วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 296 ขนมก้นหอย
หลังจากที่องค์ชายหกจากไปแล้วนั้น หลัวเทียนเฉิงก็กลับมานั่งเป็นเพื่อนเจินเมี่ยว
ยามนี้เองนางจึงเวลาหยิบจดหมายที่พับเก็บไว้นั้นขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด
ในกระดาษบันทึกเรื่องราวน้อยใหญ่ของตระกูลร้านโลงศพฉังถิงไว้อย่างละเอียด
เมื่ออ่านจบแล้วเจินเมี่ยวก็กดกระดาษแผ่นนั้นลงบนกระโปรงตน นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาอยู่นาน
ตระกูลร้านขายโลงศพฉังถิงนั้นอพยพมาจากเมืองอื่น พื้นเพเป็นคนธรรมดาแต่เพราะมีฝีมือด้านศิลปะ จึงสามารถแกะสลักโลงศพได้งดงามยิ่ง ส่วนภรรยาก็เก่งงานฝีมือ นางทำรถม้า ม้ากระดาษ ภูเขาเงิน ภูเขาทองได้งดงามเสมือนจริงยิ่งทำให้การค้าเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา
รายได้สิบตำลึงต่อเดือนที่คุณชายรองผู้นั้นภูมิใจหนักหนา กล่าวกันตามจริงแล้วก็เป็นรายจ่ายทั้งปีของครอบครัวปุถุชนคนทั่วไป
บุคคลเช่นนี้ย่อมมิต้องกังวลเรื่องการหาภรรยาแต่ดวงตาของคุณชายรองนั้นมีปัญหาเล็กน้อยทั้งยังช่างเลือก ประเดี๋ยวนั้นประเดี๋ยวสุดท้ายเวลาจึงล่วงเลยมาจนป่านนี้
ในคืนเทศกาลโคมไฟที่ได้พบกับเวินยาฉีนั้น มีท่านอาหญิงผู้หนึ่งที่อาศัยในละแวกนั้นมาบอกถึงเรือนว่านางนับนิ้วดูพบว่าพรหมลิขิตของคุณชายรองได้มาถึงแล้ว เขาจะได้พบกับสตรีเช่นใดในงานเทศกาลโคมไฟ จากการแนะนำอันดูลึกลับของนางทำให้เกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ขึ้น
“นี่เป็นคำบอกกล่าวจากอาหญิงท่านนั้น ครั้นถามนางว่าผู้ใดเป็นคนบอกมา นางก็บอกว่าไม่แน่ใจ นางเล่าว่าวันนั้นนางตื่นขึ้นก็เห็นห่อผ้าห่อหนึ่งถูกยัดเข้ามาในประตูใหญ่ ในนั้นมีเงินห้าสิบตำลึงและกระดาษหนึ่งใบเป็นการเตือนว่าหากมิทำตาม สิ่งที่ถูกยัดเข้ามาครั้งต่อไปจะมิใช่เงินทองแล้ว นางเห็นว่าในเมื่อมีเงินให้ตนใช้ทั้งหากมิทำตามก็กลัวเป็นอันตรายถึงชีวิตจึงยอมทำตามอย่างว่าง่าย” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอธิบาย
เจินเมี่ยวก้มหน้าจ้องมองดอกเหมยขาวบนกระโปรงสีดำเหลือบเขียว แล้วเอ่ยถามว่า “ไม่มีหลักฐานว่านางทำหรือ?”
หลัวเทียนเฉิงยื่นมือออกไปจับเส้นผมดำของนาง “เด็กโง่ มีหลักฐานแล้วอย่างไร เรารู้แจ้งแก่ใจก็พอแล้ว”
เจินเมี่ยวพลันเงยหน้าขึ้น “หากมีหลักฐานก็สามารถมอบให้…”
เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของหลัวเทียนเฉิง นางจึงมิอาจเอ่ยวาจาต่อไปอีกได้
ใช่ มีหลักฐานแล้วอย่างไร จะมอบให้องค์ชายหกหรือ เกรงว่าคงไม่สู้การตำหนิต่อว่าอย่างเหิมเกริมของนางก่อนที่จะเอาหลักฐานมายืนยันเสียอีก
อย่างว่าแต่องค์ชายเลย ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ย่อมต้องมิพอใจที่มีคนไปสืบเสาะเรื่องของตนเป็นแน่
กล่องสีแดงใบหน้าถูกแกว่งไปแกว่งมาต่อหน้าตน
“นี่คือ…”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มพลางเปิดมันออก ข้างในเป็นขนมทรงก้นหอยสีเหลืองทองวางเรียงรายเต็มไปหมด เขาหยิบมันส่งให้เจินเมี่ยวชิ้นหนึ่ง “เป็นขนมก้นหอยที่เพิ่งทำออกมาใหม่ของร้านอู่เว่ยไจ”
เจินเมี่ยวรับมากินคำหนึ่ง รสชาติอร่อยทั้งสดใหม่ แค่เข้าปากก็ละลาย เป็นความอร่อยที่ยากจะพานพบจริงๆ
ดวงตาเจินเมี่ยวพลันส่องประกายขึ้นมา “ข้าเคยให้ชิงเกอไปซื้ออยู่หลายคราแต่ก็ไม่ทันสักที ได้ยินว่าเดือนหนึ่งทำแค่ไม่กี่กล่อง เป็นของหายากเลยทีเดียว”
“เจ้าชอบกิน เหตุใดจึงมิบอกข้าเล่า?”
เจินเมี่ยวกินไปอีกชิ้นหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “กลับไปจะลองศึกษาสักหน่อยว่าทำเช่นไร”
ขนมก้นหอยที่ว่าเป็นของอัศจรรย์หายาก ผู้คนต่างอยากลิ้มลอง ความจริงเป็นเพราะผู้ที่รู้วิธีทำหรู่เล่า[1] ในต้าโจวนั้นมีไม่มาก น้อยนักที่จะนำหรู่เล่ามาทำขนม แต่สำหรับเจินเมี่ยวนั้นกลับมิใช่เรื่องยากอันใด
นางหยิบขึ้นมาอีกชิ้นแล้วส่งให้หลัวเทียนเฉิง “ท่านก็กินด้วย”
หลัวเทียนเฉิงมองขนมที่ส่งกลิ่นหอมนั้นแล้วจับมือเจินเมี่ยวไว้ก้มลงกัดกินคำหนึ่ง
“ไม่เลว” แม้นเขาจะเอ่ยเช่นนี้แต่ก็กินเพียงชิ้นแล้วก็มิได้แตะต้องมันอีก
เจินเมี่ยวจึงถามว่า “ไปซื้อมาตั้งแต่เมื่อใด?”
“ตอนที่เชิญหมอหลวงอู๋มา ระหว่างทางผ่านร้านอู่เว่ยไจ ที่นั่นมีคนต่อแถวกันยาวเหยียด คิดว่าเจ้าคงยังมิได้กินอันใดเป็นแน่จึงเข้าไปหยิบมากล่องหนึ่ง”
“ไปหยิบมา? นางได้ยินชิงเกอบ่นว่ามีครั้งหนึ่งที่นางไปต่อแถวแล้วถูกเบียดจนรองเท้าขาดก็ยังซื้อไม่ได้”
หลัวเทียนเฉิงจึงก้มหน้าผลิยิ้ม “ข้ามิได้ต่อแถว แค่เดินไปหาเถ้าแก่ เขาก็ให้ข้ามาหนึ่งกล่องโดยไม่แม้แต่จะรับเงิน”
เจินเมี่ยวเบิกตาขึ้นทันที
“ผู้อยู่เบื้องหลังเถ้าแก่ร้านอู่เว่ยไจก็คือเจาอวิ๋นจั่งกงจู่”
“ท่านทราบเรื่องนี้ด้วยหรือ” เมื่อเอ่ยถึงเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ เจินเมี่ยวก็เกิดความรู้สึกอันยากจะบรรยายขึ้น
หลัวเทียนเฉิงอธิบายต่อว่า “ตอนข้ายังเด็กเคยไปเล่นที่ถนนเส้นนั้น แต่มิได้นำอันใดติดตัวไปเลย พอท้องหิวก็ยื่นเหม่ออยู่หน้าร้านอู่เว่ยไจ บังเอิญเห็นเจาอวิ๋นจั่งกงจู่เดินออกมาพอดีจึงพาข้าเข้าไปข้าวข้างใน ข้าจึงรู้เรื่องนี้”
“จิ่นหมิง”
“หืม?”
เจินเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกมาตลอดว่าจั่งกงจู่นั้นปฏิบัติต่อท่านอย่างมิธรรมดา”
หลัวเทียนเฉิงพลันใจเต้นขึ้นมา เขามองเจินเมี่ยวอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง น้ำเสียงแปลกแปร่งไปเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้นเล่า?”
จั่งกงจู่ปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่ธรรมดานั้น เขาเองก็เริ่มมาสงสัยตอนที่ทราบว่าคนที่ให้เคล็ดลับการฝึกยุทธกับเขาเป็นคนของจั่งกงจู่นั้นแล แต่คิดไม่ถึงว่าเจี๋ยวเจี่ยวก็รู้สึกเช่นเดียวกับเขา
เจินเมี่ยวส่ายหน้า “ไม่มีเหตุผลอันใดเลย แค่รู้สึกว่าทุกครั้งที่พบกับจั่งกงจู่ พระองค์มักปฏิบัติต่อข้าอย่างดีเสมอ”
หลัวเทียนเฉิงหลุดหัวเราะออกมา “ไม่แน่ว่าพระองค์อาจจะต้องชะตากับเจ้าก็ได้”
เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขา แล้วหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นยืน “เจี๋ยวเจี่ยว ข้ากลับก่อนแล้ว เดี๋ยวจะให้หลัวเป้าอยู่กับเจ้า หากมีเรื่องใดก็ให้เขาไปหาข้าที่ศาลาว่าการได้”
เจินเมี่ยวกวาดตามองจื่อซูที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักคราหนึ่งแล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
นางพักอาศัยอยู่ที่จวนเจี้ยนอานปั๋วอย่างสบายใจ ทุกวันจะคอยปรนนิบัติดูแลนางเวินอยู่ไม่ห่างในสวนเหอเฟิง เพียงระยะเวลาสั้นๆ คนก็ผ่ายผอมลงไป แต่ในที่สุดนางเวินก็เริ่มมีอาการดีขึ้น
เจินเมี่ยวจึงโล่งอกลงได้ นางเข้าไปในห้องครัวเล็กใช้เห็ดหอม เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ เต้าหู้และส่วนผสมอื่นๆ คลุกเข้าด้วยกัน นางนึ่งลูกชิ้นเนื้อเต้าหู้หนึ่งอย่าง และหั่นไส้กรอกเป็นลูกเต๋าคลุกเคล้ากับหัวหอมสดและผักอื่นๆ เพื่อทำแผ่นแป้งจากหัวไชเท้า กินคู่กับน้ำแกงลูกชิ้นเนื้อแพะที่มีขนาดเท่าเม็ดไข่มุกที่โรยด้วยต้นหอมซอยละเอียดสีเขียวซึ่งลอยอยู่บนน้ำแกงสีเหลืองอ่อน นางยกทั้งหมดนี้เข้าไปในห้องนางเวิน
“ท่านแม่ ลุกขึ้นมากินอันใดสักหน่อยเถิด” นางจัดวางหมอนอิงสีเหลืองเข้มให้เข้าที่แล้วประคองนางเวินขึ้นนั่ง
นัยน์ตานางเวินกลอกหมุนไปมา ท่าทีดูรับรู้อันใดขึ้นมาบ้างแล้ว นางรับน้ำแกงที่เจินเมี่ยวส่งให้ขึ้นมาดื่ม
เจินฮ่วนที่พานางอวี๋มาเยี่ยมจึงพบกับภาพนี้เข้าพอดีก็อดตกตะลึงมิได้
ความละอายใจปรากฏขึ้นเต็มหน้านางอวี๋ “น้องสี่ ข้ามาช้าแล้ว”
นางนับวันยิ่งซูบผอมลงไปยิ่ง แก้มสองข้างซูบตอบดูชราลงไม่น้อยมิได้ดูสดใสดั่งเช่นกาลก่อน
การที่มิให้นางอวี๋อยู่ปรนนิบัติดูแลนางเวินนั้นเป็นเพราะเจินฮ่วนเองที่เอ่ยปากกับเจินเมี่ยวเป็นการส่วนตัว
เจินเมี่ยวทราบว่านางอวี๋สุขภาพไม่แข็งแรงมาตลอด หากต้องมาดูแลคนป่วยอย่างที่นางทำ คาดว่าไม่เกินสองวันคงได้มีคนป่วยเพิ่มขึ้นอีกแน่ นางจึงเข้าใจความห่วงใยของเจินฮ่วนดี เจินเมี่ยวยิ้มพลางเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ต้องดูแลเหลยเกอมิใช่หรือ”
“น้องสี่ ให้ข้าป้อนท่านแม่เถิด เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด” นางอวี๋รับถ้วยน้ำแกงมา
จินเมี่ยวก็มิได้บ่ายเบี่ยง “รบกวนพี่สะใภ้แล้ว”
เมื่อเห็นเจินฮ่วนลอบส่งสายตามาให้นางก็ลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก
เมื่อถึงระเบียงทางเดินก็หยุดลงแล้วมองเจินฮ่วนพลางเอ่ยว่า “พี่ใหญ่เรียกข้าออกมามีเรื่องใดหรือ?”
“น้องสี่หลายวันมานี้เจ้าผ่ายผอมลงไปมาก” เจินฮ่วนรู้สึกไม่กล้ามองหน้าน้องสาวตน เมื่อคิดถึงวาจาที่ตนกล่าวกับน้องสาวในวันนั้นแล้วก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
หากวาจาแพร่ออกไปว่าเขามิอาจทำใจให้ภรรยาไปดูแลปรนนิบัติมารดาที่ป่วย เขาคงไม่มีหน้าไปพบผู้คนเป็นแน่
เขาลอบสำรวจเจินเมี่ยวคราหนึ่ง เห็นความเหนื่อยล้าที่มิอาจซ่อนเอาไว้ในบนใบหน้านางก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่น้อย
พวกเขาพี่น้องมิใคร่สนิทสนมกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่อย่างไรสายเลือดก็ย่อมข้นกว่าน้ำ เมื่อเห็นน้องสาวตนนับวันยิ่งรู้ความ เขาไหนเลยจะไม่รักไม่ห่วงได้
“ต่อไปพี่ใหญ่จะมาดูแลท่านแม่ในช่วงกลางวันเอง พี่ทำเรื่องลาไปที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนแล้ว”
สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนกับศาลาว่าการนั้นต่างเริ่มเปิดทำการเมื่อวันที่ยี่สิบเช่นเดียวกัน
“อย่างไรพี่ใหญ่ก็เป็นบุรุษ การปรนนิบัติท่านแม่นั้นให้ข้าทำจะสะดวกกว่า อีกอย่างท่านแม่ก็มีอาการดีขึ้นไม่น้อยแล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เจินฮ่วนก็พยักหน้าคราหนึ่ง “ใช่ เป็นเพราะเจ้าดูแลอย่างดีแท้ๆ”
ครั้นเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้แล้วสีหน้ากลับดูเคร่งขรึมขึ้นมาอีกหลายส่วน
เจินเมี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น “พี่ใหญ่มีเรื่องอื่นอีกใช่หรือไม่?”
เจินฮ่วนถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยว่า “ผู้ดูแลจวนได้เดินทางไปรับพวกเขาที่ท่าเรือแล้ว คาดว่าไม่นานป้าสะใภ้รองกับมั่วเหยียนคงมาถึงจวน”
เจินเมี่ยวได้ฟังก็เริ่มครุ่นคิดขึ้นมาทันที
ศพของเวินยาฉียังอยู่ที่นี่ นางฆ่าตัวตายทั้งยังไม่บรรลุนิภาวะจึงมิอาจจัดงานศพ แต่จะฝังอย่างไร ฝังที่ไหนนั้นย่อมต้องรอคนจากไฮ่ติ้งมาถึงเสียก่อนจึงจะจัดการได้
เจินเมี่ยวกลัวว่าหากนางเวินเห็นป้ารองและคนอื่นๆ แล้วอาการป่วยอาจจะทรุดลงไปอีก
“พี่ใหญ่ หากป้าสะใภ้รองกับญาติผู้พี่มาถึงแล้ว เราไปพบพวกเขาก่อนเถิด ส่วนท่านแม่ก็ให้พักไปอีกสักระยะก่อน”
เจินฮ่วนพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนี้ วันนี้ให้พี่สะใภ้เจ้าเฝ้าท่านแม่เถิด เจ้าตามข้าไปพบพวกเขาก่อน”
“พี่สะใภ้จะไหวหรือไม่?” เจินเมี่ยวรู้สึกไม่วางใจเท่าใดนัก
“แค่วันเดียว ครึ่งวันนางพอไหว”
เจินฮ่วนหน้านิ่วคิ้วขมวด ท่าทีดูกังวลไม่น้อย
เจินเมี่ยวหลุบม่านตาลง “ข้าได้ยินว่า พี่สะใภ้ยกสาวใช้คนสนิทให้ท่าน…”
เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับ ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงเหลือบสายตาขึ้นก็เห็นใบหน้าอันแดงก่ำของเจินฮ่วน เขาจึงเอ่ยด้วยท่าทีประหม่าว่า “น้องสี่ เรื่องนี้ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง…”
เจินเมี่ยวไม่คิดว่าพี่ชายใหญ่ของนางจะเขินอายเช่นนี้
นางแค่คิดถึงความรักที่พี่ใหญ่และนางอวี๋มีให้กัน ทั้งยามนี้นางอวี๋ก็มาล้มป่วย แล้วพี่ใหญ่ก็มีคนใหม่มาแทน นางจึงรู้สึกเสียดายก็เท่านั้น
เจินฮ่วนทราบว่าเจินเมี่ยวกำลังคิดสิ่งใด สาวใช้ที่ถูกยกให้เขานั้น เขาก็ไปหาแค่เพียงเวลาที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนผู้ที่อยู่ในใจเขาเสมอมานั้นก็มีแค่นางอวี๋ แต่วาจาเช่นนี้เขามิอาจเอ่ยกับน้องสาวแท้ๆ ตนได้
“พี่ใหญ่รู้ว่าต้องทำเช่นใดก็พอแล้ว” เจินเมี่ยวพูดแล้วก็เรียกชิงไต้มาหากแล้วสั่งให้นางเอาลูกชิ้นเต้าหู้กับแผ่นแป้งที่ทำจากหัวไชเท้าใส่ตะกร้าอาหาร
“พี่ใหญ่ ข้าทำของกินไว้หลายอย่าง ท่านให้คนเอากลับไปให้เหลยเกอกินด้วยเถิด”
เจินฮ่วนมิได้ปฏิเสธ เพียงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบใจน้องสี่มาก”
เวลานี้เองจื่อซูก็เดินเข้ามาจากด้านนอก ในมือถือกล่องดำเหลือบแดงใบหนึ่งไว้ “ต้าไหน่ไหน่ ซื่อจื่อส่งขนมก้นหอยมาให้อีกแล้วเจ้าค่ะ”
ปกติจื่อซูมักคงไว้ซึ่งใบหน้าเรียบเฉย แต่วันนี้กลับมีสีระเรื่ออยู่เล็กน้อย
เจินเมี่ยวรู้ว่าขนมก้นหอยนี้จักต้องเป็นส่งมาถึงมือหลัวเป้าก่อนเป็นแน่แล้วค่อยผ่านมาถึงจื่อซู พวกเขาสองคนนับว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันแล้ว หลัวเป้าก็อาจจะพูดหยอกล้ออันใดต่อนางกระมัง
เจินเมี่ยวจึงมิสนใจเรื่องนั้น นางเปิดกล่องออกดู ด้านในมีขนมวางเรียงกันถึงสองชั้น ทั้งหมดสามสิบสองชิ้น นางจึงแบ่งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าแปดชิ้น ตนเองเก็บไว้สี่ชิ้น และส่งไปที่สวนหมิงหวากับสวนฟางเฟยเรือนละหกชิ้น ที่เหลือก็มอบให้เหลยเกอ
ครั้นอาทิตย์คล้อยลงทิศตะวันตก คนของตระกูลเวินก็มาถึงจวนพอดี เจินเมี่ยวและเจินฮ่วนออกไปต้อนรับด้วยตนเองจึงเห็นดวงตาบวมเป่งดุจลูกเหอถาวของป้าสะใภ้รอง ที่ขณะนี้หญิงสาวผู้หนึ่งคอยประคองไว้
เวินมั่วเหยียนมีสีหน้าเย็นชา ครั้นเห็นเจินฮ่วนก็เดินเข้าไปยกกำปั้นชกหน้าเขาทันที
——
[1] หรู่เล่า หมายถึงชีส