลามเลื้อยต่ำลงมาเรื่อยๆ ซึ่งมีอาภรณ์ปิดบังไว้จึงมิอาจมองเห็นได้
ภาพอันจำเริญตานี้ งดงามยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งปวง
เสียงของนางแผ่วต่ำจนฟังมิได้ยินแต่มันกลับลอยเข้าไปในหูขององค์ชายหกอย่างชัดเจน “แม้ตั้งครรภ์ก็มีวิธีปรนนิบัติองค์ชายได้…”
องค์ชายหกมิใช่บุรุษผู้ประพฤติอยู่ในกรอบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อได้ยินวาจานี้เขาก็รู้ทันทีว่ามันคือวิธีใด จึงเกิดความรู้สึกดูแคลนขึ้นมาแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลกใจด้วยเช่นกัน
นางเป็นคุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์ เวลานี้ก็กำลังตั้งครรภ์ด้วย แต่กลับคิดเลียนอย่างวิธีที่สตรีชั้นต่ำที่สุดใช้มาปรนนิบัติเขา ทั้งยังเป็นเวลากลางวันอีก หากเอ่ยกันตามตรงแล้ว ขอเพียงเป็นบุรุษก็ย่อมต้องเกิดความรู้สึกตื่นเต้นอันยากจะบรรยายขึ้นอย่างแน่นอน
บริเวณนั้นของเขาก็มีการตอบสนองขึ้นมา
เจินจิ้งเห็นเช่นนั้นก็ดีใจยิ่ง จึงยื่นมือนุ่มเข้าไปจับไว้
องค์ชายหกถอนหายใจออกมาแล้วผลักนางออก
“องค์ชาย?”
“เชื่อข้า ประเดี๋ยวจะกระเทือนถึงบุตรได้” องค์ชายหกผลิยิ้มอย่างคนเกียจคร้านอีกครั้ง ความปรารถนานั้นกลับมลายหายไปแล้ว
เพื่อแสร้งทำเป็นเขินอายต่อไปเจินจิ้งจึงมิได้เงยหน้าขึ้น นางจึงมิเห็นประกายเย็นเยียบในนัยน์ตาดำขลับนั้นของเขา ทำให้เข้าใจไปว่าองค์ชายหกให้ความสำคัญกับบุตรในครรภ์ตนอย่างยิ่งจึงไม่อนุญาตให้นางปรนนิบัติดูแล นางจึงรับคำเสียงแผ่ว ชั่วพริบตาก็หันไปกล่าวว่า “องค์ชาย วันนี้อากาศดียิ่ง ในเมื่อพระองค์มาถึงที่นี่แล้ว หากมิรีบร้อนก็ไปเดินเล่นกับหม่อมฉันสักหน่อยเถิดเพคะ หม่อมฉันอุดอู้อยู่ในห้องนานแล้ว อยากจะออกไปรับลมบ้าง”
ระยะนี้เจินเมี่ยวมักจะพานางเวินออกมาเดินเล่นในส่วนอยู่บ่อยๆ นางก็อยากจะรู้เช่นกันว่าหากเจินเมี่ยวเห็นองค์ชายหกไปเดินเล่นกับตนจะมีสีหน้าเช่นไร!
ครั้งนี้องค์ชายหกกลับมิได้ปฏิเสธทั้งยังตอบรับอย่างร่าเริง
ยามนี้ดอกเหมยกำลังบานสวย คนทั้งสองเดินมุ่งไปทางป่าเหมยที่อยู่ภายในสวน แม่นมและนางกำนัลสองสามคนคอยเดินตามหลัง นางรู้สึกเบิกบานอย่างที่สุด
พวกเขาได้พบกับเจินเมี่ยวเข้าจริงๆ
เจินเมี่ยวกลัวว่าหากนางเวินนอนอยู่ในห้องมากเกินไปจะไม่เป็นผลดีต่อการอาการป่วย เมื่อเห็นว่าอากาศดีมากขึ้นทุกวันจึงพานางออกมาเดินเล่นอยู่บ่อยๆ
ครั้นเจินเมี่ยวเห็นดอกเหมยขาวที่กำลังบานสะพรั่งก็ตื่นเต้นขึ้นมา นางเอ่ยกับนางเวินด้วยความกระตือรือร้นว่า “ท่านแม่ ข้าจะเก็บดอกเหมยสักหน่อย วันนี้จะทำน้ำแกงขนมเปี๊ยะดอกเหมยให้ท่านกิน”
พูดถึงตรงนี้นางก็นึกถึงอาหารขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างจึงเอ่ยเสริมว่า “และก็ไก่ดอกเหมยด้วย”
เมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นของบุตรสาว นางเวินก็ยิ้มออกมา “น้ำแกงขนมเปี๊ยะดอกเหมยข้าเคยกินแล้ว แต่ไก่ดอกเหมยคืออันใดกัน เราสามารถนำดอกเหมยไปผัดกับเนื้อไก่กินได้เลยหรือ”
เจินเมี่ยวส่ายหน้าแล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “มิใช่ ท่านแม่ แม้ว่ามันจะชื่อไก่ดอกเหมย แต่ความจริงกลับมิได้ใส่ดอกเหมยเลย แค่หั่นเนื้อไก่ให้บางอย่างที่สุดแล้วผัดใส่ไส้กรอกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ กับเห็ดหูหนู กินคู่กับยอดอ่อนถั่วลันเตา หน้าตามันเหมือนกลีบดอกเหมยขาวที่กองอยู่รวมกันไม่มีผิด อาหารชนิดนี้รสชาติไม่จัดจ้านเหมาะกับท่านในตอนนี้ที่สุด”
“ยุ่งยากเพียงนี้เจ้าก็ช่างคิดออกมาได้” แววตาที่นางเวินมองเจินเมี่ยวนั้นดูอ่อนโยนขึ้นทุกที แต่เมื่อคิดไปถึงหลานสาวที่จากไปก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาอีก
มาคิดดูแล้วที่พี่สะใภ้รองย้ายออกไปก็คงเพราะคิดตำหนินางอยู่ในใจเป็นแน่
เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นจึงจงใจกระโดดยื้อดอกเหมยขาวที่อยู่สูงเกินกว่าตนจะเอื้อมถึง นางกระโดดไปพลางร้องพูดไปพลางว่า “โอ้โห สูงเหลือเกิน ท่านแม่ ท่านสูงกว่าข้า มาช่วยข้าทีเถิด”
เจินเมี่ยวอยากจะเบี่ยงเบนความสนใจของนางเวิน ยั่วเย้าให้นางยิ้ม และเมื่อนางเวินเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาแล้วเดินไปช่วยบุตรสาว
ไหนเลยจะคาดคิดว่าความเบิกบานอย่างที่สุดนี้จะทำให้เกิดโศกนาฏกรรม ตอนที่เท้าเจินเมี่ยวแตะถึงพื้นก็เผลอไปเหยียบชายกระโปรงตนเข้าทำให้นางล้มคะมำลงไปกับพื้น
ดอกเหมยขาวที่ถูกนางกระชากดึงเมื่อครู่ต่างร่วงลงมาใส่ศีรษะนางเต็มไปหมด
หน้าเจินเมี่ยวหมอบติดกับพื้นจนได้กลิ่นหอมของดิน นางลอบเอ่ยในใจว่าเคราะห์ดียิ่งที่ไม่มีผู้ใดเห็น เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการสร้างสีสันให้ท่านแม่ได้หัวเราะแล้วกัน และที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองที่สุดคือหน้ามิได้กระแทกพื้น ไม่มีการเสียโฉมแต่อย่างใด!
นางเวินอึ้งเป็นระกาไม้ไปทันที ครู่ใหญ่จึงมีสติคืนมา นางร้องขึ้นด้วยความตกใจ
เจินเมี่ยวรีบเงยหน้าขึ้น กลีบดอกเหมยที่ติดอยู่บนศีรษะร่วงหล่นผ่านหน้านางไปอย่างช้าๆ
นางผลิยิ้มออกมา “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร ดูสิ มิได้เสียโฉมสักนิด!”
นางเอ่ยจบก็มองตะลึงไปเบื้องหน้าด้วยอาการคล้ายคนถูกอัสนีฟาดเข้าใส่กระนั้น
ครู่หนึ่ง องค์ชายหกที่เพิ่งหาเสียงของตนเองเจอฝืนยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า “เจียหมิง เจ้าอยากจะได้ดอกเหมยกิ่งใด ให้ข้าหักให้เถิด”
เจินเมี่ยวก้มหน้าลงทันที
ยามนี้นางอยากจะแสร้งเป็นลมไปเสีย ไม่ทราบจะทันหรือไม่
เหตุใดทุกครั้งที่พบองค์ชายหกถึงต้องโชคร้ายเสมอ! นางกับเขามีดวงชะตาขัดกันหรือไร
เจินเมี่ยวสูดจมูกตนคราหนึ่ง ในกลิ่นหอมของดินนางกลับได้กลิ่นมูลนกปนอยู่ด้วย
เหลือเกินจริงๆ!
นางยกกระดกตัวขึ้นด้วยยืนแล้วยื่นมือชี้ออกไปในทันที มือนางชี้ไปที่กิ่งดอกเหมยขาวสูงที่ดีที่สุดกิ่งหนึ่งพลางเอ่ยว่า “กิ่งนั้น”
องค์ชายหกหักมันลงมา นางยื่นมือรับไว้ เอ่ยขอบคุณแล้วรีบประคองนางเวินที่มิทันได้พูดอันใดจากไปอย่างรวดเร็ว
ทิ้งไว้เพียงองค์ชายหกที่กำลังจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็ชะงักไว้ สุดท้ายก็หัวเราะร่าออกมาเสียงดัง
เจินจิ้งมององค์ชายหกที่กำลังหัวเราะเสียงดังแล้วกำมือแน่นเสียจนเล็บแหลมยาวนั้นจิกลงไปบนฝ่ามือตน
นางไปได้อย่างไร มีสิทธิ์อันใด นางยังไม่ทันเห็นว่าองค์ชายหกมาเดินเล่นเป็นเพื่อนตนเลยด้วยซ้ำ!
เจินจิ้งได้แต่ลอบกลืนโลหิตลงท้องไปเงียบๆ อารมณ์เดินเล่นรอบสวนของนางพลันหมดไปด้วยเช่นกันจึงหันไปเอ่ยกับองค์ชายหกว่า “องค์ชาย หม่อมฉันรู้สึกหนาวเพคะ เรากลับกันเถิด”
องค์ชายหกเลิกคิ้วขึ้น “ไก่ดอกเหมยนั่นเป็นอาหารแปลกใหม่ ข้าต้องไปชิมให้ได้ เออ พวกเจ้าสองพี่น้องยังมิคืนดีกันใช่หรือไม่ เช่นนั้นเจ้าก็มิต้องไปจะดีกว่า อากาศเย็นแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
เจินจิ้ง “…”
——
[1] บุปผาโลหะ หรือฮวาเตี้ยน เป็นเครื่องประดับชนิดหนึ่งของสตรีโบราณมีสามสีคือสีแดง เขียว เหลือง แต่ที่นิยมมากที่สุดคือสีแดง บุปผาโลหะทำมาจากทอง เงินและโลหะอื่นๆ โดยจะทำเป็นรูปดอกไม้เพื่อไว้ประดับบนใบหน้า นิยมมากในสมัยราชวงศ์ถัง นอกจากทำเป็นรูปดอกไม้แบบต่างๆ แล้วยังมีรูปทรงใหม่ๆ เช่นนก ปลา เป็ดเป็นต้น
MANGA DISCUSSION