เจินฮ่วนเป็นบัณฑิต ไหนเลยจะเคยพบเจอการจู่โจมเช่นนี้ ในเวลารวดเร็วเช่นนั้นจึงลืมเบี่ยงหลบ กำปั้นที่รวดเร็วดุจพายุจึงพุ่งเข้าใส่เขาทันที
ท่อนแขนกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้นกลับถูกสองมือเรียวยาวดุจหยกคว้าจับไว้ เจินเมี่ยวรีบตะโกนออกไปว่าญาติผู้พี่
เวินมั่วเหยียนผู้มีคิ้วเข้ม ดวงตาโตที่ยามปกติใบหน้าจะห้อยแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอนั้น ในยามนี้กลับดูเย็นชาจนทำให้ผู้คนหวาดกลัว เขากัดฟันเอ่ยว่า “ญาติผู้น้อง เจ้าปล่อยข้า”
“ปล่อยท่านก็ได้ แต่ท่านมิอาจชกต่อยผู้อื่น”
เวินมั่วเหยียนมิเอ่ยคำ แต่หากลากถูกันอยู่เช่นนี้ก็ไม่เหมาะสม เจินเมี่ยวจึงยอมปล่อยมือเขา
ผู้ใดจะทราบว่าเมื่อนางปล่อยมือ เวินมั่วเหยียนก็ชกหมัดออกมาทันทีจึงชกโดนบ่าของ เจินฮ่วน
“ญาติผู้พี่!” เจินเมี่ยวโกรธแทบตาย นางถลึงตาดุดันใส่เขาทันที
เวินมั่วเหยียนก็ถลึงตากลับอย่างดื้อดึง เขาเอ่ยออกมาด้วยโทสะว่า “ญาติผู้น้อง ปีก่อนยาฉียังสบายดีอยู่แท้ๆ พริบตาคนกลับไม่ตายไป เจ้าห่วงพี่ชายเจ้าแต่ก็ไม่ควรไร้เหตุผลเช่นนี้!”
เจินเมี่ยวรู้ว่าญาติผู้พี่ของนางเป็นคนอุปนิสัยตรงไปตรงมา เรื่องที่เวินยาฉีปีนป่ายขึ้นเตียงพี่ชายตนนั้น ทุกคนต่างมิได้บอกเขา คิดว่าพี่ใหญ่ส่งจดหมายไปแจ้งข่าวครานี้คงรู้สึกว่ามีหลายเรื่องที่มิอาจพูดให้ชัดเจนในจดหมายได้ ดังนั้นเมื่อป้าสะใภ้รองและญาติผู้พี่ได้รับจดหมายก็ทราบเพียงว่าบุตรสาวคนหนึ่งจู่ๆ ก็ตายไปโดยไร้สาเหตุ คงเดินทางมาที่นี่ด้วยใจที่อัดแน่นไปด้วยโทสะอย่างแน่นอน
ครั้นอยู่ต่อหน้าบ่าวไพร่มากมายเช่นนี้ เจินเมี่ยวย่อมมิพูดอันใดมากได้ จึงเดินเข้าไปหานางเจียวโดยไม่สนใจมั่วเหยียน นางหยุดทำย่อกายคารวะแล้วเอ่ยว่า “ท่านป้าสะใภ้รอง ยามนี้ผู้คนมากมายต่างคอยมองอยู่ มีอันใดก็รอให้ถึงห้องโถงก่อนแล้วหลานจะเล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียด”
นางเจียวดูชราลงกว่าเมื่อคราก่อนมาก นางเพียงเกล้าผมอย่างง่ายๆ และปักปิ่นเงินลายดอกเหมยไว้เท่านั้น
นางมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง น้ำตาพลันไหลออกมา แต่กลับมิได้มีท่าทีวู่วามอย่าง เวินมั่วเหยียน นางเม้มปากแล้วพยักหน้า แต่ยังไม่ลืมเอ่ยแนะนำด้วยเสียงอันแหบพร่า “นี่คือนางสิง เป็นภรรยาของเจ้ารอง แต่งเข้ามาเมื่อต้นปีนี้เอง”
นางเจียวมีบุตรชายสองคน คนหนึ่งนับเป็นลำดับที่สอง อีกคนนับเป็นลำดับที่สี่
เจินเมี่ยวทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “พี่สะใภ้รอง”
นางลอบพิจารณาอย่างแนบเนียนคราหนึ่ง
นางสิงรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้ายาว ดวงตาเรียวยาว หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย รูปโฉมงดงามไม่เบา แววตายามที่ดูไม่ไยดีสิ่งใดนั้นแฝงไปด้วยความแหลมคม มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่สตรีที่คล้อยตามผู้ใดโดยง่าย
“ญาติผู้น้องเกรงใจเกินไปแล้ว รีบพาท่านแม่เข้าเรือนก่อนเถิด” นางสิงเบี่ยงกายเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติว่า “ไม่ทราบว่าท่านอาหญิงอยู่ที่ใดหรือ?”
การสนทนาของสตรี เจินฮ่วนมิอาจสอดปากได้ แต่เมื่อได้ยินนางเอ่ยถึงนางเวิน สีหน้ากลับเย็นชาขึ้นมาหลายส่วน
พี่สะใภ้ท่านนี้ช่างร้ายกาจจริงๆ เพิ่งมาถึงก็เริ่มจับผิดผู้อื่นแล้ว ป้าสะใภ้รองเป็นพี่สะใภ้ของท่านแม่ ทั้งเดินทางไกลมา ตามหลังแล้วท่านแม่ควรมารับด้วยตนเอง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อคนมิได้มานั้นย่อมต้องมีสาเหตุ แต่กลับเอ่ยถามขึ้นมาให้ได้ซึ่งนั้นเป็นการง่ายต่อการทำลายความรู้สึกของกันและกัน ไม่รู้ว่าน้องสาวจะรับมือได้หรือไม่
เจินฮ่วนมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง
“เพราะเรื่องของญาติผู้น้องทำให้ท่านแม่ล้มป่วย ตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่ ข้าจะพาป้าสะใภ้รองไปพบท่านย่าก่อน แล้วค่อยไปหาท่านแม่เจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวด้วยท่าทีสงบนิ่ง
นางเจียวเสียใจอย่างยิ่ง ในใจคิดแต่จะไปถามนางเวินให้ชัดเจน จึงมิทันได้สังเกตอันใด เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พียงพยักหน้ารับ ปล่อยให้เจินเมี่ยวประคองแขนข้างหนึ่งของนางเดินเข้าไปด้านใน แต่นางสิงกลับใจหายวาบขึ้นมา
จากวาจาที่นางเอ่ยนั้น หรือความผิดพลาดทุกอย่างจะเกิดเพราะตัวเวินยาฉีเอง?
ญาติผู้น้องสิ้นใจอยู่ในจวนตนเช่นนี้ นางก็มิควรนิ่งขรึมเช่นนี้กระมัง
เมื่อเริ่มคาดการณ์บางอย่างได้แล้ว นางสิงก็สงบอารมณ์ลงได้หลายส่วน
สำหรับน้องสามีที่ชีวิตสั้นผู้นั้นนางมิได้มีความรู้สึกใดๆ ด้วยสักนิด แต่เพราะนางตายอย่างมีเงื่อนงำ ไม่แน่ว่าจวนปั๋วอาจจะรู้สึกผิดและให้ค่าทำขวัญสักหลายส่วน สามีนางมามิได้ แต่หากนางมิตามมาอีก น้องสามีผู้นี้ของตนคงได้ประโยชน์ไปเพียงผู้เดียวแน่
นางสิงประคองนางเจียนเข้าไปด้านใน ถนนที่ปูลาดด้วยหินสีเขียวครึ้มสะอาดตายิ่ง บรรดาบ่าวไพร่ที่เดินกวักไก่วไปมาต่างเดินย่างอย่างเบาไม้เบามือ ครั้นเห็นเจินเมี่ยวก็ย่อกายคารวะ เมื่อมองไปกระเบื้องสีดำอิฐกำแพงสีแดง ต้นไม้เขียว บุปผาสีชาดก็ทำให้รู้สึกว่าดวงตาคู่นี้ของนางนั้นมีไม่มากพอให้ใช้งานเสียแล้ว
นางเจี่ยงยืนอยู่บนบันไดพอดี เมื่อเห็นคนเดินเข้ามาใกล้ก็เดินลงจากบันไดเข้ามาต้อนรับ “เจียวไท่ไท่ คงเดินทางมาเหนื่อยแย่แล้ว ข้ากำลังจะไปรับที่ประตูรองแต่คนกลับมาถึงที่นี่ก่อนเสียแล้ว”
คนทั้งหลายเดินเข้าไปในเรือนหลักของเรือนหนิงโซ่ว ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังนั่งรออยู่บนเก้าอี้ ไท่ซือ
“ฮูหยินผู้เฒ่า” ใจของนางเจียวนั้นว้าวุ่นไปหมด นางจึงมิอาจเอ่ยคำอื่นใดได้ เพียงย่อกายแสดงความเคารพเท่านั้น
“เจียวไท่ไท่มิต้องเกรงใจ” ฮูหยินผู้เฒ่าลอบสังเกตว่ามีคนมากี่คนด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วกำชับสาวใช้ให้ยกน้ำชามา
ในแก้วใบใสโปร่งแสงนั้นมีใบชาลอยละล่องอยู่ทั้งบนและล่าง ไอร้อนแผ่กระจายออกมาไม่หยุด
น้อยนักจะได้พบเห็นแก้วเช่นนี้ นางสิงจึงยกขึ้นพิจารณาอยู่หลายครา
นางเจียวกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อย นางวางถ้วยชาไว้บนโต๊ะเล็กด้านข้าง แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า บุตรสาวของข้า ไม่ทราบจากไปด้วยเหตุอันใดหรือ…”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่เงียบงัน
เวลานี้เองก็มีเสียงหนึ่งดังลอยมา “ฮูหยินผู้เฒ่า สะใภ้มาสายเสียแล้ว”
นางหลี่เดินเข้ามาพอดี
นางสวมเสื้อตุ้ยจิ้นสีม่วงดอกหลัวหลานปักลายเหริ่นตงเหวินและกระโปรงสีเหลืองอ่อนห้อยพู่ระย้า มวยผมปักด้วยปิ่นทองหางหงส์ห้อยระย้า ยามเดินบนทางก็กวัดแกว่งไปมาล่อสายตาผู้คน
นางเจียวเห็นเช่นนั้น โทสะที่อดกลั้นไว้ในใจตนก็พลันพุ่งทะยานขึ้น สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันใด
บุตรสาวของนางเพิ่งสิ้นไป แต่คนผู้นี้กลับแต่งกายเสียเต็มยศ มองแล้วช่างเสียดแทงหัวใจจริง!
เมื่อเห็นว่านางเจียวไม่พอใจ นางหลี่ก็รู้สึกเบิกบานขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่ผิด นางเจตนาที่จะแต่งกายเช่นนี้เอง!
เพราะอะไร เด็กสารเลวนั่นตายไป ผู้อื่นมิเป็นไร แต่บุตรสาวของนางกลับต้องมาซวยไปด้วย!
การหมั้นหมายของอวี้เอ๋อร์กับขุนนางตระกูลหวังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงอันใด แต่ปิงเอ๋อร์ต่างหากที่โชคร้าย ก่อนหน้านี้นางลำบากลำบนยิ่งกว่าจะหาตระกูลที่เหมาะสมได้ คิดว่าห่างพ้นเดือนนี้ไปจะจัดการให้เรียบร้อย แต่เพราะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น อีกฝ่ายจึงตอบปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมกลับมา!
ครั้นคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หากเวินยาฉียังมีชีวิตอยู่ นางหลี่คงฉีกเนื้อหนังนางมากัดกินด้วยความแค้นเคืองเป็นแน่ ยามนี้คนตายไปแล้วนางจึงทำได้เพียงยั่วโทสะมารดาเวินยาฉีสักหน่อยเท่านั้น
นางหลี่ลูบผมตนแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สะใภ้กินขนมก้นหอยที่เมี่ยวเอ๋อร์ส่งไปให้ก็ลบเครื่องประทินผิวแล้วเผลอหลับไป ผู้ใดจะคิดว่าเจียวไท่ไท่จะมาถึงแล้ว ข้ามาช้าไปก้าวเดียวหวังว่าท่านจะให้อภัย”
นางเจียวกัดฟันเค้นเอ่ยออกมาได้สองคำว่า “มิกล้า”
นางหลี่ยิ้มออกมาแต่มิได้เอ่ยสิ่งใด
เวินมั่วเหยียนอดทนไม่ได้อีกต่อไป “ฮูหยินผู้เฒ่า หวังว่าท่านจะบอกเราได้ว่าเหตุใดน้องสาวข้าจึงคิดสั้น!”
“โอ๊ะโอ๋ คุณชายเวิน เจ้าเอ่ยเสียงดังเอะอะเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าของเราคงรับไม่ได้แน่ คำวิพากษ์วิจารณ์ในช่วงหลายวันมานี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าของเราทุกข์ใจไม่น้อยแล้ว” นางหลี่แค่นยิ้มออกมา
เจินเมี่ยวไม่อยากให้สถานการณ์ย่ำแย่ไปกว่านี้จึงลุกขึ้นเอ่ยว่า “ท่านย่า ข้าจะพาป้าสะใภ้ไปพบท่านแม่ที่เรือนก่อนเจ้าค่ะ”
พูดพลางหันไปสบตากับเวินมั่วเหยียน “พี่สี่ จะมีผู้ใดทราบเรื่องราวทุกอย่างดีเท่ากับพวกเราอีก ท่านมิต้องไปสอบถามเอาความกับท่านย่าแล้ว”
แววตาอันกระจ่างใสนั้นแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าและกลัดกลุ้มคล้ายน้ำพุที่ใสเย็นคอยปลอบประโลมความร้อนรุ่มในใจผู้คน โทสะที่เกือบจะควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ของเวินมั่วเหยียนจึงพลันมอดลงไปหลายส่วน เขาฝืนพยักหน้ารับ
เจินเมี่ยวและเจินฮ่วนพาพวกเขาไปที่สวนเหอเฟิงโดยมิเอ่ยสิ่งใด เมื่อถึงที่นั่นกลับมิได้พาเข้าไปที่เรือนหลักแต่พาไปที่เรือนฝั่งตะวันออกแทน
แม้นแต่นางเจียวที่ถูกความทุกข์ใจกดข่มสติปัญญาไว้จนสิ้นยังรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงเอ่ยถามเจินเมี่ยวว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ เหตุใดจึงไม่เห็นมารดาเจ้าเล่า?”
“ป้าสะใภ้รองนั่งลงก่อนเถิด” เจินเมี่ยวนั่งลงบนเตียงคั่งในเรือนฝั่งตะวันออก
สาวใช้หลายคนยกน้ำชาเข้ามาและรีบออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จื่อซูจะออกไปก็หันมาปิดประตูจนแนบสนิท
เจินเมี่ยวจึงเริ่มเอ่ยปากขึ้น “หลังจากที่ญาติผู้น้องแขวนคอตาย ท่านแม่ก็สะเทือนใจยิ่ง ตอนนี้ยังคงเหม่อลอยไม่ได้สตินัก ยามนี้นางมิอาจได้รับการกระทบจิตใจใดๆ ดี หวังว่าท่านป้าจะมิตำหนิ”
นางเจียวได้ฟังถึงกับอึ้งงันไป
นางสิงกลับมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างรวดเร็วยิ่ง นางปาดน้ำตาเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าท่านอาหญิงจะเสียใจถึงเพียงนี้ ท่านแม่เสียใจยิ่ง สะใภ้เข้าใจดี แต่อย่างไรก็ขอให้ญาติผู้น้องบอกแก่เราตามตรงเถิดว่าเหตุใดน้องเวินยาฉีจึงคิดสั้นเช่นนี้?”
เจินฮ่วนพลันลุกขึ้น “ป้าสะใภ้ หลานจะไปเรียกนางอวี๋มาคารวะท่านสักหน่อย” พูดจบก็เดินออกไปอย่างเร็วรี่
เมื่อเขาจากไปเช่นนี้ สถานการณ์ก็ยิ่งกระอักกระอ่วนมากขึ้นไปอีก
นางสิงขึ้นคิดในใจทันทีว่า หรือการตายของน้องสามีนางจะเกี่ยวกับญาติผู้น้องคนนี้?
เวินมั่วเหยี่ยนเองก็มิใช่คนโง่ เขาก้าวเท้าตามไปทันที แต่เจินเมี่ยวก็เข้าไปขวางเขาไว้ได้ทัน
เวินมั่วเหยียนคิดจะผลักนางออกแต่ก็กลัวนางบาดเจ็บ จึงได้แต่โกรธหน้าดำหน้าแดง “ญาติผู้น้องเจ้าหลบไป”
เขาชี้ไปทางประตูแล้วเอ่ยด้วยโทสะว่า “การตายของยาฉีเกี่ยวข้องกับพี่ฮ่วนใช่หรือไม่? เขาทำผิดแล้วกลัวคนจับได้ใช่หรือไม่?”
“ผู้ใดทำผิดแล้วกลัวถูกจับได้กัน พี่มั่วเหยียน หากท่านไม่รอให้ข้าพูดทุกอย่างให้กระจ่างก็โวยวายไร้เหตุผล ข้าจะ จ้าจะ…”
“เจ้าจะทำอันใด? จะไปฟ้องท่านปู่ท่านย่าเจ้างั้นหรือ?”
ตอนที่นางยังเล็ก ทุกคราที่ไปพักที่ติ้งไฮ่ก็มักจะฟ้องเรื่องของเขาเสมอ ทำให้เขาต้องถอดกางเกงลงหวายทุกครั้งไป
เมื่อเห็นเขาทำหน้าบึ้งตึงเช่นนั้น เจินเมี่ยวก็กระทืบเข้าที่เท้าเขาด้วยโทสะคราหนึ่ง “ข้าก็จะไม่บอกเรื่องของญาติผู้น้องกับท่านอย่างไรเล่า!”
เวินมั่วเหยียนพลันว่าง่ายขึ้นมาทันที เขานั่งลงทันใด “ข้าไม่โวยวายแล้ว ญาติผู้น้องเจ้าว่ามาเถิด”
เจินเมี่ยวมองนางเจียวและนางสิงคราหนึ่ง แล้วทอดถอนใจอยู่ในอก นางรู้ว่าหากมิพูดเรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มแรก นางเวินกับตระกูลเวินคงยากจะคงความสัมพันธ์เอาไว้ได้อีก เมื่อครู่ที่พี่ใหญ่ปลีกตัวออกไป เพราะรู้ดีว่ามิอาจปิดบังเรื่องทั้งหมดได้อีกต่อไป
“ปีนั้นพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าคลอดก่อนกำหนด ร่างกายอ่อนแอจึงให้สาวใช้ที่ติดตามมาไปคอยปรนนิบัติพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ดื่มสุรามากเกินไป วันต่อมาจึงพบว่าสาวใช้ผู้นั้นกลับกลายเป็นญาติผู้น้องไปเสียแล้ว”
เสียงสูดปากอย่างไม่อยากจะเชื่อดังขึ้นพร้อมกันอยู่ภายในห้อง
เจินเมี่ยวไม่อยากถูกเอ่ยตัดบทจึงรีบเอ่ยต่อว่า “ภายหลังข้ากับพี่ยาหันไปถามนางจึงทราบว่านางอยากจะเป็นอนุของพี่ใหญ่ข้า รอวันที่พี่สะใภ้ข้าไม่ไหวแล้วขึ้นเป็นภรรยาเอกแทน”
นางบอกเล่าถึงสิ่งที่คิดออกมาเป็นขั้นเป็นตอน
“เป็นไปไม่ได้!” เวินมั่วเหยียนหน้าดำคล้ำดุจเหล็ก เส้นโลหิตตรงขมับปูดโปนขึ้นมา
เจินเมี่ยวแค่ยิ้มเย็น “ตอนนั้นพี่ยาหันจะให้นางแขวนคอตายด้วยซ้ำ หากท่านไม่เชื่อก็เขียนจดหมายไปถามพี่ยาหันได้ หากข้าพูดจาเหลวไหลแม้เพียงคำขอให้ฟ้าผ่าได้เลย!”
เวินมั่วเหยียนโกรธจนผุดลุกขึ้นยืน “เจ้า เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด!”
เจินเมี่ยวเองก็โมโหเช่นกัน นางยืดลำคอขึ้นเอ่ยว่า “ข้ามิได้พูดเหลวไหล หากพูดเหลวไหลขอให้ฟ้าผ่า…”
นางยังมิทันเอ่ยจบก็ถูกเวินมั่วเหยียนปิดปากไว้เสียก่อน
การกระทำนี้ของเขาทำให้ทุกคนต่างตะลึงงันกันไปหมดรวมถึงตัวเขาเองด้วย
เขาอึ้งงันไปครู่หนึ่งจึงปล่อยมือแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ข้าเสียน้องสาวไปคนหนึ่งแล้ว ไม่อยากให้มีน้องสาวคนใดเกิดเรื่องร้ายขึ้นอีก!”
เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ ความอบอุ่นพลันก่อเกิดขึ้นในใจอีกหลายส่วน
ความทรงจำอันเนิ่นนานนั้นพลันแล่นวูบเข้ามาในหัว ทุกคราที่ญาติผู้พี่คนนี้ถูกตีเพราะร่างเดิม แต่ทุกคราที่พบกันเขาก็ยังคงมอบยิ้มสดใสเจิดจ้าให้นางอยู่เช่นเดิม
คนเช่นเขานั้นมิเคยคิดแค้นใครได้จริงๆ กระมัง สำหรับเขาแล้ว ความโกรธแค้นคงสิ้นเปลืองพลังงานมากกว่ารอยยิ้มมากมายนัก
เวลานี้เองที่เจินเมี่ยวพลันรู้สึกยากยิ่งที่จะเอ่ยเรื่องราวต่อจากนี้ไปออกมา
MANGA DISCUSSION