วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 304 ผู้อยู่เบื้องหลัง
องค์ชายหกอึ้งงันไปตามด้วยอาการขบกันฟัน แล้วขว้างถ้วยชาที่ดื่มหมดแล้วออกไป เอ่ยด่าทอพลางยิ้มขำว่า “เหตุใดต้องเป็นข้า”
คนทั้งสองนัดพบพูดคุยกันเช่นนี้มานานแล้ว แม้นจะสงวนท่าทีบางอย่างไว้อยู่แต่เรื่องอุปนิสัยนั้นกลับเข้ากันได้ดียิ่ง องค์ชายหกชื่นชมความสามารถของหลัวเทียนเฉิง หลัวเทียนเฉิงเผชิญความตายมาครั้งหนึ่งแล้ว ความคิดที่มีต่อจักรพรรดิและขุนนางจึงมิได้เป็นอย่างคนทั่วไป ยามพบหน้ากันจึงทำตนตามอัธยาศัยไปโดยมิรู้ตัวแต่ท่าทีเช่นนี้กลับทำให้องค์ชายหกรู้สึกผ่อนคลาย หากมิใช่ยามพูดคุยเรื่องสำคัญ การหยอกล้อเช่นนี้ก็มินับว่ากระทำเกินไป
เขายื่นมือออกมารับถ้วยกระเบื้องเคลือบลายครามที่ลอยมาไว้แล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “หม่อมฉันมีภรรยาแล้ว ขอองค์ชายโปรดทรงเห็นใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายหกแค่นยิ้มคราหนึ่ง “มิใช่มีแต่เจ้าที่มีภรรยา ผู้ใดก็มีภรรยาทั้งสิ้น!”
หลัวเทียนเฉิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ข้อสำคัญที่สุดคือผู้คนย่อมเชื่อถือมากกว่าหากคนผู้นั้นเป็นองค์ชาย”
องค์ชายหกอึ้งอยู่นานจึงพ่นวาจาประโยคหนึ่งออกมาได้ว่า “รีบไสหัวไปหาภรรยาเจ้าเถิด!”
ไม่นานสตรีที่ยกชาผู้นั้นก็เดินเข้ามาเก็บถ้วยชาเหล่านั้นอย่างเงียบเชียบ
องค์ชายหกเอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า “ซู่ซู่”
สตรีที่ถูกเรียกว่า ‘ซู่ซู่’ นั้นวางมือลงแนบกาย ท่าทีเคารพนบน้อมยิ่ง “องค์ชายมีสิ่งใดรับสั่งเพคะ?”
ทุกการเคลื่อนไหวล้วนไม่มีท่าทีสวยงามเย้ายวนแม้แต่น้อยแต่กลับคล้าก้อนหินอันเงียบงันก้อนหนึ่งหรือไม่ก็กระบี่ที่ยังมิทันได้ออกจากฝัก
องค์ชายหกพอใจซู่ซู่ผู้นี้ยิ่ง
คนที่สามารถให้มาอยู่ที่นี่ได้นั้นมีความสำคัญยิ่ง ซู่ซู่เป็นองครักษ์ลับที่เขาฝึกมาอย่างดี นางจึงภักดีต่อเขายิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
“ซู่ซู่ เจ้าจงจำไว้ หากมีวันนั้นอย่างที่หลัวซื่อจื่อกล่าวมา เจ้าต้องบอกว่าเจ้าเป็นคนของเขา”
“องค์ชาย?” ซู่ซู่ตกใจขึ้นมาแต่ก็กลับมามีท่าทีนิ่งขรึมเช่นเดิมอย่างรวดเร็ว แล้วรับคำด้วยความนบน้อม
องค์ชายหกจึงสะบัดมือคราหนึ่ง “เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้าก็ไปได้แล้ว”
เมื่อซู่ซู่จากไปแล้ว เขาก็ประสานมือไว้ด้วยกัน พาดไว้หลังศีรษะแล้วแหงนหน้าขึ้น ผลิยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
เขาอยากจะเห็นท่าทีกุมขมับของหลัวซื่อจื่อจนทนไม่ไหวแล้ว ทำอย่างไรดี?
เจ้าหนุ่มนั่นช่างอาจหาญนัก ถึงขนาดกล้าขอให้เขาแบกรับทุกอย่างออกมาตรงๆ หึ เจ้าตายแน่!
วันถัดมา ข้อมูลชุดหนึ่งก็มาปรากฏอยู่บนโต๊ะขององค์ชายหก
เขาเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างไม่เร็วไม่ช้าพลางอ่านเนื้อความในจดหมายนั้น
คนที่สั่งให้สังหารคนนั้นย่อมไม่ใช่จ้าวเฟยชุ่ย นางแค่เพียงร้องไห้โวยวายสองสามครา ว่าที่แม่ยายซึ่งรักบุตรสาวเป็นที่สุดผู้นั้นอดสั่งมือไม่ได้เสียแล้ว
กล่าวไปแล้ว แผนยืมมือฆ่าคนนี้ก็ไม่เลวเลย คุณหนูน้อยที่จำต้องแต่งงานกับบุรุษขายโลงศพเพราะชื่อเสียงที่ป่นปี้จึงคิดฆ่าตัวตายนั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง หากมิใช่เพราะพี่ชายแท้ๆ ของนางไม่เชื่อ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสงสัยขึ้นมาแน่ เรื่องนี้อย่างไรก็ดีกว่าการทำร้ายเจินจิ้งโดยตรง เพราะเจินจิ้งเป็นอนุที่เขารักใคร่ทั้งยังตั้งครรภ์อยู่อีก หากเกิดเรื่องขึ้นเขาแค่ตรวจสอบก็จะพบเบาะแสอย่างแน่นอน
ทว่าการคร่าชีวิตคุณหนูน้อยผู้หนึ่งเพียงเพื่อกดข่มเจินจิ้ง แย่งชิงความรักแทนบุตรสาวโดยไม่คำนึงว่าเขาอาจผิดใจกับหลัวเทียนเฉิงผู้กำลังมีอำนาจมากอยู่ในขณะนี้เลยนั้นมันทำให้คนรู้สึกไร้วาจาจะกล่าวจริงๆ
องค์ชายหกนวดคลึงขมับตน รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย
เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาที่ตอนนั้นเลือกฝูงสุกรโง่เง่าเหล่านี้มาเป็นพวกเพียงเพราะอยากได้รับการสนับสนุนค้ำจุนจากหวงโฮ่ว
การที่ได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ของจวนมู่เอินโหวนั้นเป็นเพราะพระกรุณาของจ้าวหวงโฮ่ว เดิมตระกูลพวกเขาก็เป็นเพียงเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่ไร้ซึ่งศักดินา แรกเริ่มที่มู่เอินโหวซื่อจื่อแต่งภรรยา ต้นตระกูลยังคงดูแคลนเขาด้วยซ้ำ เมื่อผ่านการดูแลจัดการมาสิบกว่าปี ยามนี้แม้นแข็งแกร่งขึ้นมาบ้างแล้วแต่มู่เอินโหวชราแล้ว คุณชายผู้สืบทอดคนใหม่ของจวนมู่เอินโหวกลับยังคงเป็นเพียงเด็กน้อยที่กำลังจะเติบโตเท่านั้น เมื่อไม่มีบุรุษคอยนำทาง การที่ว่าที่แม่ยายของเขากระทำเรื่องสิ้นคิดขึ้นนั้นก็สามารถเข้าใจได้
สายตาองค์ชายหกมองตกไปยังอักษรอีกแถวหนึ่ง
มู่เอินโหวซื่อจื่อที่ล่วงลับไปแล้ว ผู้ซึ่งเป็นว่าที่พ่อตาของเขานั้นมีอนุอยู่ผู้หนึ่ง นางเป็นพี่น้องตระกูลเดียวกันกับพระชายาขององค์ชายสาม
แม้อนุผู้นั้นจะเป็นเพียงบุตรอนุ แต่หลังจากพระชายาขององค์ชายสามสิ้นไป นางก็ขออนุญาตฮูหยินใหญ่ไปไหว้ศพพระชายาด้วย
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นในยามปกติย่อมไม่มีอันใด แต่ว่าที่แม่ยายของกลับมาลงมือตอนนี้ หากมิใช่เพราะเขาลอบติดต่อกับหลัวเทียนเฉิงมานาน เกรงว่าการกระทำครั้งนี้คงเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงของเขาอย่างหนึ่งแน่ ทำให้เขาสงสัยความสัมพันธ์ของพวกเขาขึ้นมา
องค์ชายหกแค่นยิ้มเย็น
พี่สามที่แสนดีของเขาเริ่มคิดแผนกลั่นแกล้งเขาตั้งแต่ยังมิทันได้ฝังศพภรรยาเลยเชียวหรือ!
เขายกพู่กันขึ้นมาเขียนอักษรตัวเล็กเท่าหัวแมลงวันสี่คำ แล้วยัดใส่ไว้ในเม็ดขี้ผึ้ง[1] เมื่อผลึกร่องรอยเรียบร้อยแล้วก็สั่งให้องครักษ์ลับไปส่ง
หลัวเทียนเฉิงได้รับจดหมายไร้นามที่เขียนอักษรเพียงสี่คำว่า ‘ใช้แผนซ้อนแผน’ เมื่อพลิกไปดูด้านหลังก็มีอักษร ‘ซาน[2]’ เขาครุ่นคิดเพียงครู่ก็เข้าใจความหมายขององค์ชายหก
เกรงว่าคุณหนูผู้เป็นญาตินั่นคงต้องจบด้วยการฆ่าตัวตายแล้ว
หลัวเทียนเฉิงจึงเชิญเวินมั่วเหยียนมาพบ
“ซื่อจื่อ คนร้ายที่ฆ่าน้องสาวข้าคือผู้ใดกัน?”
ภายในห้องมีเพียงพวกเขาสองคน ด้านนอกมีองครักษ์ลับคอยเฝ้าอยู่ หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยตามตรงว่า “ไม่ทราบว่าญาติผู้พี่ต้องการถามถึงผู้ลงมือหรือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้น้องสาวท่านต้องตาย”
“ผู้ลงมือคือใครเกี่ยวอันใดกับสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้น้องสาวข้าตายเล่า?” ตอนที่เวินมั่วเหยียนเอ่ยคำถามนี้ออกมาก็รู้สึกหนักอึ้งอย่างยิ่ง เขาพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีชนิดหนึ่งขึ้น
หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจแผ่วเบา “เดิมเรื่องนี้ไม่ควรพูดกับท่าน แต่ท่านเป็นญาติผู้พี่ของเมี่ยวเอ๋อร์ ข้าจำต้องมีคำตอบสักอย่างให้ท่าน การตายของญาติผู้น้องเกี่ยวกับการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท”
เพียงได้ยินคำนั้น เวินมั่วเหยียนก็ได้แต่ตกตะลึงอึ้งงัน
มีคนมากมายเท่าใดที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคำคำนั้นแล้วต้องตายไป แต่นั้นยังนับว่าดี คนที่ทำให้ต้นตระกูลต้องดับสิ้นไปทั้งหมดต่างหากที่ผิดมหันต์จนคนต้องจดจำไปตลอดกาล
แม้เขาจะรักถนอมน้องสาวยิ่งแต่หากการสืบเสาะสาเหตุการตายของน้องสาวทำให้ตระกูลทั้งตระกูลต้องตาย คนปกติทั่วไปย่อมไม่มีทางทำแน่
เวินมั่วเหยียนนิ่งเงียบด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกยินดีไม่น้อย
รู้จักกลัวก็ดีแล้ว มิเช่นนั้นคงมีแต่ความยุ่งยากเป็นแน่
“ญาติผู้พี่อยากรู้ว่าผู้ทำลงมือเป็นใครหรือไม่?”
นิ่งเงียบอยู่นาน เวินมั่วเหยียนจึงส่ายหน้า
ครั้งนี้หลัวเทียนเฉิงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เขาคิดว่าคนผู้นี้…เวินมั่วเหยียนจะต้องอยากรู้ให้ได้แน่
เวินมั่วเหยียนมองสายตาอันประหลาดใจของหลัวเทียนเฉิงแล้วยิ้มเยาะตนออกมา เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ซื่อจื่อจะขบขันที่ข้าขี้ขลาดก็ดี อ่อนแอก็ช่าง แต่ตอนนี้ข้ามิจำเป็นต้องรู้แล้ว”
เอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่งแล้วค่อยเอ่ยต่อว่า “รอให้มีสักวันที่ข้ามีความสามารถพอ ขอซื่อจื่อค่อยบอกข้าเถิด”
เขาไม่เชื่อมั่นในตนเองว่าหากพบกับฆาตกรที่ทำร้ายน้องสาวเขาแล้วจะสามารถควบคุมอารมณ์มิไปทวงคืนชีวิตคนได้ เขาไม่กลัวตาย แต่เขากลัวว่าหากตนตายแล้วจะทำให้บิดามารดาและญาติพี่น้องต้องตายไปด้วย
หลัวเทียนเฉิงยิ้ม “ได้ หากญาติผู้พี่คิดว่าเมื่อใดที่ตนควรทราบเสียทีก็มาถามข้าได้เลย”
เมื่อปลดปล่อยความสงสัยที่กัดกินหัวใจมาตลอดไปได้ เวินมั่วเหยียนจึงเพิ่งรู้สึกขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อย “ซื่อจื่อเกรงใจเกินไปแล้ว เรียกชื่อข้าก็พอแล้ว”
กล่าวไปแล้ว เขาก็อายุน้อยกว่าหลัวเทียนเฉิงถึงสองสามปี หากเอ่ยถึงฐานะนั้นก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอาแต่เรียกตนว่า ‘ญาติผู้พี่’ ก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง
“ท่านเป็นญาติผู้พี่ของเมี่ยวเอ๋อร์ ข้าก็ต้องเป็นญาติผู้พี่ของข้าเช่นกัน” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย
เวินมั่วเหยียนอึ้งงันไปเล็กน้อย แล้วผลิยิ้มจริงใจออกมาเป็นครั้งแรกหลังในช่วงหลายวันนี้ “ข้ารู้สึกดีใจแทนญาติผู้น้องจริงๆ ที่ได้พบกับซื่อจื่อ”
หลัวเทียนเฉิงยังคงรักษารอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าตนไว้แต่ในใจนั้นกลับก่นด่าอย่างบ้าคลั่ง
‘ฮึ อันใดที่เรียกว่าดีใจแทนเจี๋ยวเจี่ยว เจี๋ยวเจี่ยวเป็นภรรยาเขาแท้ๆ คงมิต้องให้ผู้อื่นมาดีใจแทนกระมัง สิ่งที่เรียกว่าญาติผู้พี่นั้นน่าชังอย่างที่คิดจริงๆ!’
ในวันที่ทำพิธีฝังศพพระชายาขององค์ชายสาม ทั่วทั้งเมืองล้วนเต็มไปด้วยสีขาว ขบวนส่งพระศพของพระชายานั้นยาวเป็นทิวแถว แถวหน้าเดินทางไปถึงเนินเขาแล้ว ผู้สวมชุดขาวไว้อาลัยที่อยู่หางแถวเพิ่งจะเดินทางออกประตูเมืองเท่านั้น ราษฎรทั่วทั้งเมืองต่างพากันพูดถึงพิธีศพอันยิ่งใหญ่นี้
และในวันเดียวกันนั้นเอง โลงศพของเวินยาฉีก็ถูกย้ายออกไปนอกเมืองอย่างเงียบๆ พร้อมทั้งจัดพิธีฝังศพในสถานที่มีหุบเขาเขียวน้ำสะอาดใสอย่างเรียบง่าย
เจินเมี่ยวเห็นนางเจียวร้องไห้สะอึกสะอื้นจนแทบหายใจไม่ทันก็เดินเข้าไปปลอบแผ่วเบา
หลัวเทียนเฉิงเป็นห่วงเจินเมี่ยวจึงตามมา เขายืนอยู่ไม่ไกลนักจากบริเวณนั้น พลันกลับขมวดคิ้วขึ้นแล้วกวาดตามองไปยังบริเวณที่แห่งหนึ่ง
ที่นั่นมีหนุ่มน้อยผู้หนึ่งยืนอยู่ เขากำลังยื่นหน้าสาดส่องไปที่นั่นคล้ายลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่
เขาจำหนุ่มน้อยผู้นั้นได้จึงเดินเข้าไปพูดว่า “จื้อเฉิง เจ้ามาได้อย่างไร”
ที่แท้คนผู้นี้ก็คือหันจื้อเฉิง แรกเริ่มหันจื้อหย่วนอาศัยเส้นสายฝากหันจื้อเฉิงเข้าไปทำหน้าที่ดูแลงานทั่วไปในหน่วยทหารเขตป้องกันภัยเมืองหลวง ก่อนเวินยาหันจะจากไปก็ได้ฝากฝังให้เจินเมี่ยวช่วยดูแลน้องสามีผู้นี้ของตน
หลังเจินเมี่ยวแต่งเข้าจวนกั๋วกง เมื่อคนทั้งสองค่อยๆ คุ้นเคยกันแล้วจึงบอกเรื่องนี้แก่หลัวเทียนเฉิง
หลัวเทียนเฉิงคิดว่ายากนักกว่าที่เจินเมี่ยวจะเอ่ยกับเขาได้ทั้งยามนั้นก็ว่างอยู่จึงหาโอกาสไปพบเด็กหนุ่มผู้นั้นคราหนึ่ง เมื่อเห็นท่าทีฉลาดมีไหวพริบทั้งมีคุณธรรมจึงได้หาตำแหน่งว่างในหน่วยกองกำลังทหารม้าทั้งห้า
แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย และมิได้ยินว่าเขาใช้ชื่อเสียงตนไปกระทำเรื่องใดทั้งสิ้น
หันจื้อเฉิงรู้สึกตกใจและยินดีไม่น้อย “ใต้เท้าท่านยังจำข้าได้หรือไม่”
หลัวเทียนเฉิงเม้มริมฝีปากตน
หันจื้อเฉิงทราบว่าตนออกจะเสียกริยาไปบ้าง ใบหูเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อยจึงเอ่ยอธิบายว่า “ข้าได้ยินมาว่า…น้องสาวของพี่สะใภ้เสียชีวิตแล้ว จึงอยากมาดูว่ามีอันใดให้ช่วยหรือไม่”
เวินยาฉีเป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือนทั้งยังฆ่าตัวตายอีกจึงไม่มีมีทางได้จัดพิธีทำศพและแจ้งญาติพี่น้องอย่างแน่นอน แม้นความสัมพันธ์กับหันจื้อเฉิงจะไม่นับว่าห่างนักแต่ก็มิได้แจ้งข่าวนี้กับเขา
แต่เรื่องที่คุณหนูผู้เป็นญาติก่อไว้นั้นเป็นที่ทราบกันไปทั่วเมืองหลวงแล้ว เขาย่อมต้องได้ยินข่าวเป็นธรรมดา
หากไม่ทราบไม่มาก็แล้วไป แต่เมื่อเขาทราบแล้วไม่มาเขาก็รู้สึกไม่ดี เพียงแต่เมื่อมาแล้วกลับรู้สึกว่าตนดูเป็นพวกไม่ดูตาม้าตาเรือจึงลังเลที่จะเดินเข้าไป
หลัวเทียนเฉิงนั้นมีความประทับใจที่ไม่เลวนักกับหันจื้อเฉิง จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ตามข้ามาเถิด”
เมื่อนางเจียวเห็นหันจื้อเฉิงก็รู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย ครั้นคิดถึงบุตรสาวคนโตที่เป่ยลี่ก็ไพล่คิดไปถึงบุตรสาวคนรองที่ชีวิตดับสิ้นไปแล้ว ความเสียใจกลับประเดประดังขึ้นมาจนร่ำไห้ออกมาอีก
หันจื้อเฉิงรีบเข้าไปปลอบทั้งเอ่ยเตือน นางเจียวจึงเริ่มดีขึ้นไม่น้อย ดูแล้วกลับได้ผลกว่าคำปลอบโยนของเจินเมี่ยวและเวินมั่วเหยียนเสียอีก ท่าทางคงเกี่ยวเพราะเกี่ยวพันถึงเวินยาหันเป็นแน่
การพบปะสมาคมของหันจื้อเฉิงและเวินมั่วเหยียนก็เริ่มมีมากขึ้นนับตั้งแต่นั้น ส่วนเรื่องหลังจากนี้คงมิขอกล่าวถึงแล้ว
เวินมั่วเหยียนสร้างเรือนพักหลังหนึ่งไว้ที่เมืองหลวงมานานแล้ว แม้นไม่ใหญ่แต่ก็แบ่งเป็นสัดส่วน นางเจียวไม่อยากพักอยู่ที่จวนเจี้ยนอานปั๋วเพราะเมื่อเห็นสิ่งของก็คิดถึงคน เวินมั่วเหยียนยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองต่อผู้ที่พำนักอยู่เรือนเซี่ยเยียนอยู่ในใจจึงไปรับมารดาตนออกมา
ครานี้แม้นางเวินจะเอ่ยห้ามปรามอย่างที่สุดแต่เจินเมี่ยวกลับมิเอ่ยอันใดสักคำ
ผู้ใดล้วนมิอาจมีชีวิตแทนกันได้ มิเช่นนั้นสุดท้ายแล้วย่อมมิอาจมีชีวิตต่อไปได้อย่างแน่นอน
หลายวันมานี้เรือนเซี่ยเยียนเองก็เงียบสงบลงไปไม่น้อย
หลังจากที่เวินยาฉีตาย เจินจิ้งก็เริ่มกลัวขึ้นมา
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดวันนั้นองค์ชายหกถึงได้เย็นชากับนางนัก ต้องเป็นเพราะการตายของเวินยาฉีแน่และเมื่อมีเจินเมี่ยวนางแพศยาแทรกอยู่ก็ย่อมต้องส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายหกกับหลัวซื่อจื่อเป็นแน่
นางครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยกับแม่นมที่องค์ชายหกส่งมาดูแลตนว่า “สองสามวันนี้ข้ามักรู้สึกไม่สบายครรภ์สักเท่าใด เจ้ากลับไปทูลองค์ชายสักหน่อยเถิด”
——
[1] เม็ดขี้ผึ้ง คือการใช้ขี้ผึ้งปั้นทรงกลมเป็นเปลือกภายนอก ด้านในใส่ยาลูกกลอนไว้ ในสมัยโบราณมักเอาจดหมายลับใส่ไว้ด้านในก่อนส่งให้กัน
[2] ซาน (三) ในภาษาจีนแปลว่าสาม